ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

อาการทางจิตที่เรียกว่าไซโคพาธเป็นการประกอบสร้างทางบุคลิกภาพที่ประกอบด้วยกลุ่มลักษณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตใช้เรียกเพื่ออธิบายคนที่มีเสน่ห์ ชอบบงการ ทำร้ายจิตใจผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยม และมีโอกาสเป็นอาชญากร คุณอาจจะคิดว่าพวกไซโคพาธนั้นมีอยู่ทุกที่เพราะสื่อต่างๆ ใช้คำนี้บ่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีการประเมินว่า คนเป็นไซโคพาธนั้นคิดเป็นเพียง 1% ของประชากร [1] พวกไซโคพาธนั้นมีพรสวรรค์ในการซ่อนตัวให้ดูกลมกลืน หลายคนดูเหมือนคนธรรมดาและมองเผินๆ ก็ดูน่าคบหาด้วยซ้ำไป การประเมินรูปแบบบุคลิกภาพหลัก สังเกตผลกระทบทางอารมณ์ของคนๆ นั้น และพิจารณาความสัมพันธ์ของเขาจะทำให้คุณสามารถสังเกตได้ว่า คนใกล้ตัวเป็นไซโคพาธหรือเปล่า

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

สังเกตลักษณะนิสัยหลัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เช่นเดียวกับที่นักแสดงต้องสวมบทบาทหลากหลาย คนที่เป็นไซโคพาธเองก็สวมสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกกันว่า "หน้ากาก" ของความปกติที่น่าคบหาและเป็นมิตร คนที่เป็นไซโคพาธมักเป็นจุดสนใจของงานเลี้ยงและใครๆ ก็ดูชอบเขา แต่พวกเขาแค่ชักจูงให้คนอื่นชอบเขาเพื่อที่เขาจะได้บงการคนเหล่านั้นง่ายขึ้นในภายหลัง [2]
    • คนที่เป็นไซโคพาธจะแสดงออราของความมั่นใจที่ดึงดูดคนเข้าหาได้อย่างเป็นธรรมชาติ พวกเขาอาจจะมีหน้าที่การงานมั่นคงและประสบความสำเร็จในระดับนึง และพวกเขาก็อาจจะมีคนรักหรือแม้กระทั่งแต่งงานและมีลูกด้วย พวกเขาเล่นบทบาท “พลเมืองตัวอย่าง” ได้ดีเลยทีเดียว
  2. คนที่เป็นไซโคพาธมักจะเชื่อว่าตัวเองฉลาดกว่าหรือมีอำนาจมากกว่าความเป็นจริง พวกเขาชอบคบหากับคนใหญ่คนโตและคนที่ประสบความสำเร็จเพราะมันช่วยยกสถานะของเขา พวกเขาเชื่อว่าคนอื่นต้องปฏิบัติต่อเขาดีกว่าคนทั่วไป [3]
    • ความรู้สึกสำคัญตัวเองอย่างท่วมท้นมักทำให้เกิดรอยร้าวในหน้ากากของความปกติ พวกเขาจะไม่ไยดีคุณเลยถ้าคุณไม่มีคุณค่าหรือสถานะอะไรมอบให้เขา
  3. สังเกตความหุนหันพลันแล่นและความไม่รับผิดชอบ. ลักษณะทั้งสองอย่างนี้คือสิ่งที่พิสูจน์อาการไซโคพาธได้เป็นอย่างดี คนกลุ่มนี้มักจะมองไม่เห็นความผิดของตัวเองในโลกใบนี้เลย เป็นที่รู้กันดีว่า คนที่เป็นไซโคพาธจะบอกปัดความรับผิดชอบหรือไม่ยอมรับผลที่ตามมาจากการตัดสินใจของตัวเองเลย และอันที่จริงการปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลของพฤติกรรมที่เลวร้ายหรือ “การปัดความรับผิดชอบอยู่เสมอ" เช่น “ฉันไม่อยากไปทำงาน” หรือ “ผมว่าผมจะไม่เข้าประชุมแล้วไปดื่มแทน” นั้นเป็นความคิดหุนหันพลันแล่นที่ผุดขึ้นบ่อยในหัวของคนที่เป็นไซโคพาธ และเขาก็อาจจะทำอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาจะตรงข้ามกับคนที่ไว้วางใจได้และพึ่งพาได้อย่างสิ้นเชิง [4]
    • พวกเขาคิดว่าทุกอย่างหมุนรอบตัวเขา ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วแต่สภาวะอารมณ์ พวกเขาจะทำในสิ่งที่เขาอยากทำเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาอยากทำ ซึ่งก็อาจจะทำให้เขานอกใจ โกหก และขโมยของโดยไม่มีเหตุผล เขาอาจจะมีพฤติกรรมสำส่อนแม้จะกำลังคบหาใครอยู่หรือนอกใจบ่อยครั้ง เขาอาจจะถึงขั้นออกจากงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย (แน่นอนว่าเพราะเขาอยู่เหนืองาน)
  4. ถ้าคนรู้จักของคุณมักจะทำตามกฏเป๊ะๆ เขาก็ไม่น่าจะเป็นพวกไซโคพาธ เพราะพวกไซโคพาธเกลียดผู้มีอำนาจและมักจะมองว่าตัวเองอยู่เหนือกฎเกณฑ์ ซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมอาชญากรชายในเรือนจำประมาณ 25% นั้นเข้าข่ายเป็นพวกไซโคพาธ [5]
    • แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ลอยนวลโดยที่ยังคงละเมิดกฎหมายและไม่รู้สึกตะขิดตะขวง
  5. ดูว่าตอนเด็กๆ เขามีประวัติกระทำความผิดอาญาหรือไม่. ผู้เชี่ยวชาญพบลักษณะร่วมในช่วงวัยเด็กของผู้ใหญ่ที่เข้าข่ายเป็นไซโคพาธ คนที่เป็นไซโคพาธมักจะแสดงพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายในวัยเด็ก เช่น พฤติกรรมก้าวร้าวต่อผู้อื่น และพวกเขาก็อาจจะไม่มีปฏิกิริยาต่อความยุ่งยากหรือบทลงโทษเหมือนเยาวชนคนอื่นด้วย [6]
    • ตรวจสอบว่าคนที่คุณสงสัยว่าเป็นพวกไซโคพาธนั้นมีวัยเด็กที่กระท่อนกระแท่นหรือเปล่า เพราะอาจบ่งบอกถึงลักษณะของอาการไซโคพาธในวัยผู้ใหญ่
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

สังเกตการแสดงออกทางอารมณ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พิจารณาหลักศีลธรรมหรือจริยธรรมส่วนตัวของเขา. ถ้าคนที่คุณสงสัยอยู่ดูจะเป็นคนที่มีสามัญสำนึก พวกเขาก็อาจจะไม่ใช่พวกไซโคพาธ โดยทั่วไปคนที่เป็นไซโคพาธจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย พวกเขาจะทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อความก้าวหน้า และไม่สนใจเลยว่าระหว่างจะต้องทำร้ายใครบ้าง [7]
    • เช่น คนที่เป็นไซโคพาธมักจะไม่ได้ดำเนินชีวิตตาม "หลักศีลธรรม" เหมือนคนอื่นๆ พวกเขาอาจจะไม่รู้สึกว่า การตามจีบคู่เดตของเพื่อนหรือแข่งว่าใครจะได้เลื่อนตำแหน่งกับเพื่อนสนิทเป็นเรื่องผิดบาปอะไร แถมยังมีความสุขอีกด้วย
  2. พิจารณาผลกระทบหรือการตอบสนองทางอารมณ์ของเขา. คนที่เป็นไซโคพาธจะตอบสนองทางอารมณ์ได้แค่ผิวเผิน และไม่มีปฏิกิริยาต่อความตาย อาการบาดเจ็บ หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่สร้างการตอบสนองที่เป็นลบอย่างมากเหมือนคนปกติทั่วไป
    • ความแตกต่างระหว่างการตอบสนองของคนที่เป็นไซโคพาธกับคนที่เป็นออทิสติกโดยทั่วไปก็คือ คนออทิสติกแม้ว่าเขาจะดูเหมือนเฉยเมยในตอนแรก แต่เขาอาจจะสติหลุดเพราะความเศร้าโศกในภายหลังหรือค้นคว้าเพื่อหาวิธีช่วยแบบเป็นบ้าเป็นหลัง [8] แต่คนที่เป็นไซโคพาธจะไม่มีอารมณ์ที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่เลย
  3. โดยทั่วไปคนที่เป็นโรคไซโคพาธจะไม่มีความรู้สึกผิดหรือความสำนึกผิดใดๆ ความโหดเหี้ยมเป็นหนึ่งในลักษณะพื้นฐานที่ใช้ในการอธิบายคนเหล่านี้ พวกไซโคพาธอาจแกล้งทำเป็นรู้สึกผิดที่เขาทำไม่ดีเพื่อบงการไม่ให้อีกฝ่ายโกรธ
    • เช่น พวกเขาอาจจะแกล้งทำเป็นรู้สึกผิดที่ทำร้ายเหยื่อ เพื่อสุดท้ายแล้วเหยื่อจะได้มาปลอบใจ เขา แทน
    • สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าพวกไซโคพาธจะไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง แต่คนที่เป็นโรคนี้สามารถสร้างความเห็นอกเห็นใจปลอมๆ ขึ้นมาได้สมจริงมาก พวกเขาไม่สามารถเห็นอกเห็นใจได้ทันที แต่ถ้าจะทำก็ทำได้ (เช่น เพื่อให้คนอื่นหลงเสน่ห์) [9]
  4. ลองคิดดูว่าเขาไม่สามารถยอมรับผิดได้หรือเปล่า. เมื่อถูกตัดสินพวกไซโคพาธจะไม่มีวันยอมรับผิดหรือสารภาพว่าตัวเองทำผิดหรือทำพลาด หากถูกกดดันพวกเขาก็อาจจะยอมรับว่าทำผิด แต่จะบงการผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องรับผลของการกระทำ [10]
  5. พวกไซโคพาธมีความสามารถในการบงการอารมณ์และความรู้สึกไม่มั่นคงของคุณเพื่อให้คุณมองว่าเขาคือเหยื่อ สิ่งนี้จะทำให้คุณลดกำแพงลงและเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบในอนาคต ถ้าคุณสัมผัสได้ถึงการผสมผสานระหว่างการสร้างความรู้สึกว่าเขาคือเหยื่อ กับการกระทำที่ยอมรับไม่ได้หรือชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง คุณก็ควรระวังกมลสันดานของคนนี้ไว้ [11]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

สังเกตการปฏิบัติต่อความสัมพันธ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พวกไซโคพาธชอบสร้างความวุ่นวายและดรามา พวกเขามักจะเบื่อง่าย เพราะฉะนั้นสิ่งรอบตัวจะต้องน่าสนใจอยู่เสมอ พวกเขาอาจจะปลุกปั่นให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง จากนั้นก็ทำเหมือนว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ พวกเขาสร้างความปั่นป่วนในชีวิตของคนอื่น แล้วตัวเองก็นั่งดูแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว [12]
    • ถ้าใครสักคนในชีวิตของคุณเป็นพวกไซโคพาธ คุณก็อาจจะต้องตั้งคำถามว่าตัวเองสติดีหรือเปล่าหลังจากคุยกับเขา เช่น สมมุติว่าคุณอยู่ที่ทำงานและคนที่เป็นไซโคพาธก็มาเตือนคุณว่า เพื่อนร่วมงานของคุณคนนึงดูถูกคุณลับหลัง เขายุให้คุณเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานคนนั้นเลย หลังจากที่คุณเผชิญหน้ากันแบบหมดสภาพ สุดท้ายคุณก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็ถูกปั่นเหมือนคุณ
  2. ทุกคนล้วนขับเคลื่อนด้วยความเป้าหมายที่อยากจะได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่พวกไซโคพาธจะช่ำชองเรื่องพวกนี้มากเป็นพิเศษ พวกเขาสามารถทำให้คุณทำในสิ่งที่ปกติแล้วคุณจะไม่ทำ พวกเขาอาจจะใช้การปิดบัง ทำให้คุณรู้สึกผิด บีบบังคับ และวิธีอื่นๆ เพื่อให้เหยื่อทำตามที่เขาสั่ง [13]
    • เช่น คุณเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัท คนที่เป็นไซโคพาธทำทีมา “เป็นเพื่อน” กับคุณและล้วงจุดอ่อนของคุณ วันหนึ่งคุณมาถึงที่ทำงานและได้ยินว่า บริษัทกำลังตกที่นั่งลำบากเพราะข่าวฉาว ดูเหมือนว่าข้อมูลละเอียดอ่อนที่คุณบอกเขาไปจะถึงหูสื่อ คุณโดนไล่ออก ทายซิว่าใครจะได้เลื่อนขึ้นมาแทนคุณ
  3. พวกไซโคพาธบางคนจะแต่งงานหลายครั้งและอยู่กันไม่ยืด พวกเขาจะโทษว่าปัญหาในชีวิตแต่งงานเกิดจากอดีตคู่สมรส และไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวในชีวิตคู่
    • ความสัมพันธ์จะเริ่มจากการที่เขามองว่า คนรักของเขาคือคนในฝัน ผ่านไปสักพักเขาก็จะลดความสำคัญและสุดท้ายก็จะทิ้งคนรักไปหาคนใหม่ที่น่าสนใจกว่า พวกเขาไม่เคยผูกพันกับคนรักอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นการเดินออกจากชีวิตแต่งงานหรือความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องง่ายมาก [14]
  4. พวกไซโคพาธจะพูดโกหกสารพัด ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เพื่อหลอกให้คุณทำพลาดหรือสร้างเรื่องราวใหญ่โตโดยมีเจตนาชี้นำ และแม้ว่าความจริงจะไม่ได้มีเรื่องให้ต้องปิดบังเลย พวกเขาก็ยังคงโกหกโดยอัตโนมัติ และน่าประหลาดใจมากว่าเขาไม่รู้สึกละอายเลย แต่พวกเขากลับภูมิใจในคำโกหกของตัวเองด้วยซ้ำ และถ้าคุณคิดว่าคุณจับได้ พวกเขาก็แค่เปลี่ยนรายละเอียดเพื่อให้ดูสมจริง [15]
    • นอกจากนี้เขาจะไม่มีท่าทีหลุกหลิกเวลาโกหก พวกเขาจะนิ่ง ผ่อนคลาย และพูดเอาตัวรอดได้น้ำไหลไฟดับ เขาจะไม่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนเลย
  5. เวลาที่พวกไซโคพาธถูกต้อนจนมุมและถูกคาดหวังให้สำนึกผิด พวกเขาจะแสดงละครเพื่อตอบสนองสิ่งนั้น แต่เนื่องจากว่าผลกระทบทางอารมณ์ของเขามันน้อยมาก เขาจึงไม่สามารถกล่าวคำขอโทษที่ฟังขึ้นได้ [16]
    • คุณอาจจะสังเกตความไม่เสมอต้นเสมอปลายได้เวลาที่เขาพูดว่า “ผมไม่เคยคิดทำร้ายคุณเลยนะ” พร้อมกับรอยยิ้มเยาะน้อยๆ บนใบหน้าและน้ำเสียงที่ขาดความจริงใจ
    • ถ้าดูเหมือนว่าคุณจะไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนไปเดือดดาล พวกเขาอาจจะพูดว่า “เธอนี่อ่อนไหวง่ายจัง” หรือ “ผมคิดว่าเราจะจบเรื่องนี้กันซะอีก!”
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 146,709 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา