ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

พอใช้ไปนานๆ ก็มักเริ่มมีตะกรันในเครื่องชงกาแฟ Keurigs จนส่งผลต่อการทำงานของเครื่อง กระทั่งรสชาติกาแฟก็เปลี่ยนไป โชคดีที่คุณล้างตะกรันในเครื่องชงกาแฟ Keurig ได้ง่ายนิดเดียว โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดโดยเฉพาะ หรือวัตถุดิบที่มีในบ้าน 2 - 3 อย่าง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

เตรียมตัวก่อนล้างตะกรัน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณถอดที่กรองกาแฟหรือที่รองแก้วได้ด้วย แต่จะทิ้งไว้ในเครื่องก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ถอดที่กรองกาแฟกับที่รองแก้วข้างใน ก็จะช่วยให้น้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำส้มสายชูออกไปยังทางน้ำไหล ไม่หกเลอะเทอะ [1]
  2. ถอดแทงค์น้ำออกจากเครื่อง Keurig แล้วเทน้ำทิ้งในอ่างล้างจาน. ถ้ามีไส้กรองน้ำข้างใน ให้เอาออกมาแล้ววางแยกไว้ก่อน
  3. ต้องปิดระบบ automatic shut-off หรือปิดเครื่องอัตโนมัติก่อน. ถ้าเป็นเครื่อง Keurigs ขนาดใหญ่ ก็ต้องแช่น้ำยาทำความสะอาดทิ้งไว้ในเครื่องนานหน่อย เพราะงั้นระหว่างนี้ต้องเปิดเครื่องชงกาแฟไว้ตลอด
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ล้างด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เติมน้ำส้มสายชูกลั่นขาวให้ได้ครึ่งแทงค์น้ำ. ให้ผสมน้ำส้มสายชูกลั่นขาว 1 ส่วนกับน้ำเปล่า 1 ส่วนก่อนเทใส่ เพราะถ้าเทน้ำส้มสายชูเข้มข้นแบบไม่เจือจาง จะเป็นอันตรายกับชิ้นส่วนในเครื่องชงกาแฟได้
    • อย่าใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล จริงๆ แล้วน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลใช้ล้างตะกรันในเครื่องชงกาแฟ Keurig ได้ตามปกติ แต่ข้อเสียคือคุณต้องล้างน้ำเปล่าให้สะอาดเยอะหน่อย กว่าจะกำจัดกลิ่นและรสของน้ำส้มสายชูชนิดนี้ออกไปได้หมดจด [2]
    • หรือจะล้างด้วยน้ำมะนาวแทนก็ได้ แค่เติมน้ำมะนาวให้ได้ครึ่งแทงค์ตามปกติ ถ้าตะกรันไม่เยอะเกินไป จะเติมแค่ 1/3 ของแทงค์ก็ยังได้ [3]
  2. ห้ามเทเกินเส้นบนสุดของแทงค์ น้ำที่เติมไปจะช่วยเจือจางน้ำส้มสายชู เพื่อความปลอดภัยของเครื่องชงกาแฟ
  3. พยายามเลือกถ้วยที่จุประมาณ 10 ออนซ์ (300 มล.) น้ำจะได้ไม่ล้นหรือหกออกมา
  4. ชงน้ำร้อนธรรมดา 1 ถ้วย จากนั้นเทน้ำที่ได้ทิ้งในอ่างล้างจาน. น้ำส้มสายชูจะไหลไปตามส่วนต่างๆ ของเครื่อง แล้วละลายตะกรันที่สะสมในเครื่องชงกาแฟ
  5. ชงแล้วเทน้ำทิ้งแบบนี้เรื่อยๆ จนแทบไม่เหลือน้ำในแทงค์. ถึงตอนนี้ เครื่องชงกาแฟของ Keurig ส่วนใหญ่จะขึ้นเตือนที่หน้าจอว่า "Add Water" คือให้เติมน้ำ หรือมีไฟกะพริบ ถ้าใช้เครื่องเล็กหน่อย เช่น K10 Mini Plus หรือ K130 Brewer ก็ให้ปิดเครื่องได้เลยตอนที่น้ำร้อนเริ่มหยดลงในถ้วยเซรามิก
  6. แช่น้ำส้มสายชูที่เหลือไว้ในแทงค์ประมาณ 4 ชั่วโมง. พอน้ำในแทงค์เกือบจะหมด และเครื่องชงกาแฟขึ้นเตือนที่หน้าจอว่า "Add Water" ให้หยุดชง แล้วปล่อยเครื่องไว้แบบนั้นประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำส้มสายชูออกฤทธิ์ละลายตะกรันอยู่ในเครื่อง
    • แต่ระหว่างนี้ต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้ ถ้าเปิดฟีเจอร์ "Auto Off" ไว้ ให้กด Menu 2 ครั้งเพื่อเข้า Auto Off settings แล้วกดปุ่มซ้าย (Left) เพื่อเลื่อนไปตามเลขชั่วโมงจนขึ้นว่า "Off"
  7. เทน้ำส้มสายชูที่เหลือทิ้งในอ่างล้างจาน แล้วล้างแทงค์ให้สะอาด. ต้องล้างทำความสะอาดจนไม่เหลือน้ำส้มสายชูค้างในแทงค์น้ำ ถึงจะทำขั้นตอนต่อไปได้
  8. ถึงล้างแล้ว แต่ก็ยังอาจมีน้ำส้มสายชูค้างอยู่ในแทงค์ได้ เพราะงั้นต้องล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด ถ้าไม่ทำตามนี้ ระวังชงกาแฟครั้งต่อไปแล้วรสชาติพิลึกไม่รู้ด้วย [4]
  9. ตอนนี้อาจจะฉุนกลิ่นน้ำส้มสายชูค่อนข้างแรง ถือว่าปกติ เดี๋ยวพอชงน้ำร้อนต่อไปเรื่อยๆ กลิ่นก็จะค่อยๆ จางหายไปเอง
  10. เทน้ำในถ้วยทิ้งลงอ่างล้างจาน ไม่ต้องล้างน้ำสะอาดอีกที เอากลับไปวางในถาดรองได้เลย
  11. ชงน้ำร้อนเปล่าๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือน้ำในแทงค์. ให้เทน้ำในถ้วยเซรามิกทิ้งในอ่างล้างจานทุกครั้ง ก่อนเอากลับไปชงน้ำร้อนถ้วยใหม่ สังเกตดูจะรู้สึกได้ว่ากลิ่นน้ำส้มสายชูจางลงเรื่อยๆ ในแต่ละถ้วย
    • ถ้าเป็นเครื่องชงกาแฟความจุน้อยๆ เช่น K10 Mini Plus กับ K130 Brewer จะชงได้ประมาณ 3 ถ้วย ก็น่าจะไม่ต้องเติมน้ำสะอาดในแทงค์อีก
    • ถ้าเป็นเครื่องชงกาแฟเครื่องใหญ่ เช่น Keurig K-Cup Home series, K145, K155 Brewers, Vue Brewers (V500, V600, V700) และ Rivo Brewers ต้องชงประมาณ 12 ถ้วย อาจจะต้องเติมน้ำเพิ่มในแทงค์ ถึงจะชงได้ครบ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ล้างด้วยกรดซิตริกและน้ำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ผสมกรดซิตริก 1 - 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 4 ถ้วยตวง (1 ลิตร) ปกติคุณหาซื้อกรดซิตริกได้ตามแผนกของหมักดองในซูเปอร์ บางทีก็เขียนว่า "sour soda" แทน ให้ใช้ช้อนคนกรดซิตริกผสมกับน้ำจนเข้ากัน
    • ถ้าใช้เครื่องชงกาแฟรุ่นเล็กหน่อย วางได้ถ้วยเดียว เช่น K10 Mini Plus หรือ K130 Brewer ก็ให้ใช้กรดซิตริกที่ผสมแล้วแค่ 1 ถ้วยตวง (240 มล.)
  2. กรดซิตริกจะไปละลายตะกรันที่เกาะตามด้านในเครื่องชงกาแฟ
  3. ต้องเลือกถ้วยที่จุน้ำร้อนที่จะชงได้ ไม่งั้นน้ำจะล้นหรือหกออกมา ทางที่ดีให้ใช้ถ้วยใหญ่ๆ ไว้ก่อน
  4. กรดซิตริกจะไหลไปตามส่วนต่างๆ ในเครื่องชงกาแฟ ไปละลายตะกรันข้างในเครื่อง
  5. เทน้ำร้อนถ้วยเดิมทิ้ง แล้วชงน้ำร้อนถ้วยใหม่. ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือน้ำในแทงค์
    • ถ้าใช้เครื่องชงกาแฟรุ่นเล็ก เช่น K10 Mini Plus หรือ K130 Brewer ให้ปิดเครื่องตอนที่เริ่มชงน้ำร้อน แล้วทิ้งไว้แบบนั้นประมาณ 30 นาที
  6. พอไม่เหลือน้ำในแทงค์ ให้เอาแทงค์ออกมาจากเครื่องชงกาแฟ แล้วเติมน้ำเย็นลงไป พอน้ำเต็มแทงค์แล้วให้ประกอบกลับในเครื่องชงกาแฟ เพราะตอนนี้จะยังเหลือกรดซิตริกค้างในเครื่อง ต้องล้างออกมาให้หมด ถ้าทิ้งไว้ระวังชงกาแฟคราวหน้าจะออกมารสชาติพิลึก
  7. ชงน้ำร้อนซ้ำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือน้ำในแทงค์. ทุกครั้งที่ชงน้ำร้อนแต่ละถ้วย ให้เทน้ำทิ้งในอ่างล้างจานก่อน แล้วค่อยเอาถ้วยเดิมกลับไปวางใต้หัวจ่ายน้ำ
    • ถ้าใช้เครื่องชงกาแฟรุ่นเล็ก เช่น K10 Mini Plus กับ K130 Brewer ก็ต้องชงน้ำร้อนซ้ำประมาณ 6 ถ้วยด้วยกัน [5]
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟของ Keurig โดยเฉพาะ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผสมน้ำยาของ Keurig 1 ส่วนกับน้ำ 1 ส่วน แล้วเติมลงในแทงค์น้ำ. จริงๆ แล้วจะใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบอื่นก็ได้ แต่ต้องอ่านแล้วผสมน้ำยาในสัดส่วนที่ผู้ผลิตแนะนำอย่างเคร่งครัด ส่วนใครใช้น้ำยาของ Keurig เรามีคำแนะนำในการผสมน้ำยากับน้ำมาฝากกัน [6]
    • ถ้าใช้เครื่องรุ่น K10 Mini Plus หรือ K130 Brewer ให้เติมน้ำยา 1/3 ขวด (ประมาณ 4.5 ออนซ์/135 มล.) ตามด้วยน้ำสะอาดต่อไปจนเต็มแทงค์
    • ถ้าใช้เครื่องรุ่น Keurig K-Cup Home series, K145, K155 Brewers, Vue Brewers (V500, V600, V700) และ Rivo Brewers ให้ใช้น้ำยาทั้งขวด จากนั้นเติมน้ำสะอาดในขวดน้ำยาเปล่า แล้วเทน้ำนั้นลงในแทงค์ด้วย
  2. ต้องเลือกถ้วยที่จุน้ำร้อนที่จะชงได้ ไม่งั้นน้ำจะล้นหรือหกออกมา ทางที่ดีให้ใช้ถ้วยใหญ่ๆ ไว้ก่อน
  3. ยกคันโยกขึ้น รอ 5 วินาที แล้วเอาคันโยกลง จากนั้นกดปุ่ม "brew" แล้วรอจนเครื่องเติมน้ำเต็มถ้วย จากนั้นเทน้ำร้อนที่ได้ทิ้งในอ่างล้างจานแล้ววางถ้วยกลับที่เดิม
  4. ชงน้ำร้อนแล้วเทน้ำทิ้งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือน้ำในแทงค์ พอหน้าจอขึ้นเตือนว่า "Add Water" ให้หยุดแล้วรอ 30 นาที ระหว่างนี้ต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้ตลอด น้ำยาทำความสะอาดจะไปละลายตะกรันข้างในเครื่องชงกาแฟเอง
    • ถ้าใช้เครื่องรุ่น K10 Mini Plus หรือ K130 Brewer ให้ชงน้ำร้อนอีกถ้วย แล้วปิดเครื่องตอนน้ำเริ่มไหลออกมา จากนั้นรอ 30 นาที แล้วเปิดเครื่องกลับมาเพื่อชงน้ำร้อนถ้วยสุดท้าย อาจจะต้องยกคันโยกขึ้น แล้วดันกลับลงมา เครื่องถึงจะเริ่มชง
    • ถ้าใช้เครื่องรุ่น Rivo Brewers ก็ไม่ต้องรอถึง 30 นาที ทำขั้นตอนต่อไปได้เลย
  5. พอไม่เหลือน้ำยาในแทงค์น้ำแล้ว ให้ดึงแทงค์ออกมาจากเครื่อง แล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นเติมน้ำเย็นลงไป ให้เราสันนิษฐานไว้ก่อนว่าน่าจะยังมีคราบน้ำยาตกค้างบ้าง เพราะงั้นให้ล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด
  6. ให้ทำขั้นตอนนี้ซ้ำหลายๆ ครั้ง จนไม่เหลือน้ำยาในเครื่องชงกาแฟ ถ้าไม่ล้างซ้ำๆ ระวังชงกาแฟครั้งต่อไปแล้วรสชาติพิลึก ถ้าสงสัยว่าต้องชงน้ำร้อนแล้วเททิ้งซ้ำกี่ครั้ง ลองอ่านข้างล่างนี้ดู [7]
    • ถ้าใช้เครื่องรุ่น K10 Mini Plus กับ K130 Brewer ให้ชงน้ำร้อนซ้ำประมาณ 3 ครั้ง
    • ถ้าใช้เครื่องรุ่น Keurig K-Cup Home series, K145, K155 Brewers, Vue Brewers (V500, V600, V700) และ Rivo Brewers ให้ชงน้ำร้อนซ้ำประมาณ 12 ครั้ง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • พยายามล้างตะกรันในเครื่องชงกาแฟ Keurig ทุก 3 - 6 เดือน
  • ถ้าหน้าจอของเครื่องชงกาแฟ Keurig ขึ้นเตือนให้ล้างตะกรัน ทั้งๆ ที่เพิ่งล้างทำความสะอาดไป อาจจะต้องทำความสะอาดและล้างน้ำซ้ำตามขั้นตอน
  • ถ้าบริเวณที่คุณอยู่อาศัยน้ำมีแร่ธาตุผสมอยู่สูง (รวมถึงน้ำบาดาลและน้ำกระด้าง) ก็ต้องล้างตะกรันในเครื่องชงกาแฟ Keurig ทุก 3 เดือนเป็นอย่างช้า
  • ถ้าน้ำไม่ไหลจากเครื่องชงกาแฟ ให้ปิดเครื่อง ถอดปลั๊ก แล้วเสียบกลับมาใหม่ จากนั้นลองชงน้ำร้อนสักถ้วย ถ้าน้ำไม่ไหลอีก ให้ถอดปลั๊กแล้วรอ 30 นาทีค่อยเสียบกลับไปใหม่ จากนั้นลองชงน้ำร้อนดูอีกรอบ [8]
โฆษณา

คำเตือน

  • คุณอาจจะเคยเห็นถ้วยสำหรับล้างเครื่องชงกาแฟแบบถ้วยเดี่ยวที่เขาขายกัน แต่บอกเลยว่าใช้ล้างทำความสะอาดได้เฉพาะตัวถ้วย Keurig ที่กรองกาแฟ และหัวจ่ายน้ำ แต่ล้างไปไม่ถึงแทงค์น้ำและท่อข้างในเครื่อง Keurig ซึ่งเป็นส่วนที่น้ำไหลผ่าน (และมักเกิดตะกรันสะสมด้วยนี่สิ)
  • อย่าล้างตะกรันในเครื่อง Keurig ด้วยน้ำผสมเบคกิ้งโซดา เพราะข้อดีของเบคกิ้งโซดาคือผงขัด คนถึงได้นิยมใช้ทำความสะอาด แต่ข้อเสียคือล้างออกยาก เท่ากับไปเพิ่มคราบในเครื่อง สกปรกหนักไปกว่าเดิม [9]
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • น้ำส้มสายชูกลั่นขาว/กรดซิตริก/น้ำยาล้างเครื่องชงกาแฟของ Keurig โดยเฉพาะ
  • น้ำสะอาด
  • ถ้วยเซรามิก
  • อ่างล้างจาน

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,140 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา