ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การตั้งเป้าหมาย เป็นเสมือนการวาดภาพความสำเร็จที่เต็มไปด้วยรายละเอียด และมีความแจ่มชัดอยู่ในใจของเรา ก่อนที่เราจะใช้ความพยายาม ในการทำให้ภาพนั้นกลายเป็นความจริง [1] [2] เป้าหมายของคุณอาจประยุกต์มาจากความฝัน หรือความหวังเกี่ยวกับอนาคต เพียงแต่มันต้องเป็นรูปธรรมมากกว่า เพราะหลังจากเขียนเป้าหมายแล้ว คุณจะรู้ว่าตัวเองต้องการ อะไร และทำ อย่างไร เพื่อให้ได้มันมา ดังนั้น การเขียนเป้าหมายส่วนตัว จึงนับเป็นกระบวนการอันยอดเยี่ยมและมีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยผลการวิจัยพบว่า การที่คุณตั้งเป้าหมายในลักษณะดังกล่าว จะทำให้รู้สึกมั่นใจและมีความหวังในชีวิตมากขึ้น แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจยังไม่ได้กลายมาเป็นจริงตอนนี้ก็ตาม [3] ดั่งคำที่นักปราชญ์อย่าง เล่าจื๊อ กล่าวไว้ว่า “หนทางพันลี้ สำเร็จได้ด้วยก้าวแรก [4] คุณสามารถเริ่มต้นความสำเร็จของตัวเอง ด้วยการเขียนเป้าหมายส่วนตัวที่เป็นไปได้ เดี๋ยวนี้เลย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เริ่มวางหมากสู่เป้าหมาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผลการศึกษาพบว่า หากคุณตั้งเป้าหมายโดยใช้แรงจูงใจเป็นหลัก คุณจะยิ่งมีโอกาสทำเป้าหมายให้สำเร็จได้มากขึ้น [5] มองหาเรื่องต่างๆ ที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงในชีวิต นำมาเริ่มเขียนเป็นเป้าหมายก่อน ถึงแม้จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปก็ตาม [6]
    • ตัวอย่างของเรื่องที่อยากเปลี่ยนแปลง ก็คือการเปลี่ยนแปลงตนเอง การพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น รวมถึงการศึกษาและหน้าที่การงานด้วย [7] นอกจากนี้ ยังอาจรวมถึงเรื่องสถานะการเงิน การเรียนรู้ปฏิบัติธรรม การช่วยเหลือสังคม และด้านสุขภาพ ฯลฯ [8]
    • คุณอาจลองใช้วิธีตั้งคำถามตัวเอง เช่น “ในอีก 5 ปีข้างหน้า ฉันอยากเห็นตัวเองเป็นอย่างไร” หรือ “ฉันอยากให้ผู้คนและสังคมกล่าวถึงฉันในแง่ไหน” [9]
    • นอกจากนี้ คุณยังอาจคำนึงถึงประเด็นที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว และสุขภาพ
    • ในขั้นตอนนี้ หากเป้าหมายที่คุณเขียนลงไป ยังไม่ค่อยเจาะจงสักเท่าไร ก็ไม่เป็นไร เช่น คุณอาจเขียนว่า “ออกกำลังกายมากขึ้น” หรือ “กินอาหารที่มีประโยชน์” ส่วนในแง่ความสัมพันธ์ คุณอาจเขียนแค่ “ใช้เวลากับคนรักมากขึ้น” หรือ “มองหาเพื่อนใหม่ๆ” และในแง่การพัฒนาตัวเอง ก็อาจเขียนแค่ว่า “ไปเรียนทำอาหาร” เป็นต้น
  2. ผลการวิจัยพบว่า การเขียนบรรยายคุณลักษณะ “ตัวตนในอุดมคติ” ที่คุณอยากเป็น จะช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุข และยังช่วยกำหนดเป้าหมายส่วนตัวที่มีความหมายกับคุณได้ดีกว่า [10] การจะรู้ได้ว่า “ตัวตนในอุดมคติของคุณ” เป็นเช่นไรนั้น มีขั้นตอนเพียง 2 ประการ: จินตภาพตัวเองที่ประสบความสำเร็จแล้วในอนาคต และ พิจารณาดูว่าการจะเป็นเช่นนั้นได้จริง ต้องมีคุณสมบัติใดบ้าง [11]
    • ลองจินตนาการถึงภาพของตัวเอง ในเวอร์ชั่นขั้นสุดยอดดังกล่าวดู สังเกตว่าตัวเองเป็นอย่างไร และอะไรที่มีความหมายในขณะนั้น (พยายามนึกถึงสิ่งที่มีความหมายต่อคุณ อย่าไปนึกถึงสิ่งที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จนั้นๆ)
    • เก็บรายละเอียดให้มากที่สุด พยายามมองในแง่บวก คุณอาจอลงจินตนาการถึง “ความฝันอันสูงสุด” รวมถึงความสำเร็จลุล่วงทั้งในระยะสั้นและยาว เช่น หากคุณจินตนาการเห็นตัวเองเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก พยายามนึกถึงรายละเอียดอย่างเช่น ร้านตั้งอยู่ที่ไหน ชื่อร้านอะไร มีพนักงานทั้งหมดกี่คน คุณบริหารร้านและดูแลลูกน้องอย่างไร ฯลฯ
    • เขียนรายละเอียดคุณสมบัติที่จำเป็น ต่อการไปถึงภาพในจินตนาการนั้น เช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังระดับโลก คุณก็ต้องรู้วิธีบริหารสต็อกวัตถุดิบ รู้วิธีการจดทะเบียนการค้า หรืออาจมีหุ้นส่วนทางธุรกิจ ต้องมีสูตรพิเศษประจำร้าน รวมถึงต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ในการรับมือกับพนักงานและลูกค้า เป็นต้น
    • หากมีคุณสมบัติใดที่คุณมีอยู่แล้ว ก็สามารถข้ามไปได้ และต้องซื่อสัตย์ในการประเมินตนเองด้วย จากนั้น ก็ดูว่ามีคุณสมบัติใดที่อาจมีอยู่แล้ว แต่ยังต่อยอดพัฒนาให้ดีกว่าเดิมได้อีก
    • หาช่องทางฝึกทักษะแต่ละอย่าง เช่น ในกรณีของการเป็นเจ้าของร้านอาหารระดับโลก คุณอาจจำเป็นต้องไปเข้าคอร์สเรียนธุรกิจ รวมถึงคอร์สภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน เพื่อรองรับอนาคตนั่นเอง
  3. หลังจากจดบันทึกรายละเอียดต่างๆหมดแล้ว ก็ถึงเวลาลำดับความสำคัญ เพราะหากว่าคุณพยายามเสริมสร้างทุกๆ ทักษะในคราวเดียว อาจเกิดอาการท้อเสียก่อน ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนจิตใจ ทำให้ยากต่อการประสบความสำเร็จ [12]
    • แยกเป้าหมายออกเป็น 3 หมวด: เป้าหมายหลัก เป้าหมายระดับสอง และเป้าหมายระดับสาม โดยเป้าหมายรวม จะเป็นเป้าหมายในภาพรวมและสำคัญที่สุด ส่วนเป้าหมายระดับสองและสาม เป็นเป้าหมายที่แม้ว่าจะสำคัญ แต่ถือว่าเป็นรองเป้าหมายหลัก อีกทั้งยังมีลักษณะจำเพาะแยกย่อยลงมาด้วย
    • ตัวอย่างเช่น: เป้าหมายหลักของคุณอาจจะเขียนเป็น “การเสริมสร้างสุขภาพ (สำคัญสุด) รักษาสัมพันธภาพในครอบครัว (สำคัญสุด) และท่องเที่ยวต่างประเทศ” ส่วนในเป้าหมายระดับสอง อาจเขียนว่า “ดูแลบ้านให้สะอาด เอาใจคนในบ้าน ไปถ่ายรูปบนหอไอเฟล” และสุดท้ายเป้าหมายระดับสาม คือ “ขยันทำงาน ออกกำลังกาย เรียนทำกับข้าว”
  4. เมื่อได้ข้อสรุปว่า คุณต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านใดของชีวิต และอยากให้เป็นไปในลักษณะใดแล้ว คุณก็สามารถเริ่มโฟกัสไปที่รายละเอียดของเป้าหมายแต่ละด้าน โดยอาจใช้การตั้งคำถามแบบพื้นฐานอย่างเช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และเมื่อใด มาช่วยในการออกแบบแผนการ
    • ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การแยกเป้าหมายย่อยออกมา นอกจากจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายหลักง่ายขึ้นแล้ว ยังทำให้คุณสนุกกับมันด้วย [13]
  5. สิ่งสำคัญของการบรรลุเป้าหมายก็คือ การรู้ว่าใครมีส่วนร่วมอยู่ในเป้าหมายดังกล่าวบ้าง แน่นอนว่า ตัวคุณเองคือผู้ที่สำคัญมากที่สุด อย่างไรก็ดี บุคคลอื่นๆก็มีบทบาทที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เช่น หากคุณต้องการสานสัมพันธภาพในครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียว ก็ย่อมต้องอาศัยความร่วมมือของสมาชิกแต่ละคนในบ้านด้วย จึงจำเป็นต้องระบุขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเขาลงไป
    • ตัวอย่างเช่น “เรียนทำกับข้าว” อาจดูเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่มีใครเกี่ยวข้อง แต่หากการทำกับข้าวนั้นเป็นไปเพื่อ “เอาใจคนในบ้าน” คุณก็จำเป็นต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของแต่ละคนด้วย
  6. ลักษณะของทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งเป้าหมาย ข้อมูลปลีกย่อย และผลลัพธ์ต่างๆที่คุณต้องการ หากคุณระบุว่า “เรียนทำกับข้าว” มันก็ยังฟังดูกว้างไปนิด ดังนั้น คุณต้องขยายความรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย เช่น “เรียนทำอาหารปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นของโปรดสามี” หรือ “เรียนทำขนม เพื่อเอาใจลูกสาว” เป็นต้น
    • ยิ่งลงรายละเอียดมากเท่าไรในขั้นตอนนี้ บันไดสู่การบรรลุเป้าหมายยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น
  7. หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การกำหนดเป้าหมายแต่ละอย่างออกเป็นช่วงๆ การรู้ระยะเวลาอันแน่นอนจะช่วยให้ควบคุมเป้าหมายได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยให้เห็นความคืบหน้าในแต่ละขั้นตอนด้วย [14]
    • การเรียนทำอาหารปักษ์ใต้ให้ได้ทุกเมนูอย่างชำนาญ คงไม่สามารถเรียนได้หมดในวันสองวัน ดังนั้น คุณควรกำหนดระยะเวลาของแต่ละขั้นตอน โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติด้วย
    • การกำหนดเวลากระชั้นชิดเกินไป จะเป็นการกดดันตัวเองและทำให้คุณเครียด ซึ่งจะยิ่งทำให้บรรลุเป้าหมายช้าลงอีก ดังนั้น ควรกำหนดเวลาตามความเป็นจริง และอย่าลืมเผื่อเอาไว้สำหรับลองผิดลองถูกด้วย
    • การกำหนดเวลาและรายละเอียดอย่างเช่น “เรียนทำขนมเค้กให้อร่อย เพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟนในสุดสัปดาห์นี้” เป็นการเผื่อเวลาตามความเป็นจริง และช่วยให้คุณมีโอกาสทำสำเร็จมากขึ้นด้วย
    • นอกจากนี้ คุณยังสามารถขยายความเพิ่มเติมให้มากขึ้นได้ เช่น “เรียนทำขนมเค้กให้อร่อย เพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟนในสุดสัปดาห์นี้ โดยคืนนี้ฉันจะเริ่มหาข้อมูลอุปกรณ์และวัตถุดิบ เพื่อไปหาซื้อมาเก็บไว้ทำในวันพรุ่งนี้ และจะต้องทำให้ได้เป็นรูปเป็นร่างภายในวันมะรืน เพราะฉันจะได้มีเวลาอีกอย่างน้อยสามสี่วันในการคิดสูตรให้ลงตัว”
  8. กำหนดสถานที่ๆ จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายของคุณ เช่น หากคุณต้องการลดน้ำหนักสิบกิโล ด้วยการออกกำลังกาย ก็ควรระบุด้วยว่า สถานที่หลักๆ จะเป็นที่บ้าน สวนสาธารณะ หรือฟิตเนส เพื่อช่วยให้คุณเตรียมความพร้อมได้อย่างเหมาะสม
    • ในกรณีเรียนทำกับข้าวหรือทำขนม คุณก็สามารถเลือกระหว่างการไปเรียนที่สถาบันต่างๆ หรือเรียนด้วยตนเองอยู่ในครัวที่บ้าน
  9. การระบุข้อนี้ จะช่วยให้คุณเห็นภาพบันไดแต่ละขั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในการไปสู่เป้าหมาย โดยเป็นการแจกแจงว่าคุณต้องลงมือทำอะไรบ้างแต่ละขั้นตอน
    • ในตัวอย่างของการเรียนทำขนม คุณก็จำเป็นต้องเข้าเว็บไซท์เพื่อค้นหาข้อมูล จดรายการอุปกรณ์และวัตถุดิบ ออกไปหาซื้อตามที่ต่างๆ และอาจนัดเพื่อนๆ มาช่วยชิมด้วย เป็นต้น
  10. อย่างที่บอกไป หากเป้าหมายของคุณมีความหมายและแรงจูงใจมากพอ คุณก็มีแนวโน้มประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก การตระหนักถึงเหตุผลในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ จะช่วยเป็นเสมือนเชื้อเพลิงคอยเติมไฟให้คุณ ไปตลอดเส้นทาง
    • ในตัวอย่างเรื่องการเรียนทำขนม คุณอาจระบุเหตุผลว่า อยากเรียนทำขนม เพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดคุณแฟนอันเป็นที่รัก และทำตัวน่ารักเสมอมา ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ใช้ชีวิตร่วมกัน และเพื่อให้เขาหรือเธอตระหนักในการเอาใจใส่ของคุณ ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตคู่ที่ยั่งยืนต่อไปอีกนาน
    • คุณควรระลึกถึงเหตุผลในการบรรลุเป้าหมายอยู่เนืองๆ เพราะถึงแม้รายละเอียดอื่นๆ จะมีความสำคัญ แต่เหตุผลในการทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น เป็นดั่ง “แก่นแท้” ของภาพรวมทั้งหมด [15]
  11. ผลการศึกษาพบว่า คุณจะมีโอกาสทำเป้าหมายสำเร็จมากขึ้น หากเลือกใช้คำที่เป็นเชิงบวก ในการเขียนถึงรายละเอียดและขั้นตอนต่างๆ ซึ่งโดยรวมแล้ว คุณควรเขียนเป้าหมายให้ออกมาในลักษณะของจุดหมายที่คุณอยาก ไปให้ถึง มากกว่าจะเป็นเป้าหมายเพื่อการหลบหนี ไปให้พ้น จากสภาพการณ์บางอย่าง [16]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งเป้าในการทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ นั่นถือว่าเป็นคำเชิงบวกดีอยู่แล้ว แต่หากคุณใช้คำว่า “เลิกกินอาหารให้โทษ” มันจะออกมาในลักษณะให้ความรู้สึกเชิงลบทันที
    • นอกจากนี้ คุณอาจเขียนออกมาในลักษณะที่เป็นเสมือนการเก็บแต้ม หรือสะสมรางวัลไปเรื่อยๆ เช่น “ทานผักและผลไม้ อย่างน้อยวันละ 3 เวลาทุกวัน”
  12. การบรรลุเป้าหมายย่อมต้องอาศัยการทำงานบางอย่าง และแรงจูงใจที่มากพอ แต่ในเมื่อคุณไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ รวมถึงการตอบสนองของคนอื่นได้ คุณควรโฟกัสไปที่การได้ลงมือทำ และประสบการณ์ที่ได้รับ [17]
    • เขียนเป้าหมายในเชิงให้ความสำคัญกับการลงมือทำ มากกว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะมันจะช่วยให้คุณยังมีไฟอยู่ ในกรณีที่ผลลัพธ์ผิดคาด หรือเกิดความผิดพลาดบางอย่างขึ้นมา
    • ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายว่า “เป็นนายกรัฐมนตรี” เป้าหมายดังกล่าวนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง รวมถึงการตอบสนองของผู้อื่น (ผู้ลงคะแนน) ดังนั้น จะเป็นการสร้างสรรค์กว่า หากคุณระบุเป้าหมายเช่นว่า “ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกถึงความสำเร็จได้ แม้ว่าอาจจะแพ้การเลือกตั้งดังกล่าวก็ตาม
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ออกแบบแผนการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แผนงาน คือ รายละเอียดด้านกลยุทธ์และการปฏิบัติ เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย [18] การแตกย่อยงานแต่ละส่วนที่ต้องทำในแต่ละขั้นตอน จะช่วยให้คุณตรวจสอบตัวเองได้เป็นระยะๆ โดยคุณอาจใช้คำถามรูปแบบเดิมที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ ในการช่วยเขียนแผนงาน
    • ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือ “ฉันต้องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย สาชาวิชากฎหมาย เพื่อที่จะได้เรียนจบมาทำงานรับใช้ผู้ด้อยสถานะทางสังคม ในการว่าความคดีต่างๆ ในชั้นศาล” เป้าหมายดังกล่าวมีความจำเพาะเจาะจงดี แต่ยังดูซับซ้อนเกินไป และควรนำมากำหนดเป็นแผนงานให้ดูง่ายขึ้นหน่อย
    • ตัวอย่างของลำดับแผนงานตามเป้าหมายดังกล่าว:
      • ตั้งใจเรียนและสอบให้ได้คะแนนดีๆ ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม
      • เข้าร่วมชมรมหรือกลุ่มโต้วาที
      • มองหาสถาบันดีๆ ที่มีชื่อเสียงด้านคณะนิติศาสตร์
      • ลงทะเบียนสอบเข้าสถาบันดังกล่าว
  2. เนื่องจากเป้าหมายแต่ละอย่าง ย่อมใช้เวลามากน้อยต่างกันไป เช่น “เดินออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 3 ชั่วโมง” เป็นเป้าหมายที่คุณสามารถออกไปเริ่มได้ทันที แต่เป้าหมายบางอย่าง จำเป็นต้องมีการเผื่อเวลาเอาไว้มากกว่า [19]
    • ในตัวอย่างของการเข้าเรียนต่อด้านกฎหมาย นั่นย่อมอาศัยระยะเวลาหลายปีในการบรรลุ และยังมีขั้นตอนปลีกย่อยอีกจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้วิธีการกำหนดแผนงานในแต่ละขั้นตอนร่วมด้วย
    • คุณอาจไม่ต้องกำหนดกรอบเวลาด้วยตนเองในบางขั้นตอน แต่สามารถนำเอากำหนดเส้นตาย ที่อาจมีอยู่แล้วในบางสถานการณ์มาใช้แทน เช่น แผนงานที่ว่า “มองหาสถาบันดีๆ” คุณก็ย่อมต้องกำหนดกรอบเวลา โดยดูจากช่วงเวลาที่แต่ละมหาวิทยาลัยประกาศในแต่ละปีว่า ต้องลงทะเบียนภายในวันที่เท่าไร เดือนอะไร ซึ่งคุณอาจจะกำหนดกรอบเวลาในการสรุปว่าตนเองจะเลือกสถาบันใด โดยเผื่อไว้ให้เร็วกว่านั้นสัก 2-3 วัน จะได้ไม่กระชั้นชิดเกินไป
  3. หลังจากกำหนดแผนงานและกรอบเวลาได้แล้ว คุณก็แค่แตกแผนงานแต่ละอย่าง ออกมาเป็นชิ้นงาน ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่า มีอะไรที่ต้องทำในแต่ละวันบ้าง แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณออกนอกลู่นอกทางด้วย [20]
    • ตัวอย่างเช่น ในแผนงานของการ “ตั้งใจเรียนและสอบให้ได้คะแนนดีๆ ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม” นั้น คุณก็สามารถแตกชิ้นงานออกมาสัก 2-3 อย่าง เช่น “ไปเรียนเสริมกับติวเตอร์ในวันหยุดสุดสัปดาห์” และ “ติวการบ้านกับเพื่อนหลังเลิกเรียน” เป็นต้น
    • ชิ้นงานบางอย่างก็อาจมีกรอบเวลามาให้แล้วเหมือนกัน เช่น การไปสมัครเรียนเสริมกับติวเตอร์ ก็จำเป็นจะต้องดูว่าโรงเรียนติวเตอร์นั้นๆ เปิดและปิดรับสมัครในช่วงเวลาใด
  4. ถึงตรงนี้ คุณอาจเริ่มเห็นหัวใจของการตั้งเป้าหมายแล้วสินะ ซึ่งก็คือการพยายามแยกย่อยแต่ละขั้นตอน ออกมาให้ละเอียดที่สุดนั่นเอง เนื่องจากผลการวิจัยพบว่า ยิ่งเราระบุเป้าหมายให้จำเพาะเจาะจงมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีแนวโน้มจะทำได้สำเร็จมากเท่านั้น
    • ตัวอย่างเช่น หากชิ้นงานของคุณคือ “ไปเรียนเสริมกับติวเตอร์ในวันหยุดสุดสัปดาห์” คุณก็สามารถแตกย่อยออกมาเป็นหน้าที่ๆ ต้องทำได้ ซึ่งก็มักจะมีกรอบเวลาโดยอัตโนมัติอยู่แล้วเช่นกัน นั่นคือ คุณต้องสะสางการบ้าน และอาจต้องช่วยพ่อแม่เคลียร์งานบ้านให้เสร็จ ภายในวันเสาร์ (กรณีที่เรียนวันอาทิตย์)
  5. เป้าหมายแต่ละอย่างอาจมีแผนงาน หรือชิ้นงานที่คุณมักทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น การเข้าเรียนต่อด้านกฎหมาย อาจจะรวมถึงชิ้นงานในเรื่องของการอ่านประวัติศาสตร์ของกฎหมายด้วย ซึ่งคุณอาจจะทำมาเป็นประจำอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ก็ขอให้ทำต่อไปเหมือนเช่นเคย [21]
    • เขียนรายการดังกล่าว ให้มีความจำเพาะเจาะจงเช่นเดียวกับหัวข้ออื่นๆ เพื่อที่คุณจะได้ตระหนักว่าตนเองก็เริ่มมีความคืบหน้าบ้างแล้วนะ จะได้มีกำลังใจ
  6. ในกรณีที่เป้าหมายมีหลายขั้นตอน คุณอาจะไม่สามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นได้ในคราวเดียว ดังนั้น คุณควรเขียนออกมาดูว่า มีทักษะใดบ้าง ที่คุณอาจแค่ต้องพัฒนาเพิ่มเล็กน้อย และทักษะอะไรที่ต้องเริ่มจากศูนย์ โดยอ้างอิงจากหัวข้อ “ตัวตนในอุดมคติ” นั่นเอง
    • หากคุณพบว่ามีจุดไหนที่ต้องการพัฒนาเพิ่มเติม ก็สามารถสอดแทรกลงไปในแผนงานได้ โดยใช้รูปแบบขั้นตอนเดิม
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเป็นนักกฎหมาย คุณอาจต้องเสริมสร้างเทคนิคการพูดโน้มน้าวของตัวเองด้วย ยิ่งหากคุณเป็นคนค่อนข้างขี้อายและเพิ่งมาตระหนักเรื่องนี้ภายหลัง คุณก็อาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติม หรืออ่านบทความเกี่ยวกับการ เลิกเป็นคนขี้อาย เพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตด้วย
  7. หนึ่งในสาเหตุที่หลายๆ คน เขียนตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ไม่ได้เริ่มทำสักที เป็นเพราะพวกเขาลืมที่จะระบุชิ้นงานบางอย่าง ซึ่งสามารถทำได้วันนี้ หรือตอนนี้ทันทีที่เขียนเสร็จ แทนที่จะเป็นวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืน ซึ่งอาจจะทำให้ไฟในตัว ดับมอดลงเสียก่อน [22]
    • หากไม่มีชิ้นงานอะไรที่พอจะเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้เลย คุณก็สามารถนำชิ้นงานแต่ละอย่าง มาสำรวจดูว่า มีชิ้นงานใดที่จำเป็นต้องเตรียมการบางอย่างล่วงหน้าหรือไม่ จากนั้น ก็เริ่มลงมือทำไปเลย
  8. โดยอาจเรียกมันว่าปัญหาก็ได้ ถึงแม้จะไม่มีใครอยากได้ยินคำนี้ หรือเผชิญหน้ากับมันก็ตาม แต่อย่างน้อย มันจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันปัญหาที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในแต่ละขั้นตอน [23] หากคุณระบุหรือคาดการณ์อุปสรรคไว้ล่วงหน้า ก็มีโอกาสก้าวผ่านมันไปได้ง่ายขึ้น!
    • อุปสรรคบางอย่างอาจมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การขาดเงินทุน หรือไม่มีเวลา เช่น หากคุณต้องการทำขนมเค้กเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟน อุปกรณ์บางอย่างที่คุณต้องซื้อ อาจจะแพงเกินไป หรือเกินงบประมาณที่คุณมีในช่วงเวลาดังกล่าว
    • ในกรณีที่ยกตัวอย่างมา คุณอาจมีทางเลือกในการแก้ปัญหา เช่น ยืมเงินจากญาติหรือเพื่อนที่สนใจทำขนมเค้กอยู่แล้ว มารวมกับเงินส่วนของคุณก่อน จากนั้น หลังจากผ่านวันเกิดแฟนคุณไปแล้ว คุณก็สามารถนำอุปกรณ์ดังกล่าวไปให้เขาหรือเธอใช้ จนกว่าคุณจะนำเงินส่วนที่ยืมมาไปคืนให้จนครบ เป็นต้น
    • อุปสรรคบางอย่าง ก็เป็นเรื่องของปัจจัยภายในได้เช่นกัน เช่น คุณอาจเกิดอาการวิตกกังวลจนทำให้ไม่กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ หรืออาจจะมีความตั้งใจ แต่ขาดทักษะในการเรียนรู้สิ่งนั้นๆ [24]
    • การแก้ปัญหาอุปสรรคภายใน จำเป็นต้องยึดหลัก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พยายามเอาชนะจุดอ่อนของตัวเองด้วยการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และใช้เวลาในการพัฒนาตนเอง โดยอาจต้องอาศัยการลองผิดลองถูกบ้าง
    • ความกลัว เป็นหนึ่งในอุปสรรคอันเกิดจากปัจจัยภายใน ที่นับเป็นปัญหามากที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้คุณไม่กล้าเริ่มต้นลงมือทำอะไรเลย [25] ในลำดับต่อไป เราจึงจะมาพูดถึงเทคนิคในการรับมือกับความกลัว [26]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เอาชนะความกลัว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผลการวิจัยพบว่า การฝึกจินตภาพจะช่วยให้คุณปฏิบัติงานได้ดีขึ้น ซึ่งนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว [27] โดยทั่วไปแล้ว การใช้จินตภาพในหัว มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ ใช้ภาพความสำเร็จ และ ใช้ภาพกระบวนการ ซึ่งถ้าจะให้ดีล่ะก็ คุณควรใช้ทั้งสองแบบผสมผสานกัน [28]
    • การใช้จินตภาพความสำเร็จ คือ การจินตนาการว่าคุณกำลังทำเป้าหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว ซึ่งก็เหมือนตอนที่เราแนะนำให้คุณใช้จินตภาพ ถึงตัวตนในอุดมคติของคุณนั่นเอง คุณควรจะลงในรายละเอียดให้แจ่มชัดและจำเพาะเจาะจงมากที่สุด พยายามครอบคลุมประสาทสัมผัสทุกส่วน เช่น นึกภาพว่าในสถานการณ์อันยิ่งใหญ่นั้น คุณกำลังรู้สึกอย่างไร มีเสียงอะไรเกิดขึ้นบ้าง บรรยากาศเป็นเช่นไร เสื้อผ้าแบบไหนที่คุณกำลังสวมใส่อยู่ หรือแม้กระทั่งกลิ่นต่างๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย เป็นต้น
    • การใช้จินตภาพกระบวนการ เป็นการจินตนาการถึงลำดับขั้นตอนที่คุณจะต้องผ่านไป ก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายหรือความสำเร็จที่ตั้งไว้ เช่น หากคุณต้องการเป็นนักกฎหมาย ก็สามารถใช้เทคนิคจินตภาพกระบวนการ เพื่อจินตนาการว่าคุณกำลังนั่งเรียนอยู่ในชั้นเรียน ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น และคุณยังสามารถใช้เทคนิคเดียวกันนี้ กับกระบวนการอื่นๆ ได้เช่นกัน
    • ขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมา อาจสรุปรวมได้ว่าเป็น “การป้อนรหัสความทรงจำเสมือน” ตามที่นักจิตวิทยาเรียกกัน ซึ่งก็คือการทำให้ตนเองรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์ๆ หนึ่ง ได้กำลังเกิดขึ้นกับคุณแล้วนั่นเอง [29]
  2. ผลการวิจัยพบว่า การคิดในแง่บวก สามารถช่วยให้คนเราเรียนรู้และปรับตัว รวมถึงเปลี่ยนแปลงตนเองได้สำเร็จ มากกว่ากรณีที่เราหมกมุ่นอยู่กับจุดบกพร่อง หรือข้อผิดพลาดของตัวเอง [30] ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร การคิดบวกก็สามารถช่วยได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่เรื่องยิ่งใหญ่ระดับโลก ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่เป็นส่วนตัว [31]
    • ผลการวิจัยยังพบด้วยว่า การตอบสนองในแง่ลบและแง่บวก ส่งผลต่อสมองคนละส่วนกัน กล่าวคือ การคิดแง่บวกนั้น จะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง ส่วนที่ทำหน้าที่ในการรับรู้ จินตนาการ การมองเห็นภาพรวม ความเห็นใจผู้อื่น และการสร้างแรงจูงใจ [32]
    • ตัวอย่างเช่น คุณอาจเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า การพยายามลงมือไปสู่เป้าหมาย อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์ที่ช่วยเสริมสร้างวุฒิภาวะของคุณ ให้เติบโตขึ้น และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
    • หากจำเป็น คุณก็ยังสามารถขอกำลังใจจากเพื่อนฝูง คนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิดได้อีกด้วย
    • การคิดแง่บวกอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คุณต้องรักษาระเบียบวินัยในตนเอง และมีความรับผิดชอบในการลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด อย่ามัวแต่นั่งคิดนอนคิด ถึงแม้จะเป็นการคิดบวกก็ตาม [33]
  3. คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวมาบ้างแล้ว ซึ่งอาจเกิดกับคนที่ชอบตั้งปณิธาน หรือเป้าหมายแบบลมๆ แล้งๆ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ โดยหลักๆ ประกอบด้วยสามลำดับการณ์: 1) ตั้งเป้า 2) รู้สึกว่ามันทำยากกว่าที่คิด 3) ล้มเลิก [34]
    • วงจรดังกล่าว มักเกิดขึ้นกับคนที่คาดหวังผลสำเร็จอย่างใจเร็วด่วนได้ ดังนั้น วิธีการวางแผนงานและกำหนดกรอบเวลาที่เราแนะนำไป จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณตกอยู่ในวงจรดังกล่าว
    • นอกจากนี้ วงจรดังกล่าวยังมักเกิดขึ้นเมื่อความรู้สึกตื่นเต้นจางหาย และคนที่ตั้งเป้าไว้ ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงภาระและความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง ดังนั้น เราจึงแนะนำให้แตกย่อยแผนงานออกเป็นชิ้นงาน เพื่อที่คุณจะได้ลงมือทำและเห็นความสำเร็จ รวมถึงให้รางวัลแก่ตนเองได้เป็นระยะๆ อีกด้วย
  4. ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เรียนรู้จากความล้มเหลว มักมีแนวโน้มที่ดี รวมถึงมีความหวังในการบรรลุเป้าหมาย ความหวังยังช่วยให้คุณมองไปข้างหน้าอยู่เสมออีกด้วย [35]
    • ผลการวิจัยยังยืนยันด้วยว่า คนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลวนั้น ต่างก็ต้องพบเจอกับความผิดพลาดล้มเหลวมากพอๆ กัน เพียงแต่ผู้ประสบความสำเร็จ เลือกที่จะมองมันต่างออกไป [36]
  5. อาจมีบางคนที่คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ ซึ่งที่จริงแล้ว เกิดจากความกลัวการล้มเหลว และความรู้สึกผิดหวังเสียใจที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว หากคุณเป็นคนประเภทดังกล่าว ขอให้ตระหนักว่า การพยายามทำอะไรอย่างไร้ที่ตินั้น ก็ไม่สามารถกันให้คุณออกห่างจากเรื่องเลวร้ายได้อยู่ดี แถมยังมักเป็นไปไม่ได้ รวมถึงเป็นการกดดันตัวเองเปล่าๆ [37] ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ มักจะขาดความสุขในชีวิต [38]
    • "การคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ" มักถูกนำไปปะปนกับ “การใฝ่หาความสำเร็จ” อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาจำนวนมากพบว่า พวกที่คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่ากลุ่มคนที่สามารถปล่อยวางแนวคิดดังกล่าวได้ [39] นอกจากนี้ การคลั่งไคล้ในความสมบูรณ์แบบ ยังอาจก่อให้เกิดภาวะวิตกจริต ความกลัว และความกังวลด้วย [40]
    • แทนที่จะมัวแต่ระแวงเรื่องความสมบูรณ์แบบ คุณควรยอมรับในความอ่อนไหวทางอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังเดินทางสู่เป้าหมาย ลองดูอย่าง โธมัส เอดิสัน ก็ได้ เขามักจะย้ำอยู่เสมอ ถึงเรื่องราวการลองผิดลองถูกนับพันครั้ง กว่าที่เขาจะสามารถพัฒนาหลอดไฟขึ้นมา จนใช้งานได้จริงในที่สุด [41]
    • การรู้จักเมตตาต่อตนเอง จะช่วยให้อาการคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบลดลง [42] เตือนตัวเองไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์ย่อมหนีไม่พ้นความผิดพลาดและล้มเหลวบ้าง จงเมตตาและอ่อนโยนต่อตนเองให้มาก หากต้องประสบกับเรื่องดังกล่าว [43]
  6. ผลการวิจัยจำนวนมาก พบความเกี่ยวพันระหว่างนิสัยการรู้จักขอบคุณหรือซาบซึ้งในสิ่งต่างๆ กับอัตราการประสบความสำเร็จในชีวิต [44] การจดบันทึกสิ่งต่างๆที่คุณซาบซึ้งหรือขอบคุณในแต่ละวัน เป็นการฝึกฝนในเรื่องดังกล่าวที่ดีและมีประสิทธิภาพ [45] [46]
    • การจดบันทึกเรื่องราวที่คุณซาบซึ้ง ไม่จำเป็นต้องบรรยายอะไรมากนัก แค่เน้นไปที่การระบุว่าคุณรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณบุคคลใด หรือสิ่งใดก็พอ
    • จงเชื่อมั่นในสิ่งดังกล่าว ถึงแม้อาจฟังดูเลื่อนลอย หากแต่การจดบันทึกสิ่งที่คุณขอบคุณ และระลึกถึงมันเสมอๆ จะช่วยให้คุณมีความสุขและประสบผลสำเร็จได้อย่างแน่นอน [47] โยนความคลางแคลงใจทิ้งไปเสีย
    • ครุ่นคำนึงถึงเหตุการณ์อันซาบซึ้งใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเพียงใด ก็ขอให้ค่อยๆ ใช้เวลาในการดื่มด่ำกับความหมายและความรู้สึกซาบซึ้งในเหตุการณ์เหล่านั้น
    • จดบันทึก 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ อาจจะดีกว่า เพราะผลการศึกษาพบว่า การบันทึกเรื่องราวซาบซึ้งใจบ่อยเกินไป อาจมีผลทำให้เรารู้สึกด้านชาต่อเรื่องดีๆ ได้เหมือนกัน [48]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • คุณสามารถปรับเพิ่ม หรือเร่งรัดกรอบเวลาในแต่ละขั้นตอนได้เสมอ ตามความเหมะสมในสถานการณ์นั้นๆ
  • การเขียนเป้าหมายย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีในตัวมันเองอยู่แล้ว และการทำมันสำเร็จ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ดังนั้น อย่าลืมให้รางวัลแก่ตัวเองตามเหมาะสม เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำขั้นตอนต่อๆ ไปด้วยล่ะ
โฆษณา

คำเตือน

  • หลีกเลี่ยงการตั้งเป้าหมายเยอะเกินไป จนอาจทำให้จิตใจถูกบั่นทอนหรือรู้สึกมีภาระมากเกินไป
  • คนส่วนใหญ่มักเขียนเป้าหมายได้ แต่ไปไม่ถึง เหมือนอย่างกรณีที่คนส่วนใหญ่มักล้มเลิกปณิธานในวันปีใหม่เอาเสียดื้อๆ โยที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ ดังนั้น คุณควรให้ความสำคัญกับการสร้างแรงจูงใจ และพยายามอย่าละสายตาจากเป้าหมาย จนกว่าจะสำเร็จลุล่วง
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Rouillard, L. (2009). Goals and Goal Setting : Achieve Measurable Results. Rochester, NY: Axzo Press.
  2. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  3. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  4. http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/movingwords/shortlist/laotzu.shtml
  5. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  6. Wilson, S. B., & Dobson, M. S. (2008). Goal Setting : How to Create an Action Plan and Achieve Your Goals. New York: AMACOM
  7. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  8. Wilson, S. B., & Dobson, M. S. (2008). Goal Setting : How to Create an Action Plan and Achieve Your Goals. New York: AMACOM
  9. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  1. https://www.psychologytoday.com/blog/what-matters-most/201303/what-is-your-best-possible-self
  2. http://mina.education.ucsb.edu/janeconoley/ed197/documents/sheldonincreaseandsustainpositiveemotion.pdf
  3. http://www.forbes.com/sites/samanthasmith/2013/12/30/a-guide-to-evaluate-your-priorities-set-goals/
  4. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  5. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  6. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  7. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  8. http://www.mindtools.com/page6.html
  9. Rouillard, L. (2009). Goals and Goal Setting : Achieve Measurable Results. Rochester, NY: Axzo Press.
  10. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  11. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  12. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  13. https://www.psychologytoday.com/blog/notes-self/201308/how-set-goals
  14. Rouillard, L. (2009). Goals and Goal Setting : Achieve Measurable Results. Rochester, NY: Axzo Press.
  15. http://www.selfgrowth.com/articles/the-9-obstacles-that-keep-you-from-achieving-your-goals
  16. http://www.selfgrowth.com/articles/the-9-obstacles-that-keep-you-from-achieving-your-goals
  17. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  18. http://www.psychologytoday.com/blog/flourish/200912/seeing-is-believing-the-power-visualization
  19. http://www.ijiet.org/papers/389-N10002.pdf
  20. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  21. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/the_neuroscience_of_good_coaching
  22. http://amle.aom.org/content/1/2/150.abstract?ijkey=2403cc8401fccae918fe72e7b88afa70c582aefe&keytype2=tf_ipsecsha
  23. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23802125
  24. http://nymag.com/scienceofus/2014/10/your-positive-thinking-could-be-holding-you-back.html
  25. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  26. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/how_to_help_students_develop_hope
  27. http://news.stanford.edu/news/2015/january/resolutions-succeed-mcgonigal-010615.html
  28. http://www.forbes.com/sites/danschawbel/2013/04/21/brene-brown-how-vulnerability-can-make-our-lives-better/
  29. https://www.psychologytoday.com/blog/communication-success/201407/the-problem-perfectionism-how-truly-succeed
  30. http://www.yorku.ca/khoffman/Psyc3010/Flett'92_PerfProcr.pdf
  31. http://nymag.com/scienceofus/2014/09/alarming-new-research-on-perfectionism.html
  32. http://www.forbes.com/sites/danschawbel/2013/04/21/brene-brown-how-vulnerability-can-make-our-lives-better/
  33. http://www.uv.es/carmenrg/material1/art%EDculos/Neff%202003.pdf
  34. http://psychcentral.com/blog/archives/2012/06/27/5-strategies-for-self-compassion/
  35. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/five_myths_about_gratitude
  36. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/tips_for_keeping_a_gratitude_journal/
  37. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/stumbling_toward_gratitude/
  38. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/tips_for_keeping_a_gratitude_journal/
  39. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/tips_for_keeping_a_gratitude_journal/

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 91,819 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา