ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ประโยชน์ของการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นที่รู้กันโดยทั่วและมีผลการวิจัยออกมามากมาย การวิ่งแค่เพียง 30-40 นาที เพียง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็เป็นแนวทางที่ยอดเยี่ยมในการเสริมสร้างความทนทานและกล้ามเนื้อ ในขณะที่ได้เผาผลาญไขมันด้วย [1] นั่นฟังดูดีทีเดียว แต่คุณจะ เริ่มต้นอย่างไรดีหากยังไม่มีประสบการณ์ในการวิ่ง ลองอ่านต่อไปเพื่อค้นหาคำตอบ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

การเตรียมพร้อมก่อนวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การวิ่ง อาจต้องอาศัยอุปกรณ์เพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างเดียวในการวิ่ง ซึ่งก็คือรองเท้านั้น ต้องเป็นรองเท้าที่คุณภาพดีและสามารถช่วยหนุนเท้าได้ การวิ่งจะสร้างแรงกดดันประมาณ 3 ถึง 5 เท่า ของน้ำหนักตัวคุณ ทิ้งลงไปที่บริเวณกล้ามเนื้อและข้อต่อ ซึ่งส่งผลให้เกิดความตึงเครียดบริเวณร่างกายท่อนล่างของคุณ [2]
    • ปัจจัย 2 ปัจจัยหลัก ที่คุณต้องพิจารณาในการเลือกรองเท้า ที่เท้าของคุณต้องการ คือ ส่วนที่รองรับแรงกระแทก (Cushioning) และส่วนที่ค้ำจุนการทรงตัวของเท้าเมื่อกระทบพื้น (Support)
    • ยิ่งโครงร่างคุณใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการส่วนที่ส่วนที่รองรับแรงกระแทกมากเท่านั้น และคุณอาจจะระบุความต้องการส่วนตัวลงไปด้วยก็ได้ เช่น ถ้าคุณชอบแบบใส่แล้วรู้สึกถึงสัมผัสที่รองรับการกระแทก ก็เลือกในแบบที่มีส่วนที่รองรับแรงกระแทกมากหน่อย แต่ถ้าคุณต้องการสัมผัสแนบพื้นมากกว่า ก็เลือกแบบส่วนที่รองรับแรงกระแทกน้อยกว่า [3]
    • ขนาดความหนาของส่วนค้ำจุนการทรงตัวของเท้าที่คุณควรเลือก ขึ้นอยู่กับความสูงของอุ้งเท้าคุณ และความยืดหยุ่นของเท้า หากอุ้งเท้าคุณสูง เท้าของคุณก็น่าจะมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า ซึ่งก็สามารถที่จะเลือกรองเท้าแบบที่มีประสิทธิภาพในการค้ำจุนน้อยกว่าได้ ในขณะที่หากคุณมีอุ้งเท้าต่ำ ก็ต้องเลือกแบบที่มีพื้นรองเท้าเพื่อช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวทรงตัวมากหน่อย
  2. หลังจากที่พอจะรู้ลักษณะของรองเท้าที่ต้องการแล้ว ก็ได้เวลาออกไปลงทุนซื้อรองเท้าดีๆ สักคู่
    • การวิ่งโดยใส่รองเท้าไม่เหมาะสม (รองเท้าที่ไม่ได้สำหรับวิ่ง หรือรองเท้าวิ่งที่เสื่อมสภาพ) เป็นวิธีที่เร็วที่สุด ในการพลาดล้มและทำให้ตนเองบาดเจ็บ ในทางกลับกัน การวิ่งด้วยรองเท้าที่เหมาะสม จะช่วยในการทรงตัว ป้องกันอาการบาดเจ็บ และเพิ่มความทนทานในการวิ่งได้ดีกว่า
    • ไปเลือกซื้อที่ร้านขายรองเท้าใกล้บ้าน เลือกซื้อคู่ที่เหมาะกับคุณที่สุด รองเท้าวิ่งเป็นการลงทุนที่ต่ำ ราคามีตั้งแต่ 1,000 กว่า ไปจนถึงมากกว่า 3,000 บาท หากคุณจะเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้ง ก็ลองคำนวณงบประมาณดูก่อน
    • มีร้านขายรองเท้ายี่ห้อต่างๆ ที่มีบริการให้เลือกรองเท้าแต่ละแบบบนหน้าเว็บไซต์ แต่ด้วยความที่คุณอาจจะไม่รู้ความต้องการของตัวเองแบบเฉพาะ โดยเฉพาะหากคุณเพิ่งเริ่มหัดวิ่งออกกำลังกาย การเลือกเองผ่านทางหน้าเว็บอาจจะไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำนัก ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุด คือไปที่ร้านที่มีพนักงาน ซึ่งสามารถประเมินดูจากรูปทรงเท้าของคุณ เพื่อเลือกคู่ที่เหมาะที่สุดให้
    • อย่าไขว้เขวไปกับรองเท้าพี่เสนอนวัตกรรมใหม่ๆ มันไม่จำเป็น ขอแค่รองเท้าที่มีส่วนรองรับการกระแทก และส่วนที่ช่วยซัพพอร์ทค้ำจุนเท้าของคุณ ตามความเหมาะสมและจำเป็นก็พอแล้ว [4]
    • ด้วยเหตุที่รองเท้าวิ่งเน้นการใช้งาน ดังนั้น รูปแบบของมันถึงอยู่เหนือแฟชั่น แน่นอนว่ามีรองเท้าวิ่งบางประเภทที่มีสีสันฉูดฉาด เพื่อดึงดูดผู้ซื้อ แต่ท้ายที่สุดแล้ว รองเท้าวิ่งก็มีไว้ปกป้องข้อต่อและกล้ามเนื้อของคุณ ไม่ใช่เอาไว้ประดับตกแต่งมัน
    • อย่าลืมสวมรองเท้าและลองวิ่งดูก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ นี่คืออีกสาเหตุหนึ่งที่การไปเลือกซื้อที่ร้านเอง เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันเปิดโอกาสให้คุณได้ลองวิ่งเหยาะๆ ดูสักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมัน หากคุณซื้อทางเว็บไซต์หรือออนไลน์ อย่าลืมเลือกซื้อจากร้านที่อนุญาตให้คุณคืนสินค้าได้หากจำเป็น และอย่าลืมสวมถุงเท้าที่คุณคาดว่าจะใส่เวลาวิ่งจริงๆ ตอนที่ไปลองสวมวิ่งที่ร้านด้วย [5]
    • คุณจะรู้ได้ว่า คุณเลือกซื้อรองเท้าถูกต้องแล้ว ก็ต่อเมื่อคุณไม่มีอาการอึดอัดทั้งระหว่างวิ่งและหลังวิ่ง หากรองเท้าของคุณครูดเท้าด้านใน หรือกัดเท้า จนทำให้เท้าพองหรือเจ็บแล้วล่ะก็ คุณอาจจะต้องปรับมันให้เข้าที่สักหน่อย หรือไม่ก็ต้องเอาไปเปลี่ยน
    • คุณควรเปลี่ยนรองเท้าวิ่ง ทุกๆ การวิ่งประมาณ 350-500 ไมล์ (560-800 กิโลเมตร) เมื่อคุณเห็นว่ามีบางส่วนของรองเท้าเริ่มสึกหรอ หรือเมื่อมันใส่แล้วเจ็บ [6]
  3. ทางเลือกหลักๆ 2 ทางของนักวิ่ง แน่นอนว่า คือ การวิ่งในร่มหรือลู่วิ่งในฟิตเนส และการวิ่งกลางแจ้ง
    • อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องสภาพอากาศในพื้นที่ๆ คุณอาศัยอยู่ รวมถึงช่วงเวลาของวันที่คุณต้องการวิ่ง พื้นผิวถนนที่มีให้วิ่ง และความปลอดภัยของพื้นที่ๆ คุณจะออกไปวิ่งด้วย
    • หากคุณพักอาศัยในละแวกที่มีพื้นผิวราบเรียบและนุ่ม เช่น ลานโรงเรียนหรือสถานศึกษา หรือสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งอย่างดี คุณก็สามารถเลือกที่จะออกไปวิ่งกลางแจ้งในพื้นที่ดังกล่าว
    • นอกจากจะต้องมีพื้นมีที่ราบเรียบเนียนนุ่มแล้ว การวิ่งกลางแจ้งที่ดีควรจะเป็นบริเวณที่มีแสงไฟเพียงพอ และเป็นที่นิยมของนักวิ่งออกกำลังกายรายอื่นด้วย
    • หากคุณไม่สามารถเข้าถึงบริเวณที่มีแสงไฟและปลอดภัย รวมถึงมีพื้นเรียบเสมอและนุ่มได้ การวิ่งบนลู่วิ่งก็ถือเป็นความคิดที่ดี
    • หากคุณวางแผนว่าจะวิ่งในตอนเช้าตรู่ หรือตอนดึกๆ ของวันนั้น การวิ่งในลู่วิ่งที่ฟิตเนสจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
    • สุดท้าย หากคุณอาศัยในพื้นที่ๆ มีอากาศสุดขั้ว ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งกลางแจ้ง ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการวิ่งในร่ม
  4. ก่อนที่คุณจะข้ามขั้นไปสู่การวิ่งเป็นกิจวัตร ควรเริ่มด้วยการเดินก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณยังใหม่ต่อการออกกำลังกาย หรือมีรูปร่างที่ไม่ฟิตมากเท่าไร [7]
    • เริ่มจากการเดินประมาณ 15- - 20 นาทีต่อวัน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
    • ค่อยๆ ยกระดับความเร็วการเดินของคุณ จนกว่าจะเข้าใกล้ระดับเดียวกับการวิ่งจ๊อกกิ้ง ให้เหมาะสมเป็นขั้นตอนต่อไป
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

การเริ่มออกวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเตรียมกล้ามเนื้อให้คลายตัวและมีความยืดหยุ่น เป็นหัวใจสำคัญในการหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ และความตึงเครียดสะสมในร่างกาย มันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องอุ่นเครื่องกล้ามเนื้อของคุณ ก่อนที่จะยืดเส้นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดเกร็งและบาดเจ็บ [8]
    • ก่อนยืดเส้นยืดสายสำหรับการวิ่ง ควรอุ่นเครื่องประมาณ 5-10 นาทีก่อน โดยไล่จากร่างกายส่วนบนลงล่าง หรือล่างขึ้นบนก็ได้ หมุนวนข้อต่อแต่ละส่วนของคุณไปตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกา จนกว่าจะรู้สึกผ่อนคลายและโล่งสบาย
    • หลังจากวอร์มอัพบริเวณข้อต่อแล้ว ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาทีในการออกกำลังบริหารแบบแอโรบิค เช่น กระโดดเชือก ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ
    • จากนั้น เริ่มการยืดเส้นยืดสายด้วยท่าผ่อนคลายช้าๆ หลังจากทำการยืดเส้นด้วยจังหวะช้าๆ จนครบถ้วนทุกส่วนแล้ว ก็เริ่มขยับไปยืดเส้นแบบหนักขึ้น เช่น การยกขาสลับข้าง และการแกว่งแขน.
    • หลังจากกล้ามเนื้อของคุณได้อุ่นเครื่องและผ่อนคลายแล้ว ก็เริ่มออกกำลังกายได้.
    • หลังสิ้นสุดการวิ่ง ใช้เวลาสัก 5 - 10 นาทีในการผ่อนการทำงานของร่างกายลง ด้วยการยืดเส้นแบบออกแรงมากหน่อย แล้วจึงตามด้วยการยืดเส้นแบบผ่อนคลาย การทำเช่นนี้จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและแข็งแรง รวมถึงช่วยป้องกันอาการเจ็บปวดและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อด้วย
  2. ในช่วงเริ่มแรกของการวิ่ง แม้ว่าคุณจะมีหุ่นนักกีฬามาก่อน แต่คุณกำลังใช้กล้ามเนื้อส่วนไหนและจะต้องค่อยๆ ปรับตัว ดังนั้น ควรเริ่มวิ่งช้าๆ ก่อน
    • ในการวิ่ง 2-3 ครั้งแรก ขอแนะนำให้วิ่งประมาณ 5 นาที จากนั้น จึงเดินอีก 2 นาที และก็เปลี่ยนกลับไปเป็นการวิ่งเหมือนเดิม นี่เป็นจังหวะการออกกำลังกายที่ดี ซึ่งสามารถช่วยให้ร่างกายคุณได้ปรับตัว [9]
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Tyler Courville

    นักวิ่งวิบากระดับอัลตราและวิ่งขึ้นเขา
    ไทเลอร์ คูร์วิลล์เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับ Salomon Running เขาผ่านการวิ่งอัลตราและวิ่งขึ้นเขาทั่วสหรัฐและเนปาลถึง 10 ครั้ง และชนะการแข่งขันคริสตัลเมาเท่นมาราธอนประจำปี 2018
    Tyler Courville
    นักวิ่งวิบากระดับอัลตราและวิ่งขึ้นเขา

    เรื่องราวจากผู้เชี่ยวชาญของเรา : "เวลาที่ผมวิ่ง ไม่ว่าจะเพื่อผ่อนคลายหรือวิ่งแข่ง ผมจะสังเกตเห็นว่ามันมักจะมีจุดตกต่ำอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณจะรู้สึกอยากเดิน และจุดคึกคักที่คุณรู้สึกว่าสดชื่นมาก และผมเองก็แกว่งไปมาระหว่างสองจุดนี้อย่างไม่มีเหตุผล ตอนรู้สึกท้อ ผมจะพยายามวิ่งต่ออีกสองสามนาทีเพราะผมรู้ว่าเดี๋ยวก็กลับมาคึกคักใหม่"

  3. แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเหมาเอาว่า ระยะทางและความไกลของการวิ่งที่คุณสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับความอดทนและความแนวแน่ล้วนๆ แต่การมีรูปแบบการวิ่งที่ถูกต้อง ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความสามารถในการวิ่ง [10]
    • หลีกเลี่ยงการวิ่งลงส้น หลายๆ คนชอบที่จะก้าวขายาวเกินไประหว่างที่สับเท้าวิ่ง ส่งผลให้ส้นเท้าได้รับการกระทบมากเกินไป ซึ่งส่งผลเสียทั้งต่อรูปแบบการวิ่งและร่างกายท่อนล่างของคุณด้วย เวลาที่คุณเขาเท้าหน้าโรง หัวเข่าของคุณควรอยู่เหนือเท้า และคางของคุณควรจะเป็นแนวดิ่งลงตั้งฉากกับพื้น [11] ลองจินตนาการดูว่า คุณจะวิ่งแบบไหนถ้าหากไม่ใส่รองเท้าเลย คุณย่อมจะหลีกเลี่ยงการลงส้น เพราะมันทำให้เจ็บ ดังนั้น เวลาคุณจะวิ่งก็แค่พยายามนึกภาพว่ากำลังวิ่งเท้าเปล่า
    • รักษาร่างกายท่อนบนให้ผ่อนคลาย เพลงยามปล่อยให้ขากรรไกรผ่อนคลาย และหลีกเลี่ยงการเกร็งมือและหัวไหล่ของคุณด้วย
    • ตั้งแขนของคุณให้ทำมุม 90 องศาเอาไว้ตลอดเวลา อย่าให้มันสูญเสียองศา ตอนที่แกว่งแขนไปข้างหลัง
    • หัด “วิ่งตัวตรง" เพื่อเป็นการจัดร่างกาย หรือช่วยรักษาท่าทางการวิ่งที่ถูกต้องให้ตนเอง คุณต้องระลึกไว้เสมอว่า ต้องวิ่งให้ตัวตรงหรือสูงขึ้น หรือนึกภาพเหมือนกับว่ามีใครมาดึงผมคุณขึ้นไป โดยเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย [12] คุณต้องวิ่งให้สะโพกและหัวไหล่ผ่อนคลายและได้ระดับ โดยให้แขนอยู่ข้างลำตัว หากต้องการจะเห็นภาพว่า ท่าวิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไรนั้น ลองประสานมือคุณ ล็อกนิ้วมือเอาไว้ด้วยกันและวางบนหัวของตัวเอง จากนั้น ก็วิ่งไป นั่นแหละคือท่าทางที่คุณต้องรักษาไว้อยู่เสมอ [13]
    • ประคองแขน 2 ข้างไว้ข้างลำตัวเสมอ อย่าปล่อยให้มันขวานออกมาข้างหน้าลำตัว มันเป็นท่าทางที่ผิดและเปลืองพลังงาน คุณควรจะจินตนาการว่า จะจับห่วงเข็มขัดด้วยหัวแม่โป้งของคุณในขณะที่กำลังแกว่งแขนไปหาข้างหน้าและข้างหลัง แนวของแขนให้ขนานกับลำตัว
    • หายใจให้สม่ำเสมอ พยามรักษาจังหวะการหายใจในขณะวิ่ง “หายใจจากช่องท้อง” ซึ่งก็คือการหายใจลึกๆ เข้าไปถึงช่องท้อง แทนที่จะหยุดอยู่แค่บริเวณช่องอก พยายามหายใจให้เข้ากับจังหวะการวิ่ง เพื่อให้หายใจได้อย่างสม่ำเสมอ [14]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ฝึกอย่างต่อเนื่อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การมีตารางวิ่งที่สม่ำเสมอ เป็นหัวใจสำคัญของการออกกำลังกายประจำวัน หากคุณหาเวลาเหมาะๆ ในแต่ละวันสำหรับการวิ่ง ระยะเวลาที่เหมาะสม และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คุณก็มีโอกาสในการรักษาวินัยของการออกกำลังกายให้คงที่และสม่ำเสมอได้
    • มองหาช่วงเวลาระหว่างวัน ที่คุณมีเวลาเพียงพอทุ่มเทให้การวิ่ง โดยไม่ต้องรีบเร่งหรือเคร่งเครียด
    • คำนึงถึงความปลอดภัยด้วย หากคุณจะวิ่งในที่มืด ควรสวมชุดสีสันสดใสและเตรียมไฟฉายไปด้วย หากคุณจะวิ่งในบริเวณที่ไม่ค่อยมีคน ก็ควรวิ่งระหว่างช่วงกลางวัน และอย่าลืมพกโทรศัพท์มือถือติดตัว รวมถึงเครื่องมือสื่อสารกรณีฉุกเฉิน รวมถึงอาจพกสเปรย์พริกไทยหรือสเปรย์ดอกจันทน์เทศ เอาไว้ป้องกันตัวด้วย
  2. สมัยนี้มีแอพพลิเคชั่นมากมาย ที่สามารถช่วยเหลือคุณได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การคำนวณความเร็วโดยเฉลี่ย ระยะทาง และจํานวนแคลอรี่ที่คุณเผาผลาญไป เพื่อช่วยให้การวิ่งของคุณเป็นเหมือนเกมที่เล่นสนุก โดยมีฉากของการวิ่งหนีผีซอมบี้ให้เลือกเล่นด้วย
    • ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณหันมาเป็นนักวิ่งที่จริงจัง คุณอาจลองพัฒนาอุปกรณ์การวิ่งที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ที่สามารถช่วยคำนวณอัตราการเต้นของชีพจรและหัวใจ รวมถึงรายงานความคืบหน้าต่างๆ ได้อย่างละเอียด
  3. เมื่อคุณเริ่มเข้าที่แล้ว ลองเพิ่มอัตราการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้รู้สึกว่ามาถึงทางตัน
    • ลองเพิ่มระยะทางและเวลาการวิ่งประมาณ 10 % ต่อสัปดาห์ เช่น หากคุณวิ่งประมาณ 5 กิโลเมตรในสัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้าลองเพิ่มเป็น 5.5 กิโลเมตรดู [15]
  4. การปรับเปลี่ยนตารางการวิ่งของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับการท้าทายบ้าง เพื่อไม่ให้มันออกกำลังกายอยู่ในกรอบแคบๆ ความหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ ในการช่วยให้คุณไม่เบื่อ หรือรู้สึกท้อแท้จากการวิ่งในแต่ละวัน [16]
    • การลองใส่รูปแบบออกกำลังกายใหม่ๆ เข้าไป จะช่วยปรับเปลี่ยนกิจวัตรเดิมๆ ดังนั้น คุณอาจจะลองวิ่งขึ้นบันไดหรือทางลาดชันดูบ้าง
    • ลองการวิ่งแบบสลับจังหวะอยู่ด้วยก็ได้ การสลับจังหวะประกอบด้วยการวิ่งแบบหนักหน่วงเป็นเวลาหลายวินาที ก่อนที่จะตามด้วยการวิ่งจังหวะปกติเป็นเวลาหลายนาทีสลับกัน
    • นอกจากนี้ คุณอาจจะเลือกกำหนดจุดเป้าหมายเอา และเร่งฝีเท้าไปให้ถึงจุดนั้น แล้วจึงกลับมาวิ่งตามจังหวะปกติเป็นเวลาหลายนาที ก่อนที่จะเลือกจุดเป้าหมายใหม่ สลับไปได้เรื่อยๆ [17]
    • ลองการวิ่งด้วยระยะทางไกลขึ้น แต่ช้าลง การวิ่งแบบนี้ช่วยกระจายการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และความทนทานกว่าที่คุณจะจบการวิ่ง 1 รอบ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้รูปร่างของคุณดูดี แต่ยังทำให้คุณไม่เบื่อหรืออยู่นิ่งกับกิจวัตรเดิมๆ [18]
  5. การวิ่งกับใครสักคน เป็นวิธีที่ดีในการสร้างแรงจูงใจ และทำให้ตัวเองไม่บ่ายเบี่ยง หรือเกี่ยงงอนในการวิ่ง
    • หากคุณไม่มีเพื่อนที่จะมาร่วมวิ่งกับคุณเลย ลองเข้าไปตามเว็บไซต์ของกลุ่มนักวิ่งในโลกออนไลน์ หลายๆ คนจะมีการโพสต์หาเพื่อนไปวิ่งด้วยกัน หรืออาจกำลังมองหากลุ่มนักวิ่งด้วยกัน [19]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดื่มน้ำสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่ดื่มก่อนและหลังการออกกำลังกาย
  • หากคุณจะจ๊อกกิ้งบนทางวิ่งหรือทางจักรยาน พยายามอยู่ชิดขอบด้านใดด้านหนึ่งเข้าไว้ เพื่อให้คนอื่นผ่านไปได้สะดวก
  • หากคุณวิ่งกลางแจ้ง ในเวลากลางคืนหรือฟ้ามืด อย่าลืมสวมชุดสีสันสว่างที่มองเห็นได้ง่าย พร้อมด้วยไฟฉาย หรือแถบสะท้อนแสงด้วย
  • หากคุณมีปัญหาในการสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง ลองหาคู่วิ่งมาวิ่งด้วยกัน หรือเข้าร่วมกลุ่มในโลกออนไลน์ จะช่วยเป็นวิธีที่ดีในการสร้างแรงจูงใจ และทำให้ตัวเองไม่บ่ายเบี่ยงในการวิ่ง
  • การวิ่งช้าๆ เป็นระยะทางสั้นๆ ยังดีกว่าไม่วิ่งเลย คุณยังเอาชนะพวกที่เอาแต่นั่งบนโซฟา ดังนั้น จงสับเท้าต่อไป
  • การวิ่งพร้อมกับเพื่อน จะดีกว่ากันมาก จะช่วยให้คุณสนุกกับการวิ่ง
  • การฟังดนตรีขณะออกกำลังกาย มีผลการศึกษามากมายพบว่า ช่วยในการเพิ่มแรงจูงใจ และดึงความสนใจของจิตใจและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 20,973 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา