ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เราทุกคนล้วนมีสิวที่ทำให้เกิดการระคายเคืองและรอยแดง รอยแดงจากสิวคือผลของการอักเสบ ไม่ใช่รอยแผลเป็น ในความเป็นจริงแล้ว อาการอักเสบช่วยให้เนื้อเยื่อของเราสร้างตัวขึ้นใหม่ และเป็นส่วนหนึ่งของผลของการที่ร่างกายของเราพยายามรักษาตัวเองและไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด แต่การที่ใบหน้าของเรามีอาการอักเสบเกิดขึ้นเต็มไปหมดให้ชาวโลกได้รับรู้นั้นก็เป็นเรื่องชวนหงุดหงิดไม่ใช่น้อย โชคดีที่ว่า เรายังพอมีวิธีบ้านๆ ที่สามารถช่วยลดหรือซ่อนรอยแดงที่เกิดจากการอักเสบได้จนกว่าผิวของคุณจะหายดี

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 2:

การรักษารอยแดงจากสิวด้วยวิธีที่ทำได้ภายในบ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้ผ้าสะอาดผืนบางๆ ห่อน้ำแข็งสักสองสามก้อนแล้วแนบลงไปบนสิวตรงๆ ควรระวังไม่ให้ใช้แรงกดลงบนใบหน้ามากเกินไป เนื่องจากการกดแรงๆ อาจทำให้สิวแตกได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดรอยแดงมากขึ้นและทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายเข้าไปอีก
    • อุณหภูมิเย็นจะควบคุมการไหลเวียนเลือดในร่างกายให้ช้าลง ช่วยลดอาการบวมและรอยแดงในเนื้อเยื่อได้รับการบาดเจ็บ นักกีฬาหลายๆ คนใช้วิธีการรักษาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการบาดเจ็บด้วยวิธีการบำบัดด้วยน้ำแข็ง (เช่น การแช่อ่างน้ำแข็ง หรือการประคบด้วยน้ำแข็ง เป็นต้น)
  2. ยาหยอดตามีจุดประสงค์เพื่อลดรอยแดง ตัวยาประกอบด้วยเตตราไฮโดรโซลีน ไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งช่วยในการรักษาอาการแดง (ปกติแล้วจะใช้สำหรับรอยแดงที่เกิดขึ้นในตา)
    • หยดยาหยอดตาลงบนคอตตอนบัด แล้วใช้ทาบนสิวอย่างเบามือ
    • อีกวิธีหนึ่งคือ จุ่มคอตตอนบัดในยาหยอดตา แล้วแช่ไว้ในช่องฟรีซหนึ่งคืน จากนั้นนำมาทาบนสิวอย่างเบามือ ความเย็นจะช่วยลดอาการอักเสบ ส่วนตัวยาไฮโดรโซลีน ไฮโดรคลอไรด์ ในยาหยอดตาจะช่วยรักษาอาการแดง
    • การทายาหยอดตาทั่วใบหน้าอาจทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้นได้ ควรทาเฉพาะบริเวณที่มีรอยแดง และไม่ควรใช้เทคนิคนี้บ่อยเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดผลร้ายแรงได้
  3. ยาแอสไพรินประกอบด้วยกรดซาลิซิลิก ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของครีมขัดผิวและยาทาที่ใช้ในการรักษาสิว กรดชนิดนี้จะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วยการไประงับเอนไซม์ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบขึ้นมา
    • บดยาแอสไพรินแล้วผสมกับน้ำในปริมาณเล็กน้อยให้กลายเป็นยาพอก จากนั้นใช้คอตตอนบัดค่อยๆ ทายาในบริเวณที่อักเสบ ปล่อยให้แห้งแล้วล้างออก แม้วิธีนี้อาจแก้ปัญหาไม่ได้ในทันที แต่ก็พอมีส่วนช่วยลดอาการแดงลงได้บ้าง
  4. ยาสีฟันส่วนใหญ่จะมีสารซิลิกาที่ช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้น ซิลิกาเป็นสารเดียวกันกับที่พบในซองสีขาวเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ลดความชื้นในอาหารว่างอย่างเนื้ออบแห้ง ซึ่งช่วยยืดอายุการเก็บรักษาได้
    • ทายาสีฟันบางๆ ลงบนสิวก่อนนอน และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งในตอนกลางคืน จากนั้นล้างออกในตอนเช้า
    • ห้าม ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของเมนทอลหรือฟลูออไรด์ ส่วนผสมพวกนี้อาจทำให้รอยแดงแย่ลงและเกิดสิวมากขึ้นกว่าเดิม
  5. น้ำมะนาวจะมีกรดซิตริกซึ่งมีส่วนช่วยในการกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า กรดซิตริกมีส่วนประกอบที่เป็นธรรมชาติในการทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น [1] ซึ่งช่วยให้รอยแดงจากสิวลดลงได้อีกด้วย ให้บีบน้ำมะนาวออกมาเล็กน้อย จุ่มด้วยสำลี แล้วทาลงบนสิวในตอนกลางคืน
    • น้ำมะนาวจะทำให้ ผิวกระจ่างใสขึ้น วิธีนี้จะต้องใช้เวลานานสักหน่อยและปฏิบัติเป็นประจำจึงจะเห็นผล แต่เม็ดสีผิวของคุณจะสว่างขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตาม หากคุณทาน้ำมะนาวเท่าที่จำเป็นและทาลงบนผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอกัน รอยแดงจากสิวก็อาจลดลงจนมองไม่เห็น
    • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดหลังจากทาน้ำมะนาว เนื่องจากน้ำมะนาวมักจะทำให้ผิวแห้ง ผิวของเราจึงเสียหายได้ง่ายเมื่อเจอแสงแดด ให้ทาน้ำมะนาวในตอนกลางคืนเท่านั้น แล้วล้างหน้าในตอนเช้า และทาครีมกันแดดที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนเป็นประจำ
    • น้ำมะนาวอาจขัดขวางการทำงานของยารักษาสิวชนิดอื่นได้ เช่นเดียวกับการรักษาด้วยของที่หาได้ภายในบ้านทุกชนิด ประสิทธิภาพในการใช้น้ำมะนาวรักษาสิวนั้นไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และควรปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ควรปรึกษาหมอหรือแพทย์ผิวหนังของคุณเกี่ยวกับการใช้น้ำมะนาวร่วมกับผลิตภัณฑ์ทาผิวอื่นๆ
  6. กล่าวง่ายๆ ก็คือ การประคบสิวด้วยอุณหภูมิอุ่นจะเปิดรูขุมขนออก ซึ่งจะเป็นการดึงแบคทีเรียหรือหนองให้ออกมาข้างนอกชั้นผิว และทำให้คุณสามารถทำความสะอาดน้ำมัน สิ่งสกปรก และเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปได้
    • เตรียมน้ำไว้ที่อุณหภูมิร้อนจัด เวลาที่คุณประคบอุณหภูมิร้อนๆ ลงบนใบหน้านั้น ช่วงแรกๆ คุณอาจรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกดีขึ้น ให้จุ่มผ้าขนหนูลงในน้ำร้อน หรือใช้ถุงชาร้อนๆ แล้วค่อยๆ แนบลงบนสิวประมาณ 30-60 วินาที
    • หลังจากประคบร้อนแล้ว ให้ตามด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่ใช้กันทั่วไป ผลิตภัณฑ์ขัดผิวหน้าหรือทำความสะอาดใบหน้าจะช่วยกำจัดน้ำมันและแบคทีเรียที่ถูกดึงออกมาจากการประคบร้อนได้
  7. หาซื้อผลิตภัณฑ์ลดรอยแดงตามร้านขายยาตามห้างเพื่อเอามาทาสิว. ให้หาซื้อผลิตภัณฑ์ที่ 'เห็นผลทันที' เภสัชกรอาจช่วยคุณได้
  8. คอนซีลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิกที่ช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้นเมื่อทาลงไปแล้วนั้นก็มีขายเช่นกัน
    • คอนซีลเลอร์สีเขียวจะช่วยปิดบังรอยแดงบนผิวของคุณ รองพื้นชนิดน้ำที่ตรงกับผิวของคุณ หรือแป้งฝุ่นที่ใช้ทาในขั้นสุดท้าย
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 2:

การปฏิบัติตนเพื่อรักษาผิวไม่ให้มีสิวมากล้ำกราย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ล้างหน้าเป็นประจำทุกวันด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่มีคุณภาพ. ล้างหน้าหนึ่งครั้งในช่วงเช้าและอีกครั้งในตอนกลางคืน บำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นทุกครั้งหลังจากล้างหน้า เสร็จแล้วก็ทายาทุกครั้ง
    • อย่าขัดหน้าแรงเกินไปหรือใช้อุปกรณ์ที่มีผิวหยาบ เช่น ใยบวบ หรือผ้าขนหนู ในการทำความสะอาดใบหน้า แค่ใช้มือของคุณก็เพียงพอแล้ว เวลาที่เช็ดหน้าให้แห้ง ให้ค่อยๆ ใช้ผ้าขนหนูซับจนแห้ง (หรือปล่อยให้แห้งเอง) อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแรงเกินไป
    • หากคุณใช้ยารักษาสิวที่หาซื้อเองทั่วไปและใช้วิธีรักษาด้วยสิ่งของใกล้ตัวภายในบ้านมานานถึง 2 เดือนแล้ว แต่ยังไม่เห็นถึงความความก้าวหน้าใดๆ กับสิวบนใบหน้าของคุณ ให้ไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
  2. แพทย์หลายคนแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 3 ลิตร (13 ถ้วย) ต่อวันสำหรับผู้ชาย และ 2.2 ลิตร (9 ถ้วย) ต่อวันสำหรับผู้หญิง [2] เนื่องจากวิธีนี้ค่อนข้างจะจำง่าย เราแนะนำให้ใช้กฎ "8 คูณ 8" ซึ่งก็คือ ดื่มน้ำ 8 ออนซ์ 8 แก้วต่อวัน
    • เมื่อร่างกายขาดน้ำ คุณจะสูญเสียความชุ่มชื้นในผิวของคุณไปด้วย หมายความว่า บริเวณผิวหนังของคุณจะมีการไหลเวียนน้อยเกินกว่าที่จะผลิตสารอาหารที่จำเป็นได้ [3] เมื่อใดที่ร่างกายของคุณไม่ได้รับน้ำอย่างเหมาะสม ผิวหนังของคุณเป็นที่แรกบนร่างกายที่จะรู้สึกถึงการขาดน้ำ
    • การดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยให้ตับและไตของคุณสามารถล้างสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำยังช่วยให้ลำไส้ใหญ่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
  3. ทำให้มั่นใจว่าร่างกายของคุณได้รับวิตามินอย่างเหมาะสม. งานวิจัยชี้ว่าวิตามินบางชนิดสามารถช่วยยับยั้งการอักเสบและเสริมสร้างให้ผิวมีสุขภาพดี [4] ต่อไปนี้คือวิตามินทั้ง 3 ชนิดที่คุณสามารถใช้ในการต่อสู้กับสิวโดยทั่วไปและรอยแดงโดยเฉพาะ
    • วิตามินเอ การขาดวิตามินเอในร่างกายนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบในลำไส้ ปอด และผิวหนัง [4] วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ นั่นคือเป็นสารที่ช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์ที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ ซึ่งทำลายเซลล์ผิวและเร่งการเกิดริ้วรอย [5] อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ได้แก่ ตับบด (ปาเต), แครอท, มันเทศ, ผักโขม, ฟักทอง, แอปริคอท และแคนตาลูป [6]
    • วิตามินบี 6 วิตามินบี 6 เป็นสารที่ละลายในน้ำ หมายความว่าคุณจะสูญเสียสารอาหารตัวนี้ไปเมื่อน้ำในร่างกายของคุณระเหยหรือถูกใช้งาน [4] ซึ่งหมายความว่า คุณควรบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 เข้าไปในร่างกายเป็นประจำทุกวันแทนการทานอาหารเสริม โดยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 มีดังนี้ เนื้อวัว, ไก่งวง, ถั่ว, เมล็ดธัญพืช, พืชตระกูลถั่ว และปลา [7]
    • วิตามินซี วิตามินซีเป็นต้นตอในการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของผิว วิตามินซียังช่วยป้องกันสารพิษที่ทำให้เกิดโรคและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย งานวิจัยชี้ว่าวิตามินชนิดนี้มีประโยชน์ในการต้านการอักเสบ [4] อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ได้แก่ พริกขี้หนู, ฝรั่ง, ผลไม้ตระกูลส้ม (มะนาว, ส้ม, เกรปฟรุต), คะน้า, บรอกโคลี่, กีวี่ และสตรอว์เบอร์รี่
  4. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การใช้สครับหรือมาส์กในการกำจัดชั้นผิวที่ตายแล้วที่สะสมระหว่างวันหรือสะสมมาหลายวันออกไป ให้ขัดผิวสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเพื่อให้ผิวใสขึ้น สุขภาพดีขึ้น และสะอาดขึ้น
    • คุณสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวได้ง่ายๆ ตามร้านขายยาใกล้บ้าน หรือจะทำขึ้นเองที่บ้านก็ได้เช่นกัน
  5. นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วความเครียดทำให้เกิดสิวได้อย่างไร แต่พวกเขาทราบว่าทั้งสองสิ่งมีความเชื่อมโยงกัน นั่นคือ เซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตไขมันจะมีตัวรับฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหมายความว่า เมื่อใดที่คุณเกิดเครียดขึ้นมา เซลล์ไขมันพวกนั้นก็จะทำงานผิดปกติไปด้วย [8] ไขมันเป็นสารมันๆ ที่จะอุดตันรูขุมขนและก่อให้เกิดสิว
    • ออกกำลังกาย แม้แต่การเดินวันละ 20 นาทีก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ อาสาเป็นคนพาสุนัขไปเดิน การออกกำลังกายจะช่วยลดระดับความเครียดของคุณได้ ซึ่งจะมอบโอกาสให้คุณมีผิวที่ดีขึ้น
    • หันมาเล่นกีฬา กีฬาไม่ได้มีไว้สำหรับพวกบ้าพลังเท่านั้น ความจริงแล้วผู้คนแต่ละประเภทล้วนมีกีฬาที่เหมาะกับลักษณะของเขา เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือคุณได้มีความสุข ได้เผาผลาญพลังงาน และได้หาทางออกสนุกๆ ให้กับความเครียดของคุณ
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน จากนั้นล้างสบู่ออกด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขนบนใบหน้า
  • หลีกเลี่ยงการบีบสิว หากทำได้
  • สบู่แบบธรรมดาก็ใช้ได้ แต่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะ หากมี
  • ทาครีมกันแดดแบบปราศจากน้ำมันที่ SPF 15 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน รอยแดงบางชนิดก็เกิดจากผิวที่แห้งเกินไป
  • เปลี่ยนสบู่ทุกๆ สองถึงสามเดือน เนื่องจากผิวของคุณอาจเคยชินกับสบู่ที่ใช้อยู่
  • ปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่สามารถแนะนำยาให้คุณได้ หากรอยแดงบนใบหน้าเป็นปัญหาที่แก้ไม่หายสักที
  • สบู่ "โดฟ" ช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากสิวได้ดี แต่จริงๆ แล้วสบู่ยี่ห้ออื่นๆ ก็ใช้ได้เหมือนกัน
  • หากจำเป็นต้องบีบสิวจริงๆ ควรล้างมือให้สะอาด แล้วใช้กระดาษทิชชู่ในการบีบสิว หลังจากนั้น ให้แต้มครีมฆ่าเชื้อบนรอยสิวเพื่อกำจัดแบคทีเรีย
  • ก่อนที่จะใช้วิธีการอบไอน้ำ ควรแน่ใจว่าใบหน้าของคุณนั้นปราศจากสิ่งสกปรก ผิวที่ตายแล้ว ฯลฯ เนื่องจากสิ่งตกค้างบนใบหน้าอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้
  • การที่คุณเป็นคนผิวมันไม่ได้หมายความว่าผิวหน้าของคุณไม่ต้องการการบำรุงผิว! ควรใช้ครีมบำรุงผิวแบบปราศจากน้ำมัน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าระหว่างวัน การสัมผัสใบหน้าจะทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายไปบนใบหน้าของคุณ
  • อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป ไม่อย่างนั้นน้ำมันที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติบนผิวหน้าของคุณอาจถูกล้างออกไปด้วย
โฆษณา

คำเตือน

  • การบีบสิวอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้
  • หากคุณจะบีบสิว ให้พยายามทำอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 34,371 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา