ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการรีสตาร์ทคอม แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนกลับมาตามปกติหลังเข้า Safe Mode ซึ่งเป็นโหมดที่คอม แท็บเล็ต หรือมือถือจะโหลดขึ้นมาเฉพาะโปรแกรมและข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงาน เหมาะกับการหาจุดบกพร่องเพื่อซ่อมแซมหรือลบไวรัส แนะนำให้ออกจาก Safe Mode ตอนที่แน่ใจแล้วเท่านั้น ว่าแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอน
-
รีสตาร์ทคอม. เปิด Start คลิก Power แล้วคลิก Restart ส่วนใหญ่แค่นี้ก็ออกจาก Safe Mode ของคอมได้แล้ว
- ถ้ารีสตาร์ทแล้วคอมยังเข้า Safe Mode ให้ทำขั้นตอนต่อไป
-
เปิด Start . คลิกโลโก้ Windows ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ
-
พิมพ์ system configuration ใน Start. เพื่อค้นหาโปรแกรม System Configuration ในคอม
-
คลิก System Configuration . ที่ไอคอนเป็นรูปจอคอม ทางด้านบนของหน้าต่าง Start เพื่อเปิด System Configuration
-
คลิก tab General . ที่เป็น tab มุมซ้ายบนของหน้าต่าง
-
ติ๊กช่อง "Normal startup". ทางด้านบนของหัวข้อ General ในหน้าต่าง
-
คลิก tab Boot . ทางด้านบนของหน้าต่าง
-
เอาติ๊กออกจากช่อง "Safe boot". ตรงกลางทางซ้ายของหน้าต่าง ถ้าช่องนี้ไม่ได้ติ๊กไว้ แสดงว่า Safe Boot ปิดอยู่
-
คลิก Apply แล้วคลิก OK . ทั้ง 2 ตัวเลือกอยู่ทางด้านล่างของหน้าต่าง เพื่อให้คอมไม่บูทเข้า Safe Mode ตามค่า default
-
ปิดคอม. คลิก Start คลิก Power แล้วคลิก Shut down เพื่อปิดคอม
-
ปิดคอมไว้ 2 - 3 นาที. เพื่อทิ้งช่วงให้คอมได้ปิดสนิทจริงๆ แล้วรีเฟรช cache ข้อมูลภายใน
-
เปิดคอมกลับมา. กดปุ่ม "Power" ของคอม พอคอมบูทเครื่องกลับขึ้นมาแล้ว ก็จะออกจาก Safe Mode เรียบร้อย
- ถ้าถึงตอนนี้คอมยังติดอยู่ใน Safe Mode อาจจะต้องยกไปให้ช่างช่วยดูให้แทน
โฆษณา
-
รีสตาร์ท Mac. เปิดเมนู Apple คลิก Restart... แล้วคลิก Restart ตอนที่ขึ้น ส่วนใหญ่แค่นี้ก็พอให้คอมออกจาก Safe Mode ได้แล้ว
- ถ้ารีสตาร์ทแล้วคอมยังเข้า Safe Mode ให้ทำขั้นตอนต่อไป
-
เช็คก่อนว่าปุ่ม ⇧ Shift ของ Mac ไม่ได้ค้าง. กด ⇧ Shift ค้างไว้ตอนรีสตาร์ท เพื่อให้ Mac เข้า Safe Mode ถ้าปุ่มค้าง ระวังจะรีสตาร์ท Mac ไม่หลุดจาก Safe Mode ซะที
- ถ้าปุ่ม ⇧ Shift ค้าง ให้แก้ไขก่อน แล้วค่อยรีสตาร์ท Mac ถ้ายังเข้า Safe Mode อีก ให้ทำขั้นตอนต่อไป
-
ปิดเครื่อง Mac. เปิดเมนู Apple คลิก Shut Down... แล้วคลิก Shut Down ตอนที่ขึ้น
-
เปิดเครื่อง Mac กลับมา. กดปุ่ม "Power" ของ Mac ปกติจะอยู่ที่ไหนสักที่ในคีย์บอร์ด (แล็ปท็อป) หรือที่หน้าจอ (iMac)
-
กด ⌥ Option + ⌘ Command + P + R ค้างไว้ทันที. ให้กดทันทีหลังกดปุ่ม "Power" ของ Mac
-
กดปุ่มค้างไว้จน Mac ส่งเสียงเปิดเครื่องครั้งที่ 2. จะใช้เวลาประมาณ 20 วินาที ระหว่างนั้น Mac จะเหมือนเปิดเครื่องขึ้นมา [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้า Mac ไม่มีเสียงเปิดเครื่อง ให้รอจนโลโก้ Apple โผล่มารอบที่ 2
-
รอจน Mac รีสตาร์ทเสร็จ. ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้รีเซ็ต system settings ชั่วคราวของ Mac พอ Mac เปิดเครื่องกลับขึ้นมา ก็จะกลับสู่โหมดปกติ
- ถ้าถึงตอนนี้ Mac ยังไม่ยอมรีสตาร์ทเข้าโหมดปกติ อาจจะต้องยกไปให้ช่างช่วยดูแทน
โฆษณา
-
เช็คว่าเจลเบรค iPhone หรือยัง. iPhone ที่ยังไม่ได้เจลเบรค จะไม่มีตัวเลือก Safe Mode ในตัว แปลว่าอาจเกิดปัญหาที่อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
-
กดปุ่ม "Volume Down" (ลดเสียง) กับปุ่ม "Power" ของ iPhone ค้างไว้. เพื่อบังคับให้ iPhone รีสตาร์ทเข้าโหมดปกติ ต้องกดปุ่มที่ว่าไว้นานหลายวินาทีหน่อย
-
ปล่อยปุ่มได้หลังปิดเครื่องเรียบร้อย. หรือก็คือตอนที่หน้าจอดับไป
-
รอจนมือถือเปิดกลับมา. จะเห็นโลโก้ Apple โผล่มา แล้วค้างอยู่หลายวินาที จนถึงหลายนาที พอ iPhone รีสตาร์ทเสร็จ ก็จะกลับสู่โหมดปกติ
-
ลองลบแอพหรือ mod ที่มีปัญหา. ถ้า iPhone ยังไม่ยอมบูทเข้าโหมดปกติ ทั้งที่เจลเบรคแล้ว แสดงว่าคุณเพิ่งติดตั้งอะไรที่เป็นต้นตอของปัญหา ให้ลองลบแอพใหม่ๆ หรือ package ไม่ก็ mod ที่เพิ่งลงไป น่าจะช่วยให้มือถือกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
- วิธีนี้ใช้กับ iPhone ที่ยังไม่เจลเบรคได้ด้วย
-
รีเซ็ต iPhone. ถ้าทำทุกวิถีทางแล้ว iPhone ยังไม่กลับเข้าโหมดปกติ ให้รีเซ็ตแล้วเซฟ backup กลับมา ถ้า iPhone ของคุณเจลเบรคแล้ว เท่ากับเจลเบรคจะถูกลบไป
- ถ้า iPhone ยังไม่ได้เจลเบรค ให้รีเซ็ต iPhone กลับไปใช้ backup เวอร์ชั่นก่อนหน้าของระบบปฏิบัติการ น่าจะช่วยได้
โฆษณา
-
ใช้แถบแจ้งเตือน หรือ notifications panel. ปัดหน้าจอ Android ลงมาจากด้านบน แล้วจะเห็นแถบแจ้งเตือน ให้แตะ SAFE MODE หรือตัวเลือกอื่นที่ใกล้เคียง ปกติแค่นี้ Android ก็จะออกจาก Safe Mode แล้ว บางทีก็หลังรีสตาร์ท
- ไม่ใช่ Androids ทุกเครื่องจะมีตัวเลือกนี้ ถ้าไม่เจอตัวเลือก SAFE MODE ในแถบนี้ ให้ทำขั้นตอนต่อไป
-
รีสตาร์ท Android. กดปุ่ม "Power" ค้างไว้ แล้วแตะ Restart หรือ Reboot ในหน้าต่าง pop-up ปกติเท่านี้ Android ก็น่าจะออกจาก Safe Mode ได้แล้ว
- ถ้ารีสตาร์ท Android แล้วยังเข้า Safe Mode ให้ทำขั้นตอนต่อไป
-
ทำ cold shut-down. โดยปิดเครื่อง รอ 2 - 3 นาที แล้วค่อยเปิดกลับมา
- กดปุ่ม "Power" ค้างไว้
- แตะ Shut down
- ปิดเครื่องทิ้งไว้ 2 - 3 นาที
-
เปิดเครื่องกลับมาโดยกดปุ่ม "Volume Down" ค้างไว้. กดปุ่ม "Power" กับ "Volume Down" (ลดเสียง) ค้างไว้พร้อมกัน เพื่อรีสตาร์ทแบบ cold shut-down
-
ล้าง cache ของ Android. เพื่อลบไฟล์ชั่วคราว (temporary files) ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเครื่อง Android รวมถึงแอพต่างๆ ในมือถือและแท็บเล็ต
-
ลองลบแอพใหม่ๆ ที่เพิ่งลง. ถ้าเพิ่งติดตั้งแอพใหม่ไป อาจเป็นสาเหตุทำ Android ค้างใน Safe Mode ให้ลอง ลบแอพ ที่เพิ่งลงและคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุ จากนั้นลองรีสตาร์ท Android ดู
-
รีเซ็ต Android . ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วไม่ได้ผล ก็คงต้องรีเซ็ต Android กลับค่าโรงงาน เท่ากับลบข้อมูลทุกอย่างใน Android เพราะงั้นอย่าลืม backup ข้อมูลใน Android ไว้ ก่อนรีเซ็ต
- ถ้าทำแล้วก็ยังออกจาก Safe Mode ไม่ได้ แบบนี้คงต้องเอา Android ที่ใช้ไปให้ช่างช่วยดูให้แล้ว
โฆษณา
เคล็ดลับ
- ปกติถ้าเป็นที่ Safe Mode จริงๆ แค่รีสตาร์ทคอมก็กลับเข้าโหมดปกติได้แล้ว
- ลองถอดอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อไว้ (เช่น แฟลชไดรฟ์ USB เมาส์ สายชาร์จ และอื่นๆ) ออกจากคอม แล้วลองรีสตาร์ทดูใหม่
โฆษณา
คำเตือน
- ถ้าพยายามออกจาก Safe Mode โดยไม่เช็คให้ดีกว่าเป็นสาเหตุของปัญหาหรือเปล่า ระวังคอมจะค้าง รีสตาร์ทวนไป หรือเจ๊งได้เลย
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา