ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เป็นเรื่องปกติที่เราทุกคนต้องเคยมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง รอยฟกช้ำมักมีสาเหตุมาจากการชนหรือการกระแทกกับสิ่งต่างๆ ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการแตกออกหรือฉีกขาด เมื่อไม่มีรอยแยกเป็นแผลบนผิวหนัง เลือดก็จะรวมตัวกันที่บริเวณใต้ผิวหนัง และทำให้เกิดเป็นรอยฟกช้ำขึ้นมา รอยฟกช้ำจะมีขนาดและสีแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่มักไม่น่าดูและจะมีอาการเจ็บเมื่อกดลงไป อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่จะช่วยป้องกันและลดการปรากฏตัวของรอยฟกช้ำได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ลดการปรากฏตัวของรอยฟกช้ำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การประคบเย็นเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะช่วยลดอาการบวม ทำให้รอยช้ำจางลง และบรรเทาอาการเจ็บได้ สีคล้ำของรอยฟกช้ำเกิดขึ้นจากการที่เลือดไหลซึมออกมาจากเส้นเลือดที่แตกออก และการประคบเย็นนี้จะช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลงและลดปริมาณของเลือดที่ไหลออกมา ซึ่งจะช่วยให้รอยช้ำลดลงได้ [1]
    • ในการประคบเย็น ให้ใช้เจลประคบเย็น น้ำแข็งก้อนห่อด้วยผ้าขนหนู หรือถุงที่บรรจุผักแช่แข็งห่อด้วยผ้าสะอาด ควรระวังอย่าประคบเย็นบนผิวหนังโดยตรง โดยควรห่อในผ้าขนหนูหรือผ้าก่อนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผิว ประคบลงบนบริเวณที่มีรอยฟกช้ำนาน 10 นาที แล้วจึงให้ผิวหนังได้พักประมาณ 20 นาทีก่อนเริ่มประคบอีกครั้ง ทำซ้ำวันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละประมาณ 60 นาที [2]
  2. หลังได้รับบาดเจ็บ ให้หาที่นั่งพักและพยายามยกส่วนที่มีรอยฟกช้ำให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจโดยเร็วที่สุด การยกส่วนที่ได้รับบาดเจ็บให้อยู่สูงจะทำให้เลือดไหลไปยังรอยฟกช้ำน้อยลง ซึ่งช่วยให้รอยช้ำจางลงได้
    • หากรอยฟกช้ำเกิดขึ้นบนขา ให้ยกขาขึ้นพาดพนักเก้าอี้หรือวางพักไว้บนกองหมอนที่ซ้อนกัน และหากรอยเกิดขึ้นบนแขน ให้วางพักไว้บนที่พักแขนหรือพนักโซฟา [3]
  3. อาร์นิกาเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลทานตะวัน ซึ่งสารสกัดของอาร์นิกาสามารถนำมาใช้เพื่อลดการอักเสบและการบวมที่เกิดจากรอยฟกช้ำและอาการเคล็ด มีหลักฐานบางชิ้น [4] แสดงให้เห็นว่าอาร์นิกาอาจช่วยลดรอยช้ำได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม หลักฐานเหล่านี้ยังคงไม่มีผลสรุปแน่ชัด [5]
    • อาร์นิกามีทั้งในรูปแบบเจล ขี้ผึ้ง และครีม สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพทั่วไป เพียงนวดอาร์นิกาในปริมาณเล็กน้อยลงบนรอยฟกช้ำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์
    • อาร์นิกายังมีในรูปแบบเม็ด ซึ่งสามารถทานเป็นประจำทุกวันเพื่อช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำได้ [6]
  4. การเกิดรอยฟกช้ำอย่างรุนแรงจะก่อให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรอยฟกช้ำเพิ่งเกิดขึ้น คุณสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดและอาการกดเจ็บได้โดยทานยาแก้ปวด เช่น อะเซตามีโนเฟน (acetaminophen) (เช่น Tylenol) หรือเอ็นเสด (NSAIDs) โดยยาแก้ปวดเหล่านี้สามารถช่วยลดการบวมได้อีกด้วย [7] อย่างไรก็ตาม ยาเอ็นเสดอย่าง Motrin จะทำให้ร่างกายเกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย
    • แม้ว่ายาแก้ปวดกลุ่มไอบูโพรเฟน (ibuprofen) จะต้านการแข็งตัวของเลือดและเป็นสาเหตุทำให้เลือดไหลไปยังรอยฟกช้ำมากขึ้น แต่ยาแก้ปวดเหล่านี้สามารถทานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ หรือกำลังทานยาเจือจางเลือด ห้ามรับประทานยาเอ็นเสดหากไม่ได้ปรึกษาแพทย์ [8]
  5. หลังการบวมในช่วงแรกเริ่มยุบลง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 48-72 ชั่วโมงหลังได้รับบาดเจ็บ ให้เปลี่ยนจากการประคบเย็นมาเป็นการประคบร้อนแทน การประคบร้อนจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดเลือดที่คั่งอยู่ใต้ผิวหนังและทำให้รอยฟกช้ำหายเร็วขึ้น [9]
    • ในการประคบร้อน คุณสามารถใช้แผ่นความร้อนไฟฟ้า กระเป๋าน้ำร้อน หรือผ้าเช็ดตัวสะอาดแช่ในน้ำอุ่น ประคบไว้นาน 20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง ควรแน่ใจว่ากระเป๋าน้ำร้อนไม่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังไหม้ได้
  6. มีวิธีการรักษาด้วยตนเองมากมายที่เชื่อกันว่าสามารถช่วยลดรอยช้ำได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้ยังคงไม่ได้รับการพิสูจน์โดยแน่ชัด และแม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าได้ผลจริงหรือไม่ แต่มีการวิจัยพบว่าว่าวิตามินเคมีคุณสมบัติในการรักษารอยฟกช้ำ ดังนั้น ผักใบเขียวบดละเอียด (เช่น ผักเคลหรือพาร์สลีย์) อาจช่วยลดรอยฟกช้ำได้ เนื่องจากผักใบเขียวเหล่านี้อุดมไปด้วยวิตามินเค นำใบพาร์สลีย์ (หรือผักเคล) 1 กำมือมาผสมให้เข้ากับวิชฮาเซล และทาลงบนผิวหนังบริเวณที่เกิดรอยฟกช้ำ โดยเชื่อกันว่าพาร์สลีย์จะช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยช้ำจางลง [10]
    • แม้ว่าวิธีนี้อาจไม่เห็นผลโดยทันที แต่การทานวิตามินเคแทนการทาบนรอยฟกช้ำสามารถช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำในอนาคตได้
    • แม้ว่าจะยังมีหลักฐานไม่เพียงพอเกี่ยวกับการใช้น้ำมันเซนต์จอห์นเวิร์ต อย่างไรก็ตาม เซนต์จอห์นเวิร์ตมักถูกใช้สำหรับรักษารอยฟกช้ำและการอักเสบ ทาน้ำมันเซนต์จอห์นเวิร์ตเล็กน้อยบนรอยฟกช้ำวันละหลายๆ ครั้ง [11]
    • คุณสามารถนำถุงตาข่ายหรือถุงน่องไนล่อนมาห่อใบพาร์สลีย์ก่อนจุ่มลงไปในวิชฮาเซล เพื่อให้ขั้นตอนการทำง่ายขึ้น
  7. แม้ว่าวิธีเหล่านี้จะถูกกล่าวถึงไปแล้ว แต่ตัวย่อนี้จะช่วยให้คุณจำสิ่งที่ควรปฏิบัติในการรักษารอยฟกช้ำได้ โดย RICE ย่อมาจาก Rest (พัก) Ice (น้ำแข็ง) Compression (รัด) และ Elevation (ยก)
    • Rest (พัก) : พักส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1-2 วัน
    • Ice (น้ำแข็ง) : ประคบน้ำแข็งบนบริเวณที่เกิดรอยฟกช้ำครั้งละ 10-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการเจ็บและการอักเสบ
    • Compression (รัด) : ใช้ผ้ายืดหรือผ้าพันรัดส่วนที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ เพื่อช่วยไม่ให้เกิดการบวมมากขึ้น
    • Elevation (ยก) : ใช้แรงโน้มถ่วงให้เป็นประโยชน์โดยยกแขนหรือขาที่ได้รับบาดเจ็บให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยลดอาการบวม [12]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จะช่วยให้ร่างกายของคุณฟื้นฟูได้เร็วขึ้นและป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำได้ โดยเฉพาะวิตามินซีและเค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำ [13]
    • วิตามินซีจะช่วยในการลดการเกิดรอยฟกช้ำ โดยการเสริมสร้างผนังของหลอดเลือดให้แข็งแรง จึงทำให้เลือดไหลซึมออกมาน้อยลงเมื่อเกิดการชนหรือการกระแทก ภาวะขาดวิตามินซีอย่างรุนแรง (โรคลักปิดลักเปิด) จะส่งผลให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย ซึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง ผู้ที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง หรือผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ แหล่งอาหารที่ดีของวิตามินซี ได้แก่ ผลไม้ในสกุลส้ม สตรอว์เบอร์รี่ พริกไทย และอาหารเสริมวิตามินรวม [14]
    • วิตามินเคจะช่วยในการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะช่วยให้รอยฟกช้ำหายเร็วขึ้น ผู้ที่มีวิตามินเคในระดับต่ำจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดรอยฟกช้ำมากขึ้น ภาวะขาดวิตามินเคอาจเกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในกระเพาะอาหารมากเกินไป โรคเซลิแอค ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือติดแอลกอฮอล์ แหล่งอาหารที่สำคัญของวิตามินเค ได้แก่ บรอกโคลี ผักปวยเล้ง กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาว [15]
  2. จับตาดูเด็กๆ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังเล่นอย่างปลอดภัย. เด็กๆ มักจะหกล้ม ขี่จักรยานล้ม ต่อยกันเอง วิ่งชนสิ่งของ และประสบอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการกระแทกบนผิวหนัง วิธีที่ดีที่สุดในการลดการเกิดรอยฟกช้ำสำหรับเด็กคือการป้องกันไม่ให้พวกเขาเล่นอย่างรุนแรงเกินไป
    • หมั่นเช็คอุปกรณ์ป้องกันของเด็กอยู่เสมอ โดยดูให้แน่ใจว่าอุปกรณ์มีขนาดที่พอดีและสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อสามารถป้องกันเด็กๆ ไม่ให้เกิดรอยฟกช้ำในขณะเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมภายนอก
    • ติดแผ่นโฟมไว้ที่มุมเคาน์เตอร์และโต๊ะกาแฟ และหากสามารถทำได้ ให้ยกโต๊ะออกไปในขณะที่เด็กกำลังเล่นกันอยู่
    • ควรแน่ใจว่าเด็กสวมรองเท้าที่สามารถป้องกันเท้าของเขาได้ การเลือกสวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อจะช่วยปกป้องข้อเท้า จึงสามารถป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำบนเท้าได้
  3. แสงแดดจะไปทำร้ายผิวของคุณ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีผิวบอบบางลง ซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้นที่ผิวจะถูกทำร้ายและเกิดรอยฟกช้ำ ดังนั้น จึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ โดยเฉพาะบนใบหน้า รวมถึงสวมหมวกและเสื้อแขนยาว เพื่อปกป้องผิวจากการถูกแดด
    • ควรเลือกสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว ซึ่งจะช่วยเพิ่มชั้นป้องกันและทำให้ได้รับบาดเจ็บน้อยลงเมื่อเกิดการชนหรือกระแทก และยังช่วยป้องกันแสงแดดได้อีกด้วย [16]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดรอยฟกช้ำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รอยฟกช้ำเป็นรอยที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง มีสาเหตุมาจากการที่เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังได้รับความเสียหาย เมื่อไม่มีรอยแยกเป็นแผลบนผิวหนังและมีเลือดไหลออกจากเส้นเลือดฝอย ก็จะทำให้เกิดเป็นรอยฟกช้ำขึ้นมา โดยส่วนใหญ่รอยฟกช้ำมักมีอาการเจ็บ นุ่ม และบวมขึ้นมา นอกจากนี้ รอยฟกช้ำยังมีหลายชนิดแตกต่างกัน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูก โดยรอยฟกช้ำบนผิวหนังสามารถพบได้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน รอยฟกช้ำที่เกิดบนกระดูกจะมีอาการรุนแรงที่สุด [17]
    • รอยฟกช้ำอาจปรากฏนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฟื้นฟู โดยเริ่มจากเป็นสีแดง แล้วเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีน้ำเงิน จากนั้นจึงกลายเป็นสีเหลือง
    • หากพบประวัติการเกิดรอยฟกช้ำในครอบครัว แพทย์ของคุณอาจลองตรวจดูว่าคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดมีความผิดปกติหรือไม่
  2. ยาบางชนิดอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ เนื่องจากยาเหล่านี้จะส่งผลให้เลือดเจือจางลง ซึ่งจะทำให้เกิดลิ่มเลือดและก่อให้เกิดรอยช้ำขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ยาเจือจางเลือดยังทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย รอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นจากการทานยาเจือจางเลือดอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้น แพทย์ของคุณอาจปรับขนาดยาให้เหมาะสมหรือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการลดการเกิดรอยฟกช้ำ
    • ยาเจือจางเลือดต่างๆ เช่น Coumadin Xarelto Aspirin Warfarin Heparin หรือ Pradaxa อาจทำให้ร่างกายของคุณเกิดรอยฟกช้ำได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ ในช่วงที่ใช้ยาเหล่านี้ รอยฟกช้ำอาจดูแย่ลงกว่าเดิมอีกด้วย เนื่องจากรอยฟกช้ำจำเป็นต้องให้เลือดที่ไหลออกมาจากเส้นเลือดที่แตกออกจับตัวกันเป็นลิ่ม และยาเจือจางเลือดนี้จะไปป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดและทำให้เลือดไหลซึมออกมายาวนานขึ้น
    • ยาชนิดอื่นๆ เช่น เอ็นเสด (NSAIDS) คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) แอนตี้นีโอพลาสติก (antineoplastics) จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเกล็ดเลือดและทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย
    • อาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา กระเทียม และแปะก๊วยจะทำให้รอยฟกช้ำหายง่ายขึ้น
    • คุณสามารถปฏิบัติตามวิธีที่แนะนำได้แม้กำลังใช้ยาเหล่านี้อยู่ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หากรอยฟกช้ำขยายวงกว้างหรือมีอาการบวมหรือเจ็บ [18]
  3. แม้ว่ารอยฟกช้ำโดยส่วนใหญ่มักจะหายเองภายใน 2 สัปดาห์ แต่ในบางกรณี รอยฟกช้ำอาจเป็นสัญญาณของอาการบาดเจ็บหรืออาการป่วยที่รุนแรง ตั้งแต่ปัญหาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติไปจนถึงโรคต่างๆ ได้ ดังนั้น คุณจึงควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้
    • รอยฟกช้ำมีอาการเจ็บปวดที่รุนแรงผิวหนังและผิวหนังโดยรอบเกิดการบวม
    • รอยฟกช้ำปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน
    • กำลังทานยาเจือจางเลือด
    • ไม่สามารถเคลื่อนไหวข้อต่อที่อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดรอยฟกช้ำได้ โดยอาการนี้อาจเป็นสัญญาณบอกของการมีกระดูกหัก
    • รอยฟกช้ำเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ และเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น มีรอยฟกช้ำเกิดขึ้น 5 จุดหรือมากกว่านั้น โดยไม่มีแผลบาดเจ็บ
    • พบภาวะเลือดออกผิดปกติในประวัติการเจ็บป่วยของตนเองและครอบครัว
    • รอยฟกช้ำอยู่บนบริเวณกะโหลกศีรษะหรือใบหน้า
    • มีภาวะเลือดออกผิดปกติในบริเวณอื่นๆ เช่น จมูก เหงือก หรือในอุจจาระ นอกจากนี้ การอาเจียนออกมาเป็นสีน้ำตาลคล้ำ (coffee grounds) และการถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีดำและเหนียวยังเป็นสัญญาณเตือนของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารอีกด้วย [19]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • โดยทั่วไปผู้หญิงจะมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าผู้ชาย และผู้สูงอายุจะมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นได้ง่ายว่าผู้ที่ยังมีอายุน้อย นอกจากนี้ บางคนอาจมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติมากกว่าผู้อื่น เนื่องจากพันธุกรรมหรือยาที่กำลังทานอยู่
  • สวมสนับเข่า หมวกกันน็อค สนับแข้ง และอุปกรณ์ป้องกัน เมื่อต้องเล่นกีฬาที่มีการปะทะกัน การใช้วิธีป้องกันเหล่านี้จะช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำเมื่อเกิดการชนหรือกระแทก ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในการเล่นกีฬาประเภทนี้
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,260 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา