ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ความกระทบกระเทือนทางสมอง (concussion) สามารถกลายเป็นอาการบาดเจ็บศีรษะที่รุนแรงได้ แต่บางครั้งความรุนแรงของอาการอาจจะไม่ถูกสังเกตเห็นในทันที หากกลัวว่าเราหรือคนข้างกายอาจได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง ตรวจสอบอาการตามรายการนี้และไปพบแพทย์ ด้วยการตอบสนองที่รวดเร็วและการนอนพักเล็กน้อย ก็สามารถการันตีการฟื้นตัวจากความกระทบกระเทือนทางสมองได้เลย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

ตรวจความกระทบกระเทือนทางสมองในผู้ใหญ่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถึงแม้ว่าการหมดสติจะเป็นอาการเบื้องต้นของความกระทบกระเทือนทางสมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช่เสมอไป สังเกตว่าผู้ป่วยตอบสนองและกระตุ้นด้วยบทสนทนาได้หรือไม่ หากหมดสติ เช็คทางเดินหายใจ การหายใจ และการไหลเวียนโลหิต เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งหมดนั้นอยู่ในระดับปกติหรือไม่
  2. หากผู้ป่วยมีสติ สามารถดำเนินการวิเคราะห์ตามนี้ได้โดยทันที หากหมดสติ ต้องรอจนกระทั่งฟื้นอีกครั้ง คนที่มีความกระทบกระเทือนทางสมองจะปรากฏอาการต่อไปนี้
    • ตั้งสติได้ยาก
    • มึนงง
    • เสียความทรงจำ
    • จำเรื่องใหม่ๆ ได้ยาก
    • เชื่องช้า
  3. หากผู้ป่วยมีท่าทางแปลกๆ และแสดงอาการสภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปตามที่กล่าวมา ให้ถามคำถามบางข้อเพื่อกำหนดขอบเขตของความเสียหาย ลองถามคำถามทั่วไปเช่น “คุณชื่ออะไร” และ “วันนี้วันอะไร” หากผู้ป่วยสามารถตอบได้ถูกต้องทันที ลองถามคำถามที่เกี่ยวกับความทรงจำที่ซับซ้อนขึ้น
  4. ถามผู้ป่วยว่ารู้สึกอย่างไร ผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจะปรากฏอาการต่อไปนี้
    • คลื่นไส้หรืออาเจียน
    • ปวดหัวอย่างแรง
    • ไวต่อแสงและเสียง
    • มีปัญหากับการทรงตัว
  5. หากมีไฟฉาย ให้ฉายไฟตรงตาของผู้ป่วย ตาของผู้ป่วยโฟกัสที่แสงไฟและรูม่านตามีปฏิกิริยาถูกต้องหรือไม่ รูม่านตาที่โฟกัสกับแสงไฟควรหดเล็กลง หากไม่มีการตอบสนองหรือมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของตา ให้ตั้งข้อสงสัยว่ามีอาการบาดเจ็บทางศีรษะ โรคหลอดเลือดในสมอง หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ
  6. ความกระทบกระเทือนทางสมองมักทำลายเวลานอนปกติของผู้ป่วยและทำให้อ่อนเพลีย เช็คว่าผู้ป่วยมีอาการดังนี้หรือไม่: [1]
    • รู้สึกเหนื่อยล้าและต้องนอนมากกว่าปกติ
    • หลับยากและเป็นโรคนอนไม่หลับ
    • นอนน้อยกว่าปกติ
    • เซื่องซึมมากหรือเหนื่อยล้าอ่อนแรงระหว่างวันมากกว่าปกติ
  7. ผู้ป่วยที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองมักปรากฏอาการ:
    • มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างผิดปกติ
    • รู้สึกโกรธ หวาดกลัว เศร้าสร้อย หรือวิตกกังวลอย่างรุนแรง
    • อารมณ์แปรปรวนและไม่คงเส้นคงวา [2]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

ตรวจความกระทบกระเทือนทางสมองในเด็ก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เช็คตามอาการกระทบกระเทือนทางสมองดังที่กล่าวไปในการตรวจผู้ใหญ่
    • หมดสติ
    • คลื่นไส้หรืออาเจียน
    • ครองสติลำบาก
    • ทรงตัวไม่ได้
    • รูม่านตาไม่ขยาย
  2. ในช่วงสั้นๆ หลังการกระทบกระเทือน มักเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างชัดเจนในเด็ก
    • รู้สึกเศร้ามาก วิตกกังวลหรือหวาดกลัวผิดปกติ หรืองอแงเกรี้ยวกราด
    • โฟกัสหรือจดจ่อสมาธิกับเรื่องต่างๆ ได้ยาก
  3. เพราะว่าเด็กมักจะหงุดหงิดเวลาได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะดูว่าได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองหรือไม่ การสังเกตการร้องไห้ของเด็กจะช่วยให้ตัดสินได้ว่ามีอาการจากความกระทบกระเทือนทางสมองหรือไม่
    • เด็กร้องไห้หนักกว่าอาการบาดเจ็บธรรมดาอย่างมาก
    • เด็กหงุดหงิดอารมณ์เสียอย่างผิดปกตินอกเหนือไปจากอาการร้องไห้หนักกว่าปกติ
  4. ในช่วงเวลาหลังจากเกิดการกระทบกระเทือน สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ
    • เบื่อสิ่งที่ปกติจะชอบ
    • กินหรือดื่มแตกต่างไปจากปกติ
    • ทำตัวแปลกไปจากปกติ
  5. สังเกตอาการสูญเสียความทรงจำหรือการเรียนรู้. ถึงแม้ว่าเด็กจะยังเด็กเกินกว่าจะตั้งคำถามได้ถูกต้อง ให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่บ่งบอกถึงการสูญเสียความทรงจำหรือความรู้ที่จะแสดงสกิลที่จำเพาะเจาะจงออกมา หากเร็วๆ นี้พวกเขาเพิ่งฝึกนั่งกระโถนหรือฝึกถือขวดแต่กลับไม่สามารถทำได้หรือไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร การสูญเสียความทรงจำในสกิลบางอย่างสามารถบ่งบอกว่าได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองได้ [3]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • รอยปูดเล็กๆ อาจจะไม่ใช่ความกระทบกระเทือนทางสมอง และผู้บาดเจ็บอาจตอบสนองเป็นปกติและไม่ได้บ่นอะไร แต่ก็เป็นเรื่องดีหากคอยใส่ใจสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิดเช่น อาเจียน พูดไม่ปะติดปะต่อ หรือเวียนศีรษะ
  • ความกระทบกระเทือนทางสมองนั้นสะสมได้ ความเสียหายระยะยาวมักเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บซ้ำๆ มูฮัมหมัด อาลี (Muhammad Ali) นักมวยแชมป์โลกนั้นในปัจจุบันเป็นโรคที่มีอาการคล้ายโรคพาร์กินสัน (Parkinson) เนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะบ่อยครั้ง
  • ดูแลสังเกตอาการผู้ป่วยอยู่ตลอด และเป็นเวลานานหลังจากการบาดเจ็บเพื่อให้แน่ใจว่าอาการไม่แย่ลง ให้ผู้ป่วยพักผ่อนแต่คอยปลุกเรื่อยๆ และถามคำถามบ่อยๆ
  • การฟื้นตัวจากอาการกระทบกระเทือนทางสมองอาจใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายอาทิตย์ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคนและการบาดเจ็บแต่ละครั้ง
  • การรักษาอาการกระทบกระเทือนทางสมองมักเป็นการนอนพักผ่อน
  • ก่อนจะพาเด็กไปพบแพทย์ ตรวจสอบอาการก่อน
  • ให้แน่ใจว่าแจ้งให้โค้ชหรือผู้ที่น่าจะมีชุดปฐมพยาบาลทราบทันทีที่ปรากฏอาการของความกระทบกระเทือนทางสมอง จะดีกว่าหากตรวจแล้วไม่ได้เป็น ดีกว่าไม่ได้ตรวจเลย
โฆษณา

คำเตือน

  • ความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะนั้นยากจะคาดเดาได้ แต่หากผู้ป่วยหมดสติควรนำส่งห้องฉุกเฉินหรือโทรหารถพยาบาล อาการเลือดออกในสมองนั้นให้ตัดออกไปก่อนและมันอาจไม่แสดงอาการทันที เลือดที่ออกอย่างช้าๆ นั้นจะส่งผลกับผู้ป่วยหลายวันหลังจากการบาดเจ็บ
  • การบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ศีรษะสามารถทำให้เข้าขั้นโคม่าได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
  • การบาดเจ็บซ้ำๆ ที่สมอง สามารถนำไปสู่อาการสมองบวม การพิการตลอดชีวิต หรือการเสียชีวิตได้
  • เราอาจได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองซ้ำๆ หากไม่รักษาให้สมองฟื้นตัวหลังจากการกระทบกระเทือนทางสมองครั้งแรกๆ
  • หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะที่แย่ลง อาเจียนไม่หยุด มีเลือดหรือของเหลวซึมออกทางหูและจมูก หมดสติ หายใจลำบาก หรือพูดไม่ชัด ให้นำพบแพทย์หรือนำส่งห้องฉุกเฉินในทันที


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 18,520 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา