ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ในวิชาเคมี อิเล็กโตรเนกาติวิตี คือค่าที่วัดว่าอะตอมตัวหนึ่งดึงดูดอิเล็กตรอนในพันธะได้ดีแค่ไหน [1] อะตอมที่มีอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูงจะดึงดูดอิเล็กตรอนได้ดี แต่อะตอมที่มีอิเล็กโตรเนกาติวิตีต่ำจะดึงดูดอิเล็กตรอนได้ไม่ดี ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีใช้ทำนายว่าอะตอมต่างๆ จะเป็นอย่างไรเมื่อเกิดพันธะระหว่างกัน ฉะนั้นการหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีจึงเป็นทักษะสำคัญในวิชาเคมีพื้นฐาน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ศึกษาหลักของอิเล็กโตรเนกาติวิตี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ต้องรู้ว่าพันธะเคมีเกิดขึ้นเมื่ออะตอมใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน. เราต้องเข้าใจก่อนว่า "พันธะ" คืออะไรเพื่อจะได้เข้าใจอิเล็กโตรเนกาติวิตี อะตอมใดๆ ก็ตามสองอะตอมที่ "เชื่อมโยง" กันและกันในแผนภาพโมเลกุลแสดงว่าเกิดพันธะระหว่างกัน หมายความว่าอะตอมทั้งสองใช้อิเล็กตรอนร่วมกันสองตัว โดยอิเล็กตรอนเหล่านั้นได้มาจากการที่อะตอมแต่ละตัวต่างก็สละอิเล็กตรอนหนึ่งตัวให้แก่พันธะ
    • เหตุผลว่า ทำไม อะตอมถึงใช้อิเล็กตรอนร่วมกันหรือเกิดพันธะขึ้นนั้นเกินขอบเขตของบทความนี้ไปสักหน่อย ฉะนั้นถ้าต้องการรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ให้คลิก ตรงนี้ เพื่อจะได้ทราบความหมายและการเกิดพันธะเคมีหรืออ่านวิธีการศึกษาลักษณะของพันธะเคมี (เคมี) จากบทความของ WikiHow
  2. ต้องรู้ว่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมีผลต่ออิเล็กตรอนในพันธะอย่างไร. เมื่ออะตอมสองอะตอมใช้อิเล็กตรอนสองตัวร่วมกันในพันธะ อะตอมทั้งสองนั้นไม่ได้แบ่งอิเล็กตรอนเท่ากันเสมอไป เมื่ออะตอมหนึ่งมีอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูงกว่าอีกอะตอมหนึ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่ มันจะดึงอิเล็กตรอนสองตัวในพันธะให้ไปอยู่ใกล้ๆ มัน อะตอมที่มีอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูงมากอาจดึงอิเล็กตรอนไปอยู่ข้างมันทั้งหมด แทบจะไม่มีการแบ่งอิเล็กตรอนให้อะตอมอีกตัวเลย
    • ตัวอย่างเช่น โมเลกุล NaCl (โซเดียมคลอไรด์) อะตอมคลอรีนมีอิเล็กโตรเนกาติวิตีค่อนข้างสูงแต่อะตอมโซเดียมมีอิเล็กโตรเนกาติวิตีค่อนข้างต่ำ ฉะนั้นอิเล็กตรอนจะถูกดึง เข้าหาคลอรีน และ ออกจากโซเดียม
  3. ใช้ตารางแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีเป็นหลักอ้างอิง. ตารางแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของธาตุจะมีการจัดเรียงธาตุเหมือนตารางธาตุ แต่แตกต่างกันตรงที่อะตอมแต่ละอะตอมมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแสดงไว้ ตารางแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีจะอยู่ในตำราเรียนวิชาเคมีและบทความเกี่ยวกับค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีทางอินเทอร์เน็ต
    • นี้ คือลิงก์ของตารางแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตี จะสังเกตเห็นว่าตารางจะแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบเพาลิงสเกลซึ่งเป็นแบบที่ใช้มากที่สุด [2] อย่างไรก็ตามยังมีวิธีการวัดค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบอื่นๆ อยู่ บทความนี้จะแสดงวิธีวัดค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีอีกแบบหนึ่งในวิธีการที่ 3
  4. จดจำทิศทางการเปลี่ยนแปลงของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีเพื่อให้สามารถประมาณค่าได้ง่าย. ถ้าเราไม่มีตารางแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตี เราก็ยังสามารถประมาณค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมธาตุหนึ่งว่ามากหรือน้อยกว่าค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมอีกธาตุหนึ่งได้โดยดูจากตำแหน่งของอะตอมธาตุนั้นในตารางธาตุ ถึงแม้เราจะไม่สามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่เราสามารถประมาณผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของธาตุทั้งสองได้ ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมีดังนี้
    • หากธาตุยิ่งอยู่ใกล้ด้าน ขวา ของตารางธาตุมากเท่าไร ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมธาตุนั้นจะยิ่ง สูงขึ้น
    • หากธาตุยิ่งอยู่ใกล้ด้าน บน ของตารางธาตุมากเท่าไร ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมธาตุนั้นจะยิ่ง สูงขึ้น
    • ฉะนั้นอะตอมที่อยู่ขวาบนสุดมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูงที่สุดและอะตอมที่อยู่ซ้ายล่างสุดมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีต่ำที่สุด
    • กลับมาที่ตัวอย่างซึ่งก็คือ NaCl เรารู้ว่าคลอรีนมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูงกว่าโซเดียม เพราะคลอรีนอยู่เกือบจะขวาบนสุดของตารางธาตุ ในทางกลับกันโซเดียมอยู่ด้านซ้ายสุดของตารางธาตุ โซเดียมจึงมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีต่ำกว่า
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใช้อิเล็กโตรเนกาติวิตีหาชนิดของพันธะ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หาผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมทั้งสอง. เมื่ออะตอมสองอะตอมถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีจะทำให้เรารู้ชนิดของพันธะได้ นำค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีที่น้อยกว่าไปลบออกจากค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีที่มากกว่าเพื่อหาผลต่าง
    • ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังหาผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของโมเลกุล HF เราก็จะนำค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของไฮโดรเจน (2.1) มาลบออกจากค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของฟลูออรีน(4.0) เมื่อนำทั้งสองค่านี้มาลบกัน ก็จะได้เป็น 4.0 - 2.1 = 1.9
  2. ดูผลต่างที่ออกมา หากน้อยกว่า 0.5 แสดงว่าเป็นพันธะโคเวเลนซ์แบบไม่มีขั้ว. อิเล็กตรอนถูกแบ่งแทบจะเท่ากัน พันธะนี้ไม่สร้างโมเลกุลที่มีประจุของปลายแต่ละด้านต่างกันมาก พันธะโคเวเลนซ์แบบไม่มีขั้วมักจะทำลายยากมาก [3] ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะตอมใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน ทำให้พันธะของอะตอมเสถียร ต้องใช้พลังงานปริมาณมากในการสลายพันธะชนิดนี้ [4]
    • ตัวอย่างเช่น โมเลกุล O 2 เกิดพันธะชนิดนี้ เนื่องจากออกซิเจนสองตัวนี้มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีเท่ากัน ผลต่างของค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมทั้งสองจึงเท่ากับ 0
  3. ดูผลต่างที่ออกมา หากอยู่ระหว่าง 0.5-1.6 แสดงว่าเป็นพันธะโคเวเลนซ์แบบมีขั้ว. พันธะชนิดนี้มีอิเล็กตรอนที่ปลายข้างหนึ่งมากกว่าปลายอีกข้างหนึ่ง ทำให้ปลายข้างหนึ่งของโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนเป็นลบมากขึ้นและปลายอีกข้างหนึ่งที่ไม่มีอิเล็กตรอนเป็นบวกมากขึ้น ความไม่สมดุลของประจุในพันธะชนิดนี้ทำให้โมเลกุลสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิกิริยาพิเศษบางอย่างได้อย่างเช่น เชื่อมกับอะตอมหรือโมเลกุลตัวอื่น หรือดึงโมเลกุลออกจากกัน ที่เป็นแบบนี้เพราะอะตอมหรือโมเลกุลยังทำปฏิกิริยาอยู่ [5]
    • ตัวอย่างของพันธะโคเวเลนซ์แบบมีขั้วที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือโมเลกุล H 2 O(น้ำ) O มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมากกว่า H ทั้งสอง ฉะนั้นจึงจับอิเล็กตรอนได้แน่นกว่าและทำให้โมเลกุลทั้งหมดเกิดประจุลบบางส่วนที่ปลายของ O และประจุบวกบางส่วนที่ปลายของ H
  4. ดูผลต่างที่ออกมา หากสูงกว่า 2.0 แสดงว่าเป็นพันธะไอออนิก. ในพันธะนี้อิเล็กตรอนจะอยู่ที่ปลายข้างหนึ่งของพันธะอย่างสมบูรณ์ อะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมากได้รับประจุลบและอะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีน้อยได้รับประจุบวก พันธะชนิดนี้ทำให้อะตอมของตนเองทำปฏิกิริยากับอะตอมอื่นได้ดีและดึงออกจากกันได้ด้วยโมเลกุลมีขั้ว
    • ตัวอย่างของพันธะไอออนิกคือ NaCl (โซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือ) คลอรีนมีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีสูงมาก จึงดึงอิเล็กตรอนของทั้งคู่ในพันธะมาที่ตนเองทั้งหมด โซเดียมก็เลยเหลือแต่ประจุบวก
    • NaCl สามารถแยกจากกันได้ด้วยโมเลกุลมีขั้วอย่างเช่น H2O (น้ำ) ในโมเลกุลน้ำด้านที่เป็นไฮโดรเจนของโมเลกุลเป็นบวก แต่ด้านที่เป็นออกซิเจนเป็นลบ เมื่อเรานำเกลือมาผสมลงไปในน้ำ โมเลกุลน้ำแยกโมเลกุลของเกลือออกจากกัน เกลือจึงละลาย [6]
  5. ดูผลต่างที่ออกมา หากอยู่ระหว่าง 1.6-2.0 ลองตรวจดูสิว่ามีโลหะไหม. ถ้า มี โลหะอยู่ในพันธะ พันธะนั้นเป็นพันธะ ไอออนิก ถ้ามีแต่อโลหะ แสดงว่าเป็น พันธะโคเวเลนซ์แบบมีขั้ว
    • โลหะประกอบด้วยอะตอมที่อยู่แถบด้านซ้ายและตรงกลางของตารางธาตุเป็นส่วนใหญ่ คลิกตรงนี้ เพื่อดูตาราง จะได้รู้ว่าธาตุใดคือโลหะ [7]
    • HF ซึ่งเป็นตัวอย่างก่อนหน้านี้ของเราเกิดพันธะชนิดนี้ เนื่องจาก H และ F ไม่ใช่โลหะ ฉะนั้นพันธะเคมีที่เกิดขึ้นจึงเป็นพันธะ โคเวเลนซ์แบบมีขั้ว
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

หาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบมัลลิเกน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบมัลลิเกนเป็นวิธีวัดค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีที่แตกต่างจากวิธีที่ใช้ในตารางแสดงค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบเพาลิงสเกล เราต้องหาพลังงานไอออไนเซชันลำดับแรกของอะตอมเพื่อหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบมัลลิเกน พลังงานนี้เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อทำให้อะตอมปล่อยอิเล็กตรอนออกมาหนึ่งตัว
    • ถ้าอยากรู้ว่าพลังงานไอออไนเซชันลำดับแรกคือเท่าไร ให้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานไอออไนเซชันทางอินเทอร์เน็ตดู คลิกตรงนี้ จะมีตารางพลังงานไอออไนเซชันที่เราสามารถนำไปใช้ได้ (เลื่อนลงมา ก็จะเจอตาราง) [8]
    • ตัวอย่างเช่น เราต้องการหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีของลิเธียม (Li) เมื่อดูในตารางที่แนะนำไป เราจะเห็นว่าพลังงานไอออไนเซชันลำดับแรกคือ 520 กิโลจูลต่อโมล
  2. สัมพรรคภาพอิเล็กตรอนคือการวัดพลังงานที่ได้รับเมื่ออิเล็กตรอนถูกเพิ่มเข้ามาในอะตอมเพื่อทำให้เกิดไอออนลบ ถ้าอยากรู้ค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของอะตอม ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนทางอินเทอร์เน็ต คลิกตรงนี้ จะมีข้อมูลสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนที่เราจะนำไปใช้แก้โจทย์ตัวอย่างได้ [9]
    • ค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของลิเธียมคือ 60 กิโลจูลต่อโมล -1
  3. แก้สมการหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบมัลลิเกน. เมื่อเราใช้หน่วยกิโลจูลต่อโมลเป็นหน่วยพลังงาน สมการหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบมัลลิเกนคือ EN Mulliken = (1.97×10 −3 )(E i +E ea ) + 0.19 แทนค่าลงไปในสมการและหาค่าของ EN Mulliken
    • ในตัวอย่างของเราขั้นตอนการแก้สมการเพื่อหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีแบบมัลลิเกนมีดังนี้:
      EN Mulliken = (1.97×10 −3 )(E i +E ea ) + 0.19
      EN Mulliken = (1.97×10 −3 )(520 + 60) + 0.19
      EN Mulliken = 1.143 + 0.19 = 1.333
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตี ไม่มีหน่วย
  • นอกจากเพาลิงสเกลและมัลลิเกนสเกลแล้ว ค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตียังมีสเกลอื่นๆ ซึ่งได้แก่ ออลล์เรด-โรโชสเกล แซนเดอร์สันสเกล และอัลเลนสเกล สเกลเหล่านี้มีสมการหาค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีในแบบของตนเอง (บางสมการก็ค่อนข้างซับซ้อน)
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,513 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา