PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

จริงๆ แล้วการล้างรถด้วยตัวเองก็สบายใจดี บางทีก็เหมือนงานอดิเรกของใครหลายคน แถมยังช่วยประหยัดเงิน เพราะไม่ต้องเอาไปล้างตามร้าน คุณสามารถตรวจสภาพและดูแลรถที่รักของคุณได้ละเอียดเต็มที่ ถ้าเป็นร้านที่ล้างรถอัตโนมัติหรือใช้น้ำยาแรงๆ อุปกรณ์ขัดใหญ่ๆ บางทีก็ทำรถเป็นรอยหรือสีลอกได้ เพราะงั้นการล้างรถเองด้วยสองมือของคุณ นอกจากสะอาดได้ทุกซอกทุกมุมแล้ว รับรองรถจะเงาวับสีสวยเหมือนเดิมแน่นอน สถานที่ที่เหมาะสำหรับใช้ล้างรถก็คือพื้นคอนกรีตราบเรียบในที่ร่ม และมีสายยางให้ใช้น้ำได้ใกล้ๆ เวลาล้างรถให้ล้างทีเดียวเสร็จทั้งคัน ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง แล้วแต่ขนาดของรถและความสกปรก

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เตรียมตัวก่อนล้างรถ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อป้องกันไม่ให้รถแห้งเร็วเกินไปตอนกำลังล้าง ไม่งั้นจะเป็นคราบแห้งกรังที่สีรถได้ ถ้าล้างรถกลางแดด ระวังรถร้อนจัด ทำให้น้ำระเหยเร็วมาก จะล้างรถยากกว่าเดิมเพราะต้องแข่งกับเวลา อาจจะรีบล้างจนไม่ละเอียด [1]
    • เช็คว่าปิดหน้าต่างทุกบานแล้ว รวมถึงหดเสาอากาศ น้ำจะได้ไม่ไหลเข้าไปในรถ และไม่เผลอทำเสาอากาศหักตอนล้างรถ
    • อย่าให้ที่ปัดน้ำฝนแนบกระจก ให้ยกขึ้นจนคลิกตั้งขึ้น ห่างจากกระจกหน้ารถ
  2. หรือก็คืออุปกรณ์ล้างรถทั้งหลาย เช่น น้ำยาหรือแชมพูล้างรถ น้ำที่จะใช้ล้างรถ (ปริมาณมาก-น้อยก็แล้วแต่ขนาดของรถ) ถัง 3 ใบ (ตอนล้างด้วยน้ำยา 2 ถัง และล้างน้ำให้สะอาดอีก 1 ถัง) สายยาง และผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าขนหนูสำหรับเช็ดรถให้แห้งหลังล้างเสร็จ [2] นอกจากนี้ก็ต้องมีถุงมือล้างรถไว้สัก 2 - 3 อัน รวมถึงฟองน้ำขนาดใหญ่ แปรงขัดขนแข็ง และแปรงสำหรับขัดล้อรถแยกออกมา
    • เตรียมตัวเปียกและลื่นได้เลย เพราะงั้นต้องสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม ทั้งรองเท้า กางเกงขาสั้น หรือรองเท้าแตะยาง ถ้าอากาศร้อนหน่อย แต่ถ้าอากาศเย็น จะใส่กางเกงขายาวกับบูทยางก็ไม่ว่ากัน
    • แชมพูหรือน้ำยาสำหรับล้างรถโดยเฉพาะ หาซื้อได้ตามร้านประดับยนต์ ถ้าจะผสมน้ำยาในน้ำ 2 ถังที่เตรียมไว้ ก็ต้องอ่านแล้วปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้งานที่ขวดอย่างเคร่งครัด ว่าอัตราส่วนระหว่างน้ำกับน้ำยาคือเท่าไหร่
  3. แล้วผสมแชมพูล้างรถลงไปในปริมาณที่แนะนำไว้ที่ฉลาก เท่านี้ก็ได้ถังน้ำยาสำหรับล้างรถ แต่ถ้ารถสกปรกมากเป็นพิเศษ หรืออยากแยกเป็นถังล้างรถ 1 ถัง และถังล้างล้อรถอีก 1 ถัง ก็ให้ผสมน้ำยาในน้ำทั้ง 2 ถังที่เตรียมไว้ [3]
  4. นี่คือถังน้ำสะอาดสำหรับล้างน้ำยาออกให้หมด น้ำล้างรถใช้ถังเดียวก็พอ ไม่ว่าจะเตรียมน้ำผสมน้ำยาไว้ 1 หรือ 2 ถังก็ตาม [4]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ล้างรถ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ฉีดน้ำสายยางให้คราบสกปรกอ่อนตัวแล้วหลุดลอกออกมา. อย่าปรับน้ำให้แรงมาก เพราะอาจไปขูดขีดจนสีรถเป็นรอยได้ พยายามฉีดน้ำล้างรถจากบนลงล่างให้ทั่วทุกพื้นผิว [5] เพราะถ้าฉีดจากล่างขึ้นบนเวลาล้างหน้าต่าง น้ำอาจจะซึมเข้าไปในตัวรถได้ ถ้ายางขอบกระจกไม่แน่นหนาพอ
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Tom Eisenberg

    เจ้าของ West Coast Tires & Service
    ทอม ไอเซ็นเบิร์กเป็นเจ้าของและผู้จัดการของ West Coast Tires & Service ในลอสแองเจลิส ทอมมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 10 ปี เขาเริ่มเป็นช่างตั้งศูนย์ถ่วงล้อตั้งแต่อายุ 16 ปี และขยันทำงานจนก้าวหน้าขึ้นมาถึงระดับนี้ นิตยสาร Modern Tire Dealer โหวตร้านของเขาเป็นหนึ่งใน 10 ร้านที่ให้บริการดีเด่นที่สุดในอเมริกา
    Tom Eisenberg
    เจ้าของ West Coast Tires & Service

    การล้างรถบ่อยขึ้นจะช่วยทำให้รถคงสภาพได้นานขึ้น การล้างรถจะเอาสิ่งสกปรกออกไปได้ราว 70 เปอร์เซ็นต์ แต่หากคุณล้างรถแค่ครั้งเดือนในทุกหกเดือน สิ่งสกปรกจะจับตัวกันแน่นเสียจนการล้างธรรมดาไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย

  2. เพราะล้อนี่แหละคือส่วนที่สกปรกที่สุดของรถ เพราะงั้นล้างก่อนเลยจะดีที่สุด คราบดินและสิ่งสกปรกจะได้ไม่กระเด็นไปโดนส่วนอื่นของรถที่ล้างแล้วเรียบร้อย [6] ให้ใช้แปรงขัดล้ออันผอมๆ ยาวๆ สำหรับล้างซี่ล้อด้านนอก
    • ถ้าล้อสะอาดเงาวับอยู่แล้ว ก็ให้ใช้ฟองน้ำหรือถุงมือล้างรถทำความสะอาดแทน เหมือนที่ใช้กับตัวถังหลังฉีดน้ำล้างคราบดินและสิ่งสกปรกส่วนเกินออกไปแล้ว
  3. ก่อนจะเริ่มขัดผิวรถ ให้เอาถุงมือล้างรถอันใหญ่ๆ หรือฟองน้ำ ไปชุบน้ำผสมแชมพูล้างรถให้ชุ่มซะก่อน ถ้าแน่ใจว่าล้างคราบสกปรกส่วนเกินดีแล้ว ก็ลงมือล้างรถกันได้เลย ห้ามใช้แปรงขัดตัวถังรถ เพราะจะเป็นรอยขีดข่วนเล็กๆ เต็มไปหมด
    • ถ้าเส้นขนของถุงมือล้างรถยาวๆ ห้อยๆ หน่อย จะไม่ขัดหยาบเวลาล้างรถ เหมาะสำหรับใช้ล้างทำความสะอาดตัวถังรถ เพราะไม่ทำให้พื้นผิวของรถเป็นรอยขีดข่วน ขัดแล้วให้ล้างน้ำ จากนั้นจุ่มถังน้ำยาที่เตรียมไว้ซ้ำบ่อยๆ
    • ถุงมือล้างรถดีกว่าฟองน้ำตรงที่ซักทำความสะอาดในเครื่องซักผ้าได้เลย กำจัดเศษฝุ่นผงสิ่งสกปรกตกค้างได้อย่างรวดเร็ว
  4. ให้วนล้างรอบคันหลายๆ ครั้ง แต่ละรอบก็ให้ล้างลงต่ำด้วย การล้างรถจากบนลงล่างดีตรงที่น้ำยาจะไหลลงไปที่ส่วนล่างของรถตอนกำลังล้างส่วนบนอยู่ ทำให้ไม่ต้องมานั่งล้างจุดเดิมซ้ำ 2 รอบ
    • ถ้ารถสกปรกมาก ทั้งแชมพูและน้ำก็ต้องใช้เวลาหน่อย ให้เช็ดวนหลายๆ ครั้ง แต่ระวังอย่าขัดคราบสกปรกติดรถเยอะเกินไป เพราะอาจเกิดรอยขีดข่วนหรือสีรถลอกได้
  5. ขี้นกกับซากแมลงนี่แหละตัวทำร้ายสีรถเลย ต้องระวังมากๆ และกำจัดออกก่อนล้างรถ เรียกว่าเห็นเมื่อไหร่ให้รีบกำจัดออกโดยเร็วด้วยผ้าขี้ริ้วเปียกหมาด ในกรณีที่ถุงมือล้างรถขัดแล้วนุ่มนวลไป ไม่ยอมออก [7] ซากแมลงจะอ่อนตัวและกำจัดออกง่ายขึ้น ถ้าซับด้วยฟองน้ำชุบน้ำอุ่นจนชุ่มโชก พอน้ำอุ่นชุ่มซากแมลงแล้ว ก็เริ่มขัดออกได้เลย
    • ตรงไหนขัดยากเป็นพิเศษ ก็ต้องใช้ “น้ำยาทำความสะอาดซากแมลงและคราบยางมะตอย” โดยเฉพาะ เพราะกำจัดซากแมลงแห้งกรังได้ง่ายกว่า และไม่ทำร้ายผิวรถ ห้ามขัดหรือขูดแรงๆ หรือใช้แปรงขัดซากแมลงออกเด็ดขาด เพราะจะขีดข่วนสีรถเป็นรอย อย่างน้อยคราบฝังแน่นก็ยังดีกว่ารอยขีดข่วนที่เห็นแล้วปวดใจแล้วกัน
  6. ต้องเอาถุงมือหรือฟองน้ำไปจุ่มในถังน้ำสะอาดล้างสิ่งสกปรกตกค้างเรื่อยๆ เพราะถ้าเช็ดต่อทั้งที่มีคราบเหนียวหรือเศษสิ่งสกปรกติดตามถุงมือ จะไปขีดข่วนหรือทำสีรถลอกแน่นอน ให้หมั่นล้างถุงมือในถังน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ และพอสีของน้ำในถังเริ่มขุ่นหรือมีเศษอะไรลอย ให้เทน้ำทิ้งแล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ทันที
  7. พอล้างรถจุดหนึ่งด้วยน้ำยาแล้ว ให้ล้างน้ำสะอาดโดยฉีดน้ำจากสายยางให้เสร็จเป็นส่วนๆ ไป [8] ห้ามปล่อยให้น้ำยาแห้งจนเป็นคราบติดสีรถ เวลาล้างน้ำสะอาดก็อย่างที่บอก คือให้ล้างจากบนลงล่างเหมือนตอนล้างรถด้วยน้ำผสมน้ำยาในขั้นตอนก่อนๆ
    • อย่าลืมล้างมือจับเปิดประตู กรอบและซอกประตูด้านในที่เห็นเวลาเปิดประตู รวมถึงข้างใต้ของประตูรถด้วย เพราะไม่น่าดูแน่นอน ถ้ารถเงาวับแต่เปิดประตูมาเห็นฝุ่นหนาตามซอกมุมต่างๆ ของประตู
  8. ระหว่างล้างรถขยับไปทีละส่วน สำคัญมากว่าต้องคอยใช้สายยางฉีดรถทั้งคันให้เปียกอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่เกิดคราบหยดน้ำแห้งติดสีรถเป็นด่างดวง ล้างรถแล้วคุณต้องเป็นฝ่ายใช้ผ้าเช็ดน้ำให้แห้ง ไม่ใช่ปล่อยให้น้ำแห้งเองจนเป็นคราบไม่สวยงาม
  9. ขัดตัวถังรถด้านล่างกับล้อทีหลังสุด เพราะเป็นส่วนที่สกปรกและกรังกว่าส่วนอื่น [9] เพราะงั้นต้องใช้ถุงมือล้างรถหรือฟองน้ำแยกอีกอัน เพราะรับรองว่าล้างแล้วเขรอะไปทั้งอันแค่เฉพาะจุดนี้จุดเดียวแน่นอน
  10. ถ้ายางแห้งกรังหรือมีคราบดินสิ่งสกปรกและคราบเหนียวเกาะเต็มไปหมดเพราะขับรถไปลุยที่ไหนมา ก็ล้างธรรมดาด้วยฟองน้ำหรือถุงมือล้างรถไม่ออกแน่นอน [10] ต้องใช้แปรงพลาสติกขนแข็ง ถึงจะขัดคราบสกปรกออกจากแก้มยางได้หมดจด
    • ถ้าลองไปดูตามร้านประดับยนต์แถวบ้าน หรือร้านที่ใหญ่ๆ หน่อย น่าจะมีน้ำยาทำความสะอาดล้อและยางให้เลือกหลายยี่ห้อ ใช้แล้วจะทำให้ขัดคราบสกปรกจากล้อและยางได้ง่ายขึ้นอีกเยอะ
    • จะลง vinyl/rubber/plastic conditioner ที่เป็นน้ำยาบำรุงสำหรับใช้กับยางหรือส่วนที่เป็นพลาสติกสีเข้มด้วยก็ได้ ปกติมีขายตามร้านประดับยนต์ทั่วไปเช่นกัน
  11. พอล้างทำความสะอาดตัวถังรถทั่วทั้งคันแล้ว ให้ใช้สายยางฉีดน้ำล้างใต้รถด้วยจากหลายๆ มุม
    • โดยเฉพาะใครที่รถมีขี้เกลือถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะทิ้งไว้จะไปกัดกร่อนโครงสร้างใต้รถให้ผุพัง
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เช็ดให้แห้งแล้วลงแว็กซ์

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตอนเช็ดรถให้แห้ง จะใช้ผ้าหลายผืนก็ต้องยอม ล้างรถเสร็จให้เช็ดทั้งคันให้แห้งสนิทจากบนลงล่าง สนิมจะได้ไม่ขึ้น ย้ำว่าพอรถแห้งแล้วห้ามปล่อยให้มีรอยน้ำแห้งเองเด็ดขาด เพราะจะเป็นคราบ ทำสีรถลอก หรือรถเป็นสนิมได้
    • ผ้าไมโครไฟเบอร์นี่แหละสุดยอดผ้าที่ใช้เช็ดรถให้แห้งได้ทั้งคัน [11] พอใช้เช็ดรถแล้วให้เอาไปซักในเครื่องซักผ้าได้เลย แต่ตอนซักอย่าใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะจะไปติดตามรูพรุนของผ้าไมโครไฟเบอร์ พอซึมออกมาทีหลังจะทำให้เกิดคราบติดรถได้
  2. จะลงแว็กซ์ (หรือน้ำยาเคลือบเงาอื่นๆ) ได้ รถต้องสะอาดและแห้งสนิทแล้วเท่านั้น บางทีก็ต้องลงแว็กซ์เคลือบรถมากกว่า 1 ครั้ง สังเกตง่ายๆ คือถ้าน้ำไม่กลิ้งเป็นเม็ด (หรือมีแอ่งน้ำเล็กๆ บนผิวของรถ) หลังล้างรถ แสดงว่าถึงเวลาต้องลงแว็กซ์ใหม่แล้ว [12] ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้จะไม่จำเป็นต้องขัดตอนเคลือบเงาแล้ว เพราะเสี่ยงทำสีลอกหรือเสียชั้นเคลือบใสๆ ไป
    • แว็กซ์ (หรือหนึ่งในผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์สมัยใหม่) จะช่วยป้องกันไม่ให้สีรถโดนแดดเลียจนซีดจางหรือเสื่อม แถมยังช่วยป้องกันผิวรถไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนเวลาขับบนถนนแล้วมีกรวดหินกระเด็นมาโดน ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์จะอยู่นานกว่าแว็กซ์ ส่วนจะซื้อแพงกว่าอย่างที่ศูนย์รถแนะนำ หรือซื้อถูกกว่าตามร้านประดับยนต์ ก็ใช้ดีเหมือนกัน
  3. ให้กำจัดสนิมที่ตัวถังรถและซ่อมสีที่ลอกเห็นชัดเจน หรือปรับสภาพและแก้รอยขีดข่วนเล็กๆ กับจุดสนิมด้วย rust converter หรือน้ำยาหยุดสนิม เริ่มจากล้างเศษผงและน้ำยากัดสนิมออกก่อน จากนั้นปล่อยให้ rust converter แห้งและซ่อมแซมรอย อย่าเพิ่งลงแว็กซ์ตรงส่วนที่เพิ่งซ่อมสี
    • พวกส่วนประกอบที่ยึดเกาะกับตัวรถ เช่น ยางขอบประตูและกันชน กับแผ่นสะท้อนแสง จะติดแน่นทนนานถ้ารถสะอาดและแห้งสนิท ไม่ลงแว็กซ์เยอะเกินไป เพราะงั้นให้ซ่อมสีหรือติดชิ้นส่วนต่างๆ ก่อนจะลงแว็กซ์ที่รถ
    • ผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ที่ใช้แทนแว็กซ์ เช่น “Nu Finish” จะขัดออกง่ายกว่าแว็กซ์จริงๆ เยอะเลย ทั้งๆ ที่ทิ้งไว้จนแห้งสนิทนานๆ แล้ว
  4. เช่น RainX หรืออื่นๆ ที่ใกล้เคียง ให้ลงตอนที่กระจกสะอาดและแห้งสนิท จะช่วยไล่น้ำได้ ทัศนวิสัยชัดเจนเวลาขับรถ ถ้าน้ำไม่กลิ้งบนกระจกเป็นเม็ดๆ เมื่อไหร่ แสดงว่าถึงเวลาลงน้ำยาซ้ำ ปกติควรลงน้ำยาที่กระจกข้างและด้านหลังซ้ำทุก 2 - 3 เดือน และที่กระจกหน้าทุกเดือน เพราะเป็นส่วนที่สำคัญมากเวลาขับรถ โดยเฉพาะที่ปัดน้ำฝนมักทำน้ำยาเคลือบสึกไวกว่าที่อื่น
    • ถ้าใช้โฟมทำความสะอาดกระจก (glass cleaner) กระจกรถจะใสขึ้นอีกหน่อย ดีกว่าล้างด้วยแชมพูล้างรถกับน้ำสะอาดตามปกติ แต่จริงๆ แล้วหลังล้างรถ ถ้าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ก็เงาวิ๊งพอๆ กัน เวลาทำความสะอาด ให้เช็ดทั้งด้านในและด้านนอกของกระจกเลย
    • จะใช้ baby wipe หรือแผ่นเช็ดก้นเด็ก มาเช็ดทำความสะอาดกระจกหน้าแทนก็ได้เหมือนกัน
    โฆษณา

คำเตือน

  • ห้ามฉีด Windex หรือน้ำยาเช็ดกระจกอื่นๆ ที่ผสมแอมโมเนีย ที่ด้านในของหน้าต่างที่ติดฟิล์มสี เพราะจะทำให้ฟิล์มด่าง หรือลอกออกมาเลย ต้องเลือกน้ำยาสำหรับกระจกรถที่ติดฟิล์มโดยเฉพาะ
  • ระหว่างที่ล้างรถ ต้องให้เด็กและสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน เพราะสารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงและเด็กเล็กๆ ถ้าน้ำยาเข้าปาก ต้องรีบปฐมพยาบาลแล้วพาไปหาหมอทันที
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • ที่ร่มๆ สำหรับล้างรถ
  • แชมพูล้างรถ
  • สายยาง
  • ถังใหญ่ๆ 2 ใบ
  • ถุงมือล้างรถหนาๆ 2 อัน หรือฟองน้ำ
  • แปรงขัดล้อ (ไม่จำเป็น)
  • ผ้าขนหนู ผ้าคอตตอน หรือผ้าไมโครไฟเบอร์ (อย่างหลังจะดีที่สุด)
  • โฟมทำความสะอาดกระจก (Glass cleaner) (ไม่จำเป็น)
  • เครื่องดูดฝุ่น
  • น้ำยาเช็ดเคลือบเงา Pledge หรือแว็กซ์
  • แปรงขัดหรือผ้าขนหนู
  • น้ำยาทำความสะอาดแบบไม่ใช้สารเคมี (Green cleaner) (ไม่จำเป็น)

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,456 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา