ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การรู้สึกดีกับตัวเองอย่างแท้จริง หมายความว่า การรักในตัวตนที่คุณเป็น ทั้งภายใน และภายนอก ซึ่งต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก และการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในการเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง และจัดการกับความทุกข์ในชีวิตของคุณ หากคุณต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง ให้เริ่มต้นด้วยการกำหนดความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม ที่อาจขัดขวางไม่ให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง หลังจากนั้น คุณสามารถออกแบบแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่จะทำให้คุณรู้สึกมีคุณค่า เป็นที่รัก และถูกเติมเต็ม หากคุณต้องการรู้วิธีที่ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง ให้ทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

บ่มเพาะนิสัยรักตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พยายามหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น และจงโอบกอดความเป็นตัวตนของคุณ การเอาแต่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นจะไม่ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองได้ เพราะว่าคุณนั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครที่จะเป็นได้แบบคุณ ผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับประสบการณ์ และมีพรสวรรค์เช่นเดียวกับคุณ
    • หากคุณพยายามเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น มันจะไม่ส่งผลดีต่อการเคารพในตัวคุณเองเท่าไหร่นัก เนื่องจากคุณสามารถพบใครบางคนที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า หรือสวย หล่อกว่าคุณอยู่เสมอ แทนที่จะทำแบบนั้น ให้คุณให้ความสำคัญกับอะไรที่คุณอยากจะเป็น ไม่ใช่เหมือนกับเพื่อนบ้าน เด็กสาวแสนดีในโรงเรียนมัธยมปลายของคุณ หรือพี่สาวของคุณ ทันทีที่คุณกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของตัวคุณเอง คุณจะสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้
    • คุณอาจรู้สึกว่าทุกๆ คนรอบๆ ตัวคุณทำได้ดีกว่าคุณ อย่างไรก็ตาม คุณอาจลืมพลังอันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดของคุณ โดยคุณอาจไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่คุณมีอยู่ และไม่รู้ว่ามีใครบางคนที่อยากจะเป็นเหมือนคุณ [1]
  2. ความมั่นใจคือ กุญแจสำคัญในการทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง และรักในตัวตนที่คุณเป็น และคนที่คุณจะเป็น คุณสามารถที่จะรู้สึกมั่นใจในคนที่คุณเป็น และอะไรที่คุณสามารถบรรลุได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะใช้เวลา คุณต้องย้ำเตือนตัวเองว่า คุณเป็นคนที่น่าอัศจรรย์ และนั่นทำให้คุณคู่ควรที่จะมั่นใจในตัวเอง หากคุณคิดว่าคุณมีค่า คุณก็จะมีค่า [2]
    • การทำให้ดูมั่นใจมากขึ้น ให้ใช้ภาษากายของคุณ เช่น มีความภาคภูมิใจมากขึ้น วางมาดให้ดูดีขึ้น และมองไปข้างหน้า แทนที่จะมองพื้น ให้คุณลองนั่ง หรือยืนด้วยท่าทางที่ดูสบายๆ หรือดูเป็นคนที่ง่ายในการเข้าถึง
    • หาบางสิ่งบางอย่างที่คุณทำได้ดีกว่า หรือทำในสิ่งที่คุณรักอย่างจริงจัง หากคุณเก่งในเรื่องไหน ให้คิดว่ามันน่าอัศจรรย์แค่ไหนที่คุณสามารถทำสิ่งนั้นได้ พยายามให้ความสำคัญกับความสามารถของคุณ และอะไรที่คุณสามารถทำได้ คุณจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น หากคุณเก่งในสิ่งที่คุณรัก
    • เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้น แทนที่จะกังวลว่ามีอะไรผิดปกติอาจเกิดขึ้น [3]
  3. ทุกๆ คนมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีได้ ลองใช้เวลานั่งเขียนรายการของสิ่งที่คุณรักเกี่ยวกับตัวเอง บังคับตัวเองให้นั่งเขียนจนครบหน้ากระดาษ ค้นให้ลึกว่าสิ่งใดที่ทำให้คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์จริงๆ ให้คิดถึงคุณสมบัติ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ อารมณ์ขันของคุณ บุคลิกลักษณะที่น่าเชื่อถือของคุณ หรือจริยธรรมในการทำงานของคุณ ยิ่งรายการมีความยาว หรือมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเรื่องดี
    • คุณสมบัติบางอย่างที่อธิบายถึงตัวคุณ เช่น เป็นที่รัก พากเพียร ขยัน เป็นมิตร แข็งแรง ฉลาด หลักแหลม ง่ายๆ สบายๆ และสนุกสนาน คุณอาจจะเพิ่มรายการที่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ทางร่างกายของของตัวเองที่คุณชอบ หากสิ่งนั้นสำคัญกับคุณจริงๆ รายการควรครอบคลุมทุกๆ ด้านที่เกี่ยวกับคุณ นอกจากนี้ คุณควรเพิ่มสิ่งที่คุณภูมิใจในรายการเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนึกได้
    • เก็บรายการนี้ไว้ใกล้ๆ ตัว และอ่านทบทวนรายการอยู่บ่อยๆ เพื่อทำให้คุณรู้สึกดีอย่างต่อเนื่อง คุณอาจจะพับรายการ และเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของคุณ [4]
    • หากคุณกำลังประสบกับความยุ่งยากในการทำรายการของตัวเอง ให้ปรึกษาคนที่รู้จักตัวคุณดี ถามเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานของคุณ ให้พวกเขาบรรยายถึงข้อดีของคุณ บางทีสิ่งที่พวกเขาบอกอาจทำให้คุณประหลาดใจ!
  4. บางครั้งสิ่งที่คุณทำได้ก็เพียงแค่อยู่กับความรู้สึกแย่ๆ และเข้าใจว่ามันได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลายๆ คนคิดว่า การรู้สึกดีกับตัวพวกเขาเอง ทำได้โดยพวกเขาต้องรู้สึกอัศจรรย์ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มตลอดเวลา หากคุณกำลังมีวันที่เลวร้าย โดยเฉพาะหากมันเกิดขึ้นหลังจากวันที่ดีที่สุดในหลายๆ วันที่ผ่านมา ให้คุณหลีกเลี่ยงการทำให้ตัวเองรู้สึกหมดกำลังใจ และจำไว้ว่าสิ่งนี้จะผ่านพ้นไป
    • หากคุณรู้สึกเศร้าใจมากๆ จงคุยกับใครบางคนที่เป็นห่วงคุณ คนที่พร้อมจะรับฟังปัญหาของคุณ หากคุณยังคงรู้สึกซึมเศร้าเป็นระยะเวลาตั้งแต่ครึ่งปีขึ้นไป ถึงเวลาที่คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • เมื่อคุณอารมณ์ไม่ดี ร่างกายของคุณก็จะรู้สึกถึงได้ด้วยเหมือนกัน ให้สังเกตว่าส่วนไหนในร่างกายของคุณอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เมื่อคุณรู้สึกอารมณ์เสีย หากคุณรู้สัญญาณของร่างกาย คุณจะสามารถรู้ถึงสาเหตุว่าอะไรรบกวนคุณ และทำตัวเองให้รู้สึกดีขึ้นได้ [5]
  5. ฟังดูอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำ และมันอาจต้องใช้เวลาในการทำให้ตัวเองคิดบวกอยู่ตลอดเวลา แต่คุณสามารถทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณเพิ่มมากขึ้นได้ การพัฒนาทัศนคติเชิงบวก เป็นการตัดสินใจที่คุณต้องทำด้วยตัวเอง และยึดมั่นสิ่งนั้นในทุกๆ วัน ถ้าคุณมีทัศนคติเชิงบวกมากกว่า คุณจะรู้สึกกับตัวเองดีขึ้น รวมไปถึงความคาดหวังในอนาคตของคุณ และทุกอย่างที่คุณสามารถบรรลุผลสำเร็จได้
    • คุณสามารถฝึกฝนการระลึกได้เมื่อความคิดของคุณเริ่มโอนเอียงไปในเชิงลบมากเกินไป และปรับจิตใต้สำนึกของคุณให้ปกติขึ้น สำหรับทุกๆ ความคิดในเชิงลบที่รบกวนจิตใจคุณ จงต่อสู้กับมันด้วยความคิดในเชิงบวกสัก 2 – 3 เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคิดว่า “ฉันดูเหนื่อยล้ามากๆ วันนี้” คุณสามารถพูดว่า “แต่ผมของฉันดูสวยมากๆ และฉันยังคงมีรอยยิ้มอันน่าอัศจรรย์”
    • ในระดับที่ลึกขึ้น หากคุณคิดถึงบางอย่างเช่น “ฉันรู้สึกอึดอัดใจในการเข้าสังคม” คุณควรพูดว่า “แต่ฉันรู้วิธีทำให้คนหัวเราะ และพวกเขาเหล่านั้นดูสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ๆ ฉันอยู่เสมอ”
    • ฝึกทำทุกๆ วัน แม้ว่าทัศนคติของคุณอาจไม่เป็นที่สังเกต ฝึกฝนทัศนคติในเชิงบวกของคุณ คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามันสามารถสร้างความแตกต่างได้มากขนาดไหน และการฝึกฝนจะทำให้คุณทำมันได้ง่ายขึ้น
    • ฝึกพูดถึงตัวเองในเชิงบวกกับเพื่อนของคุณ ให้พูดเรื่องที่คุณประสบความสำเร็จ หรือบางเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น คุณจะพบว่าการมองโลกในแง่ดีของคุณเป็นเหมือนโรคติดต่อ และมันจะทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองเพิ่มขึ้นโดยการพูดมันออกมา [6] [7] หากเพื่อนของคุณไม่ชอบพูดเกี่ยวกับข้อดีของชีวิตคุณ ให้พิจารณาว่าเพื่อนเหล่านั้นทำให้คุณมีความสุข และรู้สึกดีกับตัวคุณเองอย่างแท้จริงหรือไม่
    • พิจารณาถึงสาระสำคัญของสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะรู้สึกไม่พอใจ ยกตัวอย่าง เช่น คนหลายๆ คนไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือรถติด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ให้คิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น
  6. ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าไม่มีใครต้องการคุณ หรือคิดว่าคุณไม่สามารถช่วยเหลืออะไรใครได้ ซึ่งแท้จริงแล้วกรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้ยาก ให้คุณพูดคุยกับคนที่คุณรักเพื่อให้รู้ว่าคุณมีความสำคัญแค่ไหน และคนรอบข้างคุณชื่นชมคุณมากเพียงใด จงบอกให้คนในครอบครัว หรือเพื่อนรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร แล้วพวกเขาจะบอกถึงข้อดีที่คุณมี พูดกับเพื่อนของคุณถึงปัญหาของคุณ และพวกเขาจะบอกคุณว่าคุณประเมินค่าตัวคุณเองต่ำเกินไป และคุณจะได้รู้ว่าคุณมีความสำคัญในชีวิตพวกเขา
    • ยิ่งคุณจดจำได้มากเท่าไหร่ว่าคุณเป็นคนที่มีค่าที่ใครก็ตามที่ได้รู้จักคุณนับว่าโชคดี คุณจะตระหนักได้เร็วขึ้นว่าคุณมีอะไรมากมายที่จะให้ และถ้าคุณรู้สึกมีค่า นั่นหมายความว่าคุณอยู่ในวิถีทางในการรู้สึกดีกับตัวเอง [8]
    • แม้ว่าในปัจจุบันคุณกำลังอยู่ในช่วงที่ยากลำบากของชีวิต คุณยังมีโอกาสขยายขอบเขตความสนใจในเรื่องบางเรื่อง และกลายเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง หรือมีความชำนาญในเรื่องนั้นๆ ได้ คุณอาจแบ่งปันความชอบของคุณกับผู้อื่น และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง
  7. คุณอาจรู้สึกแย่กับตัวเอง เนื่องจากคุณรู้สึกราวกับว่าไม่มีอะไรที่ทำให้คุณมีความสุขได้เลย การรู้สึกแย่กับตัวเอง เป็นเรื่องของการรับรู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณรู้สึกอย่างไรกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ ให้คุณเริ่มเขียนรายการที่ซาบซึ้งใจ และสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกยินดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ พี่น้องของคุณ หรืออากาศดีๆ ข้างนอก สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าคุณสามารถรู้สึกดี เพราะว่ามีความเพลิดเพลินสนุกสนาน โชค ความหวังต่างๆ มากมายอยู่รอบๆ ตัวคุณ
    • ปฏิบัติต่อรายการดังกล่าวให้คล้ายกับรายการของคุณสมบัติที่คุณรักเกี่ยวกับตัวเอง ให้เขียนให้เต็มหน้ากระดาษ และอ่านรายการบ่อยๆ รวมไปถึงเพิ่มเติมรายการเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนึกขึ้นได้ [9]
    • หากมันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับคุณในการหาสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี ให้เปลี่ยนมันให้เป็นแบบฝึกหัดในเชิงบวก คิดถึงสิ่งที่ทำให้คุณโกรธ และผลักดันตัวคุณเองให้หาข้อดี 2 เรื่องในทุกๆ สถานการณ์ที่เลวร้าย ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถพูดค้านว่า “ฉันโมโหเสียงหมาเห่าที่ทำให้ฉัน และลูกของฉันต้องตื่นตอนตี 5 วันนี้” ด้วย “ข้อ 1. ฉันใช้เวลาแห่งความรักความผูกพันกับลูกชายของฉันในเช้านี้ เพื่อปลอบเขา ทุกๆ ช่วงเวลาที่ฉันอยู่กับลูกมันช่างเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนพิเศษ” และ “ข้อ 2. ฉันได้ยินเสียงนกร้อง ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น”
    • หากคุณยังคงติดขัด ให้ถามผู้อื่นว่าอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมยินดี คุณอาจมีบางอย่างที่คล้ายกับพวกเขา
  8. ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกของคุณให้น้อยลง. ทุกๆ คนดูสวย หล่อ ตามแนวทางของแต่ละคน มันไม่แปลกหากคุณต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง และฝันหวานเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากจะเป็น แต่การเคารพในตนเองของคุณควรอยู่ในกรอบของคุณสมบัติ และบุคลิกลักษณะของตัวคุณ ไม่ใช่รูปลักษณ์ทางกาย หากคุณต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง เป้าหมายหลักของคุณ ก็คือให้เป็นคนที่คุณเป็น และปล่อยให้รูปลักษณ์ภายนอกเป็นแค่เรื่องรอง
    • จำกัดเวลาในการเตรียมตัวของคุณ หากคุณใช้เวลาทั้งหมดของคุณในเติมแต่งให้คุณดูหล่อ สวยสมบูรณ์แบบ นั่นจะทำให้คุณให้ความสำคัญในเชิงสร้างสรรค์ของชีวิตคุณน้อยลง ให้กำหนดว่าคุณจะใช้เวลามากเท่าไหร่ในการแต่งหน้า ทำผม และส่องกระจกก่อนที่คุณจะออกจากบ้าน ให้คุณหาวิธีที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนด หากคุณใช้เวลาเกินกว่าที่คุณกำหนดไว้ คุณจะพบข้อบกพร่องที่คุณอาจไม่รู้ว่ามีอยู่ได้
    • คุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก นอกเหนือจากรูปร่างหน้าตา แทนที่จะเป็นห่วงแค่รูปร่างหน้าตา คุณควรเข้มแข็ง และมั่นใจในการกระทำ และการบรรลุผลสำเร็จของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีวันที่น่าอัศจรรย์ ที่คุณได้รับคำชมสำหรับโครงงานที่คุณใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการทำ เมื่อคุณกลับถึงบ้าน คุณถึงมีโอกาสมองในกระจก และเห็นว่ามีรอยมาสคาราเปื้อนที่ใต้ตา ทั้งๆ ที่คุณมีรอยเปื้อนบนหน้าคุณ แต่คุณก็ยังบรรลุผลสำเร็จในบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ และคุณควรเชื่อมั่นในความสามารถของคุณ
    • หากคนชมคุณว่าสวย หรือหล่อ ให้คุณรับคำชม อย่างไรก็ตาม ให้เพิกเฉยต่อความเห็นในเชิงลบ และให้ระลึกไว้ว่าการชมบุคลิกลักษณะของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
  9. ใส่ใจกับสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ ให้ความสำคัญกับการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น และความคิดในเชิงบวกเกี่ยวกับตัวคุณเองมากกว่าความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีเกี่ยวกับตัวคุณ ในท้ายที่สุด มีเพียงคุณเท่านั้นที่ต้องอยู่กับตัวเอง ดังนั้นความคิดเห็นของคุณสำคัญที่สุด
    • คนที่ดูถูกผู้อื่นส่วนใหญ่จะทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจมากกว่า นั่นหมายความว่าคนประเภทนี้อาจเป็นคนที่รู้สึกหวาดหวั่นไม่ต่างอะไรกับคุณ พวกเขาเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ดังนั้นจงพยายามหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ และหลีกเลี่ยงการตอบโต้คำดูถูกเหล่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ คือใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ โดยไม่หันหลังกลับ
    • เรื่องนี้มันง่ายที่จะพูด แทนที่จะบอกปัดเกี่ยวกับความเป็นห่วงเป็นใย ให้ถามตัวคุณเองว่าอะไร คือหัวใจของความต้องการในการทำให้ผู้อื่นพอใจ ถามตัวคุณเองหากคนที่ทำร้ายคุณควรค่าแก่การทำให้พวกเขาประทับใจหรือไม่ ในไม่ช้าคุณจะพบว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่อุปสรรคในความสุขของคุณ ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ [10]
    • รู้ว่าใครที่เชื่อใจได้ และเมื่อไหร่ ยกตัวอย่างเช่น คนส่วนมากจะพูดว่าพวกเขาเชื่อใจแม่ของพวกเขาเองมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คนเพียงบางคนจะเชื่อใจแม่ของพวกเขาอย่างงมงายในการพูด ขับเครื่องบิน หรือเก็งลอตเตอรี่ หากคุณต้องการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผู้อื่นคิด ให้เลือกที่ปรึกษาที่เชื่อใจได้อย่างชาญฉลาด
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

จัดการปัญหาความไม่มั่นใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความไม่มั่นใจบางครั้งฝังแน่นในตัวเราตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กบางคนถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง หรือถูกละเลย และมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนากลายไปเป็นความไม่มั่นใจในตัวเอง ในขณะที่บางคนเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อพวกเขาผิดหวังในบางเรื่องเป็นครั้งแรก หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ให้หาว่าความไม่มั่นใจของคุณเกิดจากอะไร และอะไรที่ทำให้มันเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะได้รับมือกับมันได้ดีขึ้น [11]
  2. มีหลายวิธีในการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับตัวเอง เพื่อทำให้คุณสามารถเริ่มต้นการรู้สึกดีกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม มันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ทั้งนี้สมองสามารถเจริญเติบโต และเปลี่ยนแปลงได้ต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าร่างกายจะหยุดการเจริญเติบโตแล้ว ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ความสามารถของสมองที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต นั่นทำให้คุณสามารถเรียนรู้ หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีคิดได้ในทุกช่วงอายุ [12]
    • ด้วยการเปลี่ยนแปลงความคิด คุณสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคุณได้โดยสิ้นเชิง [13]
    • คุณสามารถทำความคิด และพฤติกรรมบำบัดด้วยตัวเอง หรืออาศัยนักบำบัด จำไว้ว่า หากคุณพบว่าขั้นตอนไหนยุ่งยาก คุณควรปรึกษานักบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่อง ความคิด และพฤติกรรมบำบัด เพื่อให้ความช่วยเหลือคุณ [14]
  3. ขั้นตอนแรกในความคิด และพฤติกรรมบำบัด คือการแยกแยะรูปแบบความคิดของคุณ คนจำนวนมากที่มีความคิดในเชิงลบเกี่ยวกับตัวเองเชื่อว่า พวกเขาไม่มีค่าอะไรเลย และพวกเขาจะยังเชื่ออีกว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ คุณจำเป็นต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับตัวเอง โดยเริ่มต้นจากการรับรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร
    • การตระหนักรู้เกี่ยวกับตัวเองสามารถเป็นเรื่องยุ่งยากในตอนแรก นั่นหมายถึงว่า เพื่อนที่ปรารถนาจะช่วยคุณ อาจจะเพียงแค่บอกให้คุณ “ทำใจ” และเข้มแข็ง จริงๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่าแค่การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลง [15]
  4. คุณควรเริ่มเขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับความคิดของคุณทั้งหมดในแต่ละวัน ทั้งในเชิงบวก และเชิงลบ เขียนสถานการณ์แวดล้อม ความรู้สึกของคุณ และวิธีรับมือกับสถานการณ์ วิธีนี้จะช่วยให้คุณตรวจสอบรูปแบบความคิดในภายหลัง และคุณสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดในเชิงลบได้
    • ซื่อสัตย์ต่อตัวเองในบันทึกประจำวัน คุณจำเป็นต้องรู้ความคิดที่แตกต่างของคุณทั้งหมดเพื่อให้ได้ภาพรวมที่แท้จริง ยิ่งคุณซื่อสัตย์ต่อตัวเองมากเท่าไหร่ คุณสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคุณได้มากขึ้นเท่านั้น [16]
    • จงมีความต่อเนื่อง เขียนทุกสิ่งที่คุณคิดว่าสำคัญ หรือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่ที่ทำงาน หรือทุกสิ่งที่คุณวิตกกังวลว่าจะเกิดขึ้นกับคู่สมรสของคุณ เมื่อคุณต้องเดินทาง
  5. เมื่อคุณได้เขียนบันทึกประจำวันไประยะหนึ่ง คุณควรพลิกดูว่าคุณได้เขียนอะไรลงไปบ้าง วิธีนี้ คุณสามารถบรรลุข้อเท็จจริงภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดของคุณได้มากกว่า ซึ่งทำให้คุณสามารถยอมรับมัน และกลายเป็นขอบเขตของตัวคุณเอง
    • พยายามจำว่าคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณเขียนความคิดเหล่านั้น และแทนที่จะรู้สึกละอายใจ หรือรู้สึกแย่เกี่ยวกับความคิดเชิงลบของคุณ ให้ยอมรับมัน ทุกๆ คนมีความคิดเชิงลบเหมือนๆ กัน และหากคุณยอมรับมันได้ก่อน คุณสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลงมันได้
    • ด้วยการปล่อยตัวเองให้รู้สึกถึงความคิดในเชิงลบของคุณ คุณสามารถอยู่เหนือพวกมัน และเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลง ทันทีที่คุณรู้ถึงรูปแบบความคิดที่ส่งผลให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ คุณสามารถเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของคุณ [17]
  6. ทันทีที่คุณเขียนบันทึกความคิด และความรู้สึกของคุณทั้งหมดเป็นเวลา 2 – 3 สัปดาห์ และยอมรับความรู้สึกของคุณว่ามีเหตุผล คุณจำเป็นต้องตรวจสอบความคิดของคุณ และเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของคุณ ให้อ่านทวนบันทึกประจำวันของคุณ และหารูปแบบความคิดที่เกิดขึ้นทุกวัน หาความเชื่อมโยงที่เหมือนกันผ่านความคิดของคุณ หรือเลือกเฉพาะความคิดที่รุนแรง แล้วเปลี่ยนความคิดในเชิงลบนั้นให้เป็นบางสิ่งบางอย่างในเชิงบวก
    • ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังรู้สึกแย่ เพราะว่าคุณทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จล่าช้าในที่ทำงาน แทนที่จะใส่ใจกับความล้มเหลว ให้คุณคิดถึงช่วงเวลาที่คุณบรรลุผลสำเร็จในบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในที่ทำงาน หรือประสบความสำเร็จในโครงงานที่แสนยาก ให้คิดกับตัวเองว่า “ฉันสามารถจัดการแก้ไขเรื่องนี้ได้ เพราะว่าฉันมีประสบการณ์ในการทำงานได้บรรลุผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว เพียงแค่ฉันต้องใส่ใจ และฉันจะทำงานอันน่าอัศจรรย์ใจ เหมือนกับงานอื่นๆ ของฉันได้อย่างแน่นอน”
    • คุณต้องการนำสิ่งที่คุณรู้สึก และเปลี่ยนมันให้เป็นสถานการณ์เชิงบวก รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกถึงมัน แต่จงรับรู้ว่ามีแนวทางอีกมากมายในการมองเห็นตัวเอง ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองดีขึ้น [18]
    • ให้อภัยตัวเองสำหรับความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ในอดีต คุณไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอดีต แต่ต้องให้โอกาสตัวเองในการปรับปรุงแก้ไข คุณรู้คำกล่าวที่ว่า “แต่งตัวให้สมกับงานที่เราอยากทำ ไม่ใช่แต่งตัวให้สมกับงานที่เราทำอยู่” หรือไม่? จงปฏิบัติต่อตัวคุณเองให้สอดคล้องกับคนที่คุณอยากจะเป็น ไม่ใช่คนที่คุณเป็น มันจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในการเป็นใครคนนั้น [19]
  7. ทันทีที่คุณค้นหากิจกรรมของคุณ คุณอาจมองเห็นว่าคุณได้พลาดสถานการณ์บางอย่าง เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ หากคุณสังเกตเห็นรูปแบบของพฤติกรรม เช่น การปฏิเสธในการเข้าสังคมบางงาน เนื่องจากความวิตกกังวล และความคิดในเชิงลบ คุณควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ ทันทีที่คุณเปลี่ยนกระบวนการความคิดเกี่ยวกับการเข้าร่วมงานสังสรรค์ได้ คุณจะสามารถนำพาตัวเองให้เข้าร่วมงานเหล่านี้โดยปราศจากความวิตกกังวลถึงผลลัพธ์ในเชิงลบที่จะเกิดขึ้น
    • ยกตัวอย่างเช่น คุณชอบปฏิเสธที่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ เพราะคุณคิดว่าพวกเขาจะเห็นว่าคุณน่าเบื่อ และกลัวว่าคุณจะปล่อยไก่ต่อหน้าคนอื่น แทนที่คุณจะคิดแบบนั้น ให้คิดเกี่ยวกับตัวเองในเชิงบวก และสิ่งที่คุณจะได้รับ เนื่องจากคุณมีเพื่อนคนอื่นที่ชอบคุณ และยินดีที่จะให้คุณไปด้วย ดังนั้นคุณเป็นคนที่น่าสนใจ คุณอาจพบเพื่อนใหม่ และสนิทสนมกับพวกเขามากขึ้นในที่ทำงาน
    • หากคุณคิดถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ แทนที่จะเป็นสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น คุณจะสามารถคิดถึงตัวคุณเองในเชิงบวกได้เช่นกัน [20]
  8. รูปแบบของการคิดนี้ต้องอาศัยเวลาในการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้วิถีทางใหม่ในการคิดเกี่ยวกับตัวเองต้องอาศัยการฝึกฝน แต่อย่ากลัวที่จะคิดเชิงบวกเกี่ยวกับตัวเอง มันอาจดูเป็นเรื่องยากในตอนแรก แต่หากคุณยังคงรับรู้ความรู้สึกของคุณ และระลึกได้ถึงพฤติกรรมเชิงลบของคุณ คุณสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ได้ และเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง คุณจะพบว่าคุณสามารถทำได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คุณมีความคิดเชิงบวกมากกว่าเชิงลบในแต่ละวันของคุณได้
    • หากคุณพบว่าคุณมีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับกระบวนการเหล่านี้ คุณอาจจำเป็นต้องพบนักบำบัด ซึ่งความคิด และพฤติกรรมบำบัดสามารถช่วยได้ โดยอาศัยนักบำบัดมืออาชีพที่รู้วิธี ซึ่งพวกเขาอาจสามารถเห็นบางสิ่งเกี่ยวกับตัวคุณที่คุณอาจมองไม่เห็น
    • ในกระบวนการความคิด และพฤติกรรมบำบัด นักบำบัดจะทำงานร่วมกันกับคุณในระหว่างที่คุณเดินหน้าสู่เป้าหมายของคุณ [21]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

ลงมือทำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. บางครั้งคนเรามีการเคารพต่อตัวเองต่ำ เนื่องจากพวกเขาทำในสิ่งที่คิดว่าผิด หรือล่อแหลม [22] จงยึดมั่นในศีลธรรม และจรรยาบรรณในชีวิตประจำวันของคุณ จะช่วยสร้างให้คุณเคารพต่อตัวเอง และเกิดความมั่นใจ
  2. บอกครอบครัว และเพื่อนของคุณเกี่ยวกับความสำเร็จของคุณ. เมื่อคุณประสบความสำเร็จในบางเรื่องที่คุณรู้สึกภูมิใจมาก นั่นเป็นช่วงเวลาที่คุณสง่างามที่สุด จงรับรู้ในความพยายามอย่างหนักของคุณ ยินดีกับตัวเอง และบอกให้คนอื่นร่วมยินดีกับการฉลองของคุณ สิ่งนี่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีในสิ่งที่คุณเป็นได้ดีขึ้นอยู่เป็นประจำ เพราะว่าคุณมีผู้อื่นคอยสนับสนุนคุณ
    • โทรหาคุณปู่ คุณย่า หรือคุณตา คุณยาย หรือส่งอีเมล์หาคุณป้า คุณน้า หรือคุณอาที่สนิท เพื่อแบ่งปันข่าวดี และเพื่อที่คุณจะสามารถฉลองร่วมกับครอบครัว และเพื่อนได้
    • รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีสำหรับคุณ และพวกเขา หากคุณกำลังพูดอยู่กับครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ นั่นหมายถึงการแบ่งปันกับคนที่คุณรัก และโอกาสคือ หากคุณต้องรู้สึกดีกับตัวเอง คุณมีเรื่องต่างๆ มากมายที่จะบอกผู้อื่นเกี่ยวกับความสำเร็จของคุณ [23]
  3. เมื่อเพื่อนคุณพูดว่า “ฉันชอบการนำเสนอของคุณ” พยายามหลีกเลี่ยงการปฏิเสธพวกเขาด้วยคำพูดเช่น “ฉันรู้สึกประหม่ามาก ฉันลืมสไลด์ทั้งแผ่น!” ให้พูดแค่ว่า “ขอบคุณ” และปล่อยให้คำพูดจมหายไป หากคุณรู้สึกไม่เห็นด้วย หรือทำให้ตัวเองรู้สึกต้อยต่ำในทุกครั้งที่ทุกคนพยายามทำให้คุณรู้สึกดี พวกเขาอาจหลีกเลี่ยงที่จะทำอีกในอนาคต ในครั้งหน้าหากคุณได้ยินบางอย่างที่ดีเกี่ยวกับตัวคุณเอง ให้ฟัง และรู้สึกมีความสุขได้อย่างเต็มที่แทนที่จะเห็นค้าน
    • มองนัยน์ตาของผู้พูด และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
    • หากคำชมทำให้คุณรู้สึกอึดอัด คุณไม่จำเป็นต้องรับมันไว้ อย่างไรก็ตาม หากคุณชอบคำชม จงรับมันไว้
  4. สำหรับบางคน การให้เวลาอย่างจริงจัง และห่วงใยในเรื่องสุขอนามัยของพวกเขา จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาควรค่าแก่การห่วงใยเอาใจใส่ การดูแลร่างกายของคุณสำคัญเท่าๆ กับการดูแลจิตใจของคุณ และรูปแบบของสุขอนามัยในระดับสูงสุดส่วนมากยังถือเป็นการผ่อนคลายด้วยเช่นกัน
    • ยกตัวอย่างเช่น การนอนแช่อ่างเป็นเวลานานๆ หรือประทินผิวของคุณด้วยสบู่ หรือโลชั่นกลิ่นหอมละมุน
    • สิ่งนี้จะแตกต่างจากการแต่งหน้าจัด หรือซื้อเครื่องแต่งกายแฟชั่น แต่มันหมายถึงการมองเห็นว่าร่างกายของคุณควรถูกให้เวลา และเอาใจใส่ [24]
  5. คุณรู้ว่าเสื้อเชิ้ตตัวไหนทำให้คุณรู้สึกเขินอาย และกางเกงตัวไหนที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด หากคุณมีเสื้อผ้าตามที่กล่าวมา ถึงเวลาที่คุณจะบริจาคเสื้อผ้าเหล่านั้นซะที จงใส่เสื้อผ้าในสีที่คุณชอบ หากคุณรู้สึกดีกับเครื่องแต่งกาย ความมั่นใจของคุณจะแสดงออกมาเอง หากบางคนล้อคุณเรื่องเสื้อผ้าที่คุณใส่ อย่าได้สนใจ และให้พูดว่า “ไม่เป็นไร อย่างน้อยฉันก็ชอบมัน!”
    • จำไว้ว่าคนทั่วไปไม่ได้มอง หรือพูดถึงคุณมากเท่ากับที่คุณคิดว่าพวกเขาทำ
    • หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายเพียงเพราะว่าคุณคิดว่าเป็นเสื้อผ้าตามสมัยนิยม ทำในสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดี และทุกคนจะเห็นว่าคุณดูสบายใจที่จะสวมมัน [25]
    • ในบางสถานการณ์ คุณอาจจะดูสบายใจมากกว่า หากคุณแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังไปประชุมธุรกิจ คุณควรแต่งกายให้สอดคล้องกับรูปแบบที่นายจ้างกำหนด ถึงแม้ว่าเสื้อผ้านั้นจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดก็ตาม
  6. ลองเสื้อผ้าเพื่อให้รู้ว่าแบบไหนที่ทำให้คุณรู้สึกดีที่สุด บางวันคุณอาจรู้สึกสุดแสนวิเศษ ในขณะที่วันอื่นคุณอาจรู้สึกสบายมากกว่า นี่เป็นเรื่องปกติ ลองแวะร้านขายเสื้อผ้ากับเพื่อนของคุณ และลองเสื้อผ้าสัก 2 – 3 ชุดที่มีสีสัน และสไตล์ที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่คุณจะพบว่าเสื้อผ้าบางชุดที่ลอง ทำให้คุณดูดี
    • ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของคุณเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าที่สัมพันธ์กับการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกของคุณ ยกตัวอย่างเช่น สวมเสื้อผ้าสีที่คุณโปรดปรานแสดงออกถึงความพึงใจ
    • หัวเราะเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่อาจดูไม่น่าจะใช่สำหรับคุณ เสื้อผ้าบางชุดอาจดูเหมาะกับคนอื่นมากกว่า
    • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคุณ สามารถช่วยให้คุณค้นพบอีกด้านหนึ่งของคุณ โดยที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
    • ลองปรับเปลี่ยนการแต่งผมใหม่ สำหรับผู้ที่มีผมยาวอาจลองถักเปีย ม้วนผม หรือมวยผม ทดลองหาวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงออกตัวตนของคุณผ่านรูปร่างหน้าตาของคุณ และจำไว้ว่ามีตัวเลือกที่ใช่อยู่มากมาย ซึ่งคุณสามารถทำได้ทั้งหมดหากคุณชอบมัน [26]
  7. หากคุณออกไปข้างนอกกับเพื่อน และพวกเขาเริ่มพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดใจ ให้เปลี่ยนเรื่องพูด หากคุณพบว่าตัวเองอยู่ในบริษัทที่เอาแต่พูดถึงเรื่องภาพลักษณ์ ลองเปลี่ยนบทสนทนาที่มีเนื้อหาสาระไม่สำคัญให้น้อยลง หากเรื่องนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ คุณอาจต้องหาเพื่อนที่มีคุณค่าเข้มแข็งกว่า
    • ถามตัวเองหากเพื่อนของคุณส่วนมากกล่าวชม และสนับสนุนคุณหรือไม่ หรือชอบจับผิดในทุกๆ เรื่องที่คุณทำ หากพวกเขามีทัศนคติในเชิงลบเกี่ยวกับคุณ คุณควรจะเลิกคบกับคนเหล่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ การทำเช่นนี้อาจดูเป็นเรื่องร้ายแรง แต่มันก็สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกกับตัวเองดีขึ้น [27]
    • ยกตัวอย่างเช่น ลองเปลี่ยนหัวข้อในการพูดคุย หากเพื่อนของคุณเริ่มพูดเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของพวกเขา หรือควบคุมอาหาร ในขณะที่คุณไม่ต้องการจะพูดถึงมัน แสดงให้พวกเขาเห็นว่ามีเรื่องต่างๆ มากมายให้พูดถึง เช่น ทีมฟุตบอลของพวกเขาทำผลงานเป็นอย่างไรบ้าง และลูกสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของพวกเขามีอายุเท่าไหร่แล้วเดือนนี้ เป็นต้น
  8. อ่านบทความเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในโลก คุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณมีความรอบรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน และจะช่วยให้คุณออกจากกิจวัตรประจำวันของคุณ และรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังแตกกิ่งก้านออกไป ลองลงเรียนการปั้นเครื่องปั้นดินเผา หรือดูหนังสารคดี ทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจที่จะเรียนรู้ และสำนึกในคุณค่าของโลกใบนี้ ในไม่ช้าคุณจะรู้สึกมีอำนาจ เนื่องจากความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงของคุณ และความรู้ทั้งหมดที่คุณได้รับมา
    • หากคุณเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจจริงๆ ให้แบ่งปันกับผู้อื่น ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกว่า คุณมีอะไรอีกมากที่จะให้แก่โลก
  9. การออกกำลังกายจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ แม้ว่าการลดน้ำหนัก หรือการมีหุ่นดีอาจเป็นผลพลอยได้ แต่การออกกำลังกายก็เป็นส่วนสำคัญ และจะทำให้คุณรู้สึกราวกับว่าคุณกำลังใส่ใจกับร่างกายของคุณมากกว่า และพัฒนากิจวัตรประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ การหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้คุณมีความสุขขึ้นจะช่วยได้ ให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และเรียนรู้ที่จะรักในอะไรก็ตามที่คุณจะทำ คุณจะรู้สึกดีกับตัวเองโดยการทำการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ นี้ในตารางเวลาของคุณ
    • หาคู่หูในการออกกำลังสักคน หรือสองคน เพื่อทำให้กิจกรรมเกิดความเพลิดเพลิน และกระตุ้นให้คุณอยากทำมากขึ้น คุณจะรู้สึกดีขึ้นไปอีก หากคุณมีเพื่อนคอยให้กำลังใจเมื่อคุณต้องการที่จะล้มเลิกความตั้งใจนี้ [28]
    • หากคุณรู้สึกไม่พอใจกับตารางการออกกำลังกายในปัจจุบัน หรือไม่พบสิ่งที่คุณชอบ ให้ลองเปลี่ยนไปเล่นกีฬาประเภทอื่น ทุกคนมีวิธีในการออกกำลังกายในแบบของตัวเอง คุณเพียงแค่หาให้พบว่าอะไรที่ใช่สำหรับคุณ
    • รูปแบบการออกกำลังกายที่มีค่าใช้จ่ายที่ถูก ได้แก่ การวิ่งในละแวกบ้าน หรือสวนสาธารณะ เต้นแอโรบิค หรือการออกกำลังกายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ หรือเรียกว่า วิธี Burpees
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

ทำให้ติดเป็นนิสัย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเป็นอาสาสมัครเป็นวิธีที่ดีในการรู้สึกดีกับตัวเอง และหนทางที่ยิ่งใหญ่ในการตอบแทนชุมชน และทำให้รู้ว่าคุณมีอะไรมากมายที่จะให้แก่โลก [29] หารูปแบบของการเป็นอาสาสมัครที่เหมาะกับพรสวรรค์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้ผู้อื่นอ่านหนังสือ หรือแค่เพียงพูดกับพวกเขา ทำให้มันกลายเป็นนิสัยอย่างน้อย 2 – 3 ครั้งต่อเดือน ทันทีที่คุณเริ่มต้นการเป็นอาสาสมัคร คุณจะพบว่ามีคนอีกมากมายที่คิดว่าคุณมีคุณค่า และนั่นเป็นเหตุผลที่คุณไม่ควรใช้เวลามากมายในการรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
    • คุณสามารถมีส่วนร่วมโดยการสอนผู้ใหญ่ หรือเด็กให้อ่านหนังสือ ทำความสะอาดสวนสาธารณะท้องถิ่น เป็นอาสาสมัครที่ห้องสมุด หรือร้านหนังสือท้องถิ่น หรือเป็นอาสาสมัครในสถานพักพิงผู้ไร้บ้าน
    • ขึ้นอยู่กับทักษะที่คุณมี มันอาจมีรูปแบบเฉพาะของการเป็นอาสาสมัครที่เหมาะสมสำหรับคุณ ยกตัวอย่างเช่น ทนายความสามารถรับคดีที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขส่วนรวม หรือสถาปนิกออกแบบบ้าน สามารถช่วยสร้างที่พักอาศัยโดยไม่คิดมูลค่า
  2. จงเขียนบันทึกประจำวันหลังจากคุณได้ผ่านกระบวนการความคิด และพฤติกรรมบำบัดแล้ว หรือแม้ว่าคุณจะยังไม่เคยใช้กระบวนการความคิด และพฤติกรรมบำบัดมาก่อนก็ตาม เพราะว่ามันสามารถช่วยให้คุณเดินอยู่บนเส้นทางของการรู้สึกดีกับตัวเอง คุณควรเขียนบันทึกประจำวันอย่างน้อยครั้ง หรือสองครั้งต่อสัปดาห์ และทำแผนภูมิความก้าวหน้าของคุณ ให้บันทึกสิ่งที่คุณทำเพื่อให้ตัวคุณรู้สึกดีขึ้น รวมไปถึงสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ลง มันสามารถช่วยให้คุณเริ่มเส้นทางสู่ความสุข แต่จะมีอุปสรรค หรือวันที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่ใช่วันของคุณอยู่เสมอ มันเป็นเรื่องสำคัญในการซื่อสัตย์ และถามตัวเองอยู่เสมอว่าอะไรสามารถทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น
    • จำไว้ว่าคุณกำลังออกเดินทาง และมันต้องใช้เวลาในการบรรลุผล จงอดทน และปลอมประโลมตัวเอง รู้ว่ามันต้องใช้เวลาในการปฏิบัติ
    • ใช้เวลาในการอ่านทวนบันทึกประจำวันของคุณอย่างน้อยเดือนละครั้ง ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นว่าคุณได้เติบโตขึ้นมากน้อยเพียงใด [30]
  3. หากคุณกำลังรู้สึกเสียใจ จงยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติ และบางครั้งอาจเป็นเรื่องดีที่คุณรู้สึกเสียใจ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถควบคุมอารมณ์ของคุณ และตัดสินใจที่จะไม่รู้สึกเสียใจ หากคุณไม่ต้องการ ทดลองสิ่งที่จะทำให้คุณมีความสุข หรือขอให้เพื่อนช่วย คนส่วนมากชอบที่จะทำกิจกรรมที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น
    • ยกตัวอย่างเช่น การตกปลา ช้อปปิ้ง ปีนเขา ต่อเติมบ้าน นั่งสมาธิ เล่นโบว์ลิ่ง พบเพื่อน ออกกำลังกาย และเขียนหนังสือ เป็นต้น
    • หากเป็นเวลากลางวัน ให้เปิดหน้าต่าง และปล่อยให้อากาศบริสุทธิ์ และแสงแดดผ่านเข้ามาในห้อง หากเป็นเวลากลางคืน ให้สวมใส่ชุดนอนสะอาด และนอนขดตัวใต้ผ้าห่มอุ่นอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือฟังเพลงที่คุณโปรดปราน หรือนอนแช่อ่างน้ำอุ่น หรืออาบน้ำ หากคุณรู้สึกเครียด ลองจินตนาการ น้ำจะช่วยชะล้างความวิตกกังวลให้คุณได้
    • ลองคิดวิธีที่ทำให้คุณสงบในแบบของคุณเอง เมื่อคุณโมโห หรือรู้สึกตึงเครียด ให้หายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ 3 ครั้ง เปิดเพลงที่คุณโปรดปราน หาทางทำให้จิตใจคุณสงบ และให้ใช้วิธีเหล่านั้นเมื่อคุณรู้สึกวิตกกังวลในครั้งต่อๆ ไป
    • รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่จะอารมณ์เสีย ยิ่งคุณสามารถจัดการปัญหาได้เร็วเท่าไหร่ คุณจะรู้สึกดีขึ้นได้เร็วเท่านั้น [31]
  4. หาสมุดบันทึก และเขียนสถานที่ที่คุณอยากไป ประสบการณ์ที่คุณอยากมี คนที่คุณอยากพบ และทักษะที่คุณอยากเรียนรู้ รายการในฝัน เป็นการเริ่มต้นที่ดีมากๆ ในการสร้างชีวิตให้เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน ผจญภัย และประสบการณ์ที่น่าสนใจ ให้ทำช่องสี่เหลี่ยมด้านหลังของแต่ละรายการ เพื่อที่คุณจะได้ทำเครื่องหมายเมื่อมันเกิดขึ้น การมีแผนการที่น่าตื่นเต้นสำหรับอนาคต และทำให้เป็นรายการหลัก ในการบรรลุผลอย่างจริงจัง สามารถช่วยให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง เพราะว่าคุณจะรู้สึกเหมือนกับคุณมีอะไรมากมายที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
    • จงแน่ใจว่าการผจญภัยในรายการของคุณสามารถเข้าถึงได้จริงๆ ไม่ว่ามันจะแปลกประหลาดเท่าไหร่ก็ตาม พยายามหลีกเลี่ยงการทำให้ตัวคุณเองหมดกำลังใจโดยเขียนบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่สามารถบรรลุผลได้ลงในรายการ
  5. ให้คิดว่ามันต้องใช้ความพยายามแค่ไหนในการมีชีวิตอยู่ให้เหมือนกับคนต้นแบบของคุณ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นแม่ของคุณ ชากิร่า หรือครูคณิตศาสตร์ของคุณ จงคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีน้ำใจอย่างไร พวกเขาตอบสนองต่อความผิดหวัง หรือการดูถูกอย่างไร และคนต้นแบบนั้นใช้ชีวิตในแต่ละช่วงเวลาอย่างสง่างาม และมีความสุขกับจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่อย่างไร โดยเฉพาะหากคุณกำลังรู้สึกตกต่ำ ให้คุณหลับตา และจินตนาการว่าคนต้นแบบของคุณจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
    • ใช้แหล่งที่มาภายนอกของแรงบันดาลใจสามารถช่วยคุณพิจารณาว่าคุณจะทำอะไรในสถานการณ์ที่ท้าทาย และจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณสามารถเอาชนะวิบากกรรมนั้นได้ [32]
  6. หากคุณต้องการรู้สึกดีกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง คุณอาจต้องการความช่วยเหลือ คุณต้องพึ่งพาเพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ผู้อื่นที่สำคัญหากคุณมี และคนสำคัญอื่นๆ ในชีวิตของคุณ นั่นอาจหมายรวมถึง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนในชั้นเรียน คุณจำเป็นต้องหันหน้าหาผู้อื่นในช่วงเวลาวิกฤต และมีหูไว้รับฟังเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ คุณต้องการเก็บรักษาคนที่เป็นคนดี และมีความหวังดีไว้รอบๆ ตัวคุณ เพื่อที่คุณจะสามารถรู้สึกตื่นเต้นกับชีวิตที่มีไว้เพื่อคุณ
    • แม้ว่าการบรรลุเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญ แต่การเข้าสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ใช้เวลาร่วมกับผู้อื่นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้งให้เป็นนิสัย
    • มันเป็นเรื่องสำคัญในการใช้เวลากับคนที่คุณรัก แต่ก็มีเวลาที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่อยู่เสมอ การมีเพื่อน และคนที่รักหลากหลายในชีวิตของคุณจะช่วยเพิ่มมุมมองของคุณ และจะทำให้คุณรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองดีขึ้น [33]
    โฆษณา


  1. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf
  2. http://cmhc.utexas.edu/selfesteem.html
  3. http://margiewarrell.com/neuroplasticity-to-outsmart-your-brain/
  4. http://msue.anr.msu.edu/news/abcs_of_changing_your_thoughts_and_feelings_in_order_to_change_your_behavior
  5. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  6. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  7. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  8. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  9. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  10. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf
  11. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  12. http://psychcentral.com/lib/in-depth-cognitive-behavioral-therapy/?all=1
  13. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf
  14. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf
  15. http://www.selfstairway.com/how-to-feel-better/
  16. http://www.selfstairway.com/how-to-feel-better/
  17. http://www.selfstairway.com/how-to-feel-better/
  18. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf
  19. http://www.selfstairway.com/how-to-feel-better/
  20. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf
  21. http://www.selfstairway.com/how-to-feel-better/
  22. http://liveboldandbloom.com/10/relationships/99-ways-to-feel-good-about-yourself-right-now
  23. http://liveboldandbloom.com/10/relationships/99-ways-to-feel-good-about-yourself-right-now
  24. http://www.wisebrain.org/worthtools.pdf

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 13,485 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา