ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์อาจดูเหมือนเป็นงานที่โหดหินมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่เคยเขียนมาก่อน แต่อย่าเพิ่งกังวลไป! หายใจเข้าลึกๆ เติมคาเฟอีนเข้าร่างกายสักหน่อย และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อให้คุณเรียบเรียงเนื้อหาในเรียงความเชิงวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ก่อนลงมือเขียนเรียงความ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เข้าใจวัตถุประสงค์ของเรียงความเชิงวิเคราะห์. การเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์หมายความว่า คุณจะต้องแสดง ข้อโต้แย้ง หรือคำกล่าวอ้างบางอย่างที่คุณกำลังวิเคราะห์อยู่ ส่วนใหญ่แล้วคุณมักจะต้องวิเคราะห์งานเขียนชิ้นอื่นหรือภาพยนตร์ แต่คุณก็อาจจะได้รับมอบหมายให้วิเคราะห์ปัญหาหรือแนวคิดก็ได้ ซึ่งในการทำเช่นนี้คุณจะต้องแบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อยๆ แล้วให้หลักฐานที่มาสนับสนุนคำกล่าวอ้างของคุณ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานจากงานเขียน/ภาพยนตร์ หรือจากการค้นคว้าของคุณเองก็ตาม [1]
    • เช่น "ภาพยนตร์เรื่อง เดอะไชนิง โรงแรมผีนรก ของสแตนลีย์ คูบริก ใช้แนวเรื่องวัฒนธรรมและศิลปะของชนพื้นเมืองอเมริกันซ้ำๆ เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การยึดครองดินแดนชนพื้นเมืองของชาวอเมริกัน" ถือเป็นใจความสำคัญของเรียงความเชิงวิเคราะห์ เพราะเป็นการวิเคราะห์งานเขียนที่เฉพาะเจาะจงและนำเสนอข้อโต้แย้งในรูปแบบของประโยคใจความหลัก
  2. ถ้าคุณเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์ส่งอาจารย์ โดยทั่วไปอาจารย์ก็อาจจะกำหนดหัวข้อมาให้ (หรือกำหนดไว้หลายหัวข้อเพื่อให้เลือก) อ่านโจทย์ดีๆ โจทย์บอกให้คุณทำอะไรบ้าง แต่บางครั้งคุณก็อาจจะต้องคิดหัวข้อเอง
    • ถ้าคุณเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับงานเขียนที่เป็นบันเทิงคดี ข้อโต้แย้งของคุณอาจจะเน้นไปที่แรงจูงใจของตัวละครตัวใดตัวหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง หรือคุณอาจจะโต้แย้งว่าทำไมเนื้อหาในบรรทัดหรือย่อหน้านั้นๆ จึงเป็นใจความสำคัญของงานเขียนทั้งหมด เช่น สำรวจแนวคิดเรื่องการแก้แค้นในบทกวีมหากาพย์ เบวูล์ฟ
    • ถ้าคุณเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ให้เน้นไปที่แรงขับเคลื่อนที่นำไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้น
    • ถ้าคุณเขียนเกี่ยวกับการวิจัยหรือผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ให้เขียนตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อวิเคราะห์ผลการวิจัยของคุณ
  3. คุณอาจจะยังไม่รู้ว่าประโยคใจความหลักของเรียงความจะเป็นอะไรแม้ว่าคุณจะเลือกหัวข้อได้แล้วก็ตาม ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา! การรวบรวมความคิดจะช่วยให้คุณค้นพบว่า ตัวเองคิดอย่างไรกับหัวข้อนี้ โดยพิจารณาจากหลายๆ มุมให้ได้มากที่สุด [2]
    • มองหากระบวนจินตภาพ อุปลักษณ์ วลี หรือแนวคิดที่ปรากฏซ้ำๆ เพราะสิ่งที่ปรากฏซ้ำๆ มักเป็นสิ่งที่สำคัญ ลองดูว่าคุณสามารถตีความได้ไหมว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงสำคัญ แล้วลักษณะการปรากฏซ้ำในแต่ละครั้งเหมือนหรือต่างกัน
    • งานเขียนนำเสนอออกมาอย่างไร เช่น ถ้าคุณเขียนบทวิเคราะห์ด้านวาทศิลป์ คุณอาจจะวิเคราะห์ว่าผู้เขียนใช้การโน้มน้าวเชิงเหตุผลมาสนับสนุนข้อโต้แย้งของเธออย่างไร และคุณคิดว่าข้อโต้แย้งนั้นน่าเชื่อถือหรือเปล่า ถ้าคุณวิเคราะห์ผลงานเชิงสร้างสรรค์ ให้นึกถึงกระบวนจินตภาพ ภาพที่ปรากฏในภาพยนตร์ และอื่นๆ ถ้าคุณวิเคราะห์งานวิจัย คุณก็อาจจะพิจารณาวิธีการและผลลัพธ์ และวิเคราะห์ว่าการออกแบบการทดลองแบบนี้เหมาะสมหรือไม่
    • สำหรับบางคนการเขียนแผนที่ความคิดก็อาจจะช่วยได้ เริ่มจากหัวข้อที่อยู่ตรงกลางก่อน และเรียบเรียงความคิดย่อยๆ ในกรอบข้อความรอบหัวข้อใหญ่ จากนั้นเชื่อมโยงกรอบข้อความแต่ละอันเพื่อหารูปแบบและดูว่าความคิดต่างๆ เกี่ยวข้องกันอย่างไร
    • การรวบรวมความคิดที่ดีต้องกระจัดกระจาย เพราะจริงๆ แล้วมันถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีด้วยซ้ำ! อย่าเพิ่งตัดความคิดไหนออกไป เขียนองค์ประกอบหรือข้อเท็จจริงที่คุณคิดขึ้นมาได้ระหว่างที่สำรวจหัวข้อ
  4. คิด ประโยคใจความหลัก . ประโยคใจความหลักคือประโยคจำนวนหนึ่งหรือสองประโยคที่สรุปคำกล่าวอ้างที่คุณจะอภิปรายในเรียงความ ซึ่งจะช่วยบอกให้ผู้อ่านรู้ว่าเรียงความของคุณเกี่ยวกับเรื่องอะไร
    อย่า: เขียนประโยคใจความสำคัญที่คลุมเครือหรือชัดเจนอยู่แล้ว เช่น "การแก้แค้นเป็นแก่นเรื่องหลักใน เบวูล์ฟ "
    จง: เขียนข้อโต้แย้งที่เฉพาะเจาะจง เช่น " เบวูล์ฟ สำรวจรูปแบบการแก้แค้นที่แตกต่างกันในยุคแองโกล-แซกซัน โดยเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการแก้แค้นที่ทรงเกียรติของมังกร กับการตอบโต้ของมารดาของเกรนเดล"
    • ตัวอย่างนี้เหมาะเป็นใจความสำคัญของเรียงความเชิงวิเคราะห์ เพราะมันสำรวจงานเขียนและมีคำกล่าวอ้างที่เจาะจง
    • คำกล่าวอ้างเป็นสิ่งที่สามารถ "โต้แย้งได้" หมายความว่ามันไม่ใช่ข้อความที่เป็นข้อเท็จจริงล้วนๆ ที่ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ เรียงความเชิงวิเคราะห์จะเลือกข้างและแสดงข้อโต้แย้ง
    • ใจความสำคัญของเรียงความจะต้องไม่ใหญ่เกินขอบข่ายของงานที่ได้รับมอบหมาย "การแก้แค้นใน เบวูล์ฟ สามารถเป็นหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ได้เพราะมันกว้าง แต่ถ้าเป็นเรียงความที่นักเรียนเขียนส่งอาจารย์มันก็อาจจะกว้างเกินไป ถ้าเป็นเรียงความที่นักเรียนเขียงส่งอาจารย์ซึ่งมีความสั้นกว่า ข้อโต้แย้งของคุณก็อาจจะเป็น การแก้แค้นของตัวละครหนึ่งมีเกียรติกว่าอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวข้อที่แคบพอเหมาะกับขอบข่ายของงาน [3]
    • อย่าเขียนใจความสำคัญแบบ "สามประเด็น" ที่บอกว่าคุณจะอภิปรายสามประเด็นนั้นในภายหลัง ยกเว้นว่าอาจารย์จะกำหนดให้เขียนแบบนี้ เพราะประโยคใจความหลักแบบนี้มักจะจำกัดการวิเคราะห์ของคุณมากเกินไป และทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าข้อโต้แย้งของคุณเป็นสูตรสำเร็จ คุณสามารถเขียนรวมๆ ได้ว่า ข้อโต้แย้งของคุณคืออะไร
  5. คุณอาจจะใช้แค่แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (งานเขียนที่คุณวิเคราะห์) หรือแหล่งข้อมูลปฐมภูมิกับทุติยภูมิ เช่น หนังสือเล่มอื่นๆ หรือบทความวารสาร แล้วแต่ว่าคุณได้รับมอบหมายให้ทำแบบไหน ซึ่งงานที่ได้รับมอบหมายจะบอกว่าคุณต้องใช้แหล่งข้อมูลประเภทไหนบ้าง หลักฐานที่ดีจะต้องสนับสนุนคำกล่าวอ้างและทำให้ข้อโต้แย้งของคุณน่าเชื่อถือมากขึ้น เขียนหลักฐานที่มาสนับสนุน จดเอาไว้ว่าคุณได้ข้อมูลนี้มาจากที่ไหน และคุณจะใช้สนับสนุนคำกล่าวอ้างของคุณอย่างไร [4]
    • ตัวอย่างหลักฐานที่มาสนับสนุน : ในการสนับสนุนคำกล่าวอ้างที่ว่า การแก้แค้นของมังกรมีความชอบธรรมมากกว่าการแก้แค้นของมารดาของเกรนเดลนั้น ให้ดูที่ข้อความในบทกวีที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่การต่อสู้ของสัตว์ประหลาด การต่อสู้ และปฏิกิริยาที่มีต่อการต่อสู้
      อย่า: ละเลยหรือบิดเบือนหลักฐานเพื่อให้เข้ากับใจความสำคัญของเรียงความ
      จง: ปรับใจความสำคัญให้ใกล้เคียงกับความคิดเห็นของตัวเองขณะที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ มากขึ้น
  6. การเขียนโครงร่างเป็นการกำหนดโครงสร้างงานเขียนและช่วยให้คุณเขียนง่ายขึ้น แต่คุณต้องรู้ก่อนกว่างานเขียนของคุณต้องยาวประมาณไหน อาจารย์บางคนอาจจะไม่ว่าอะไรถ้าคุณจะเขียน "เรียงความห้าย่อหน้า" (คำนำ เนื้อหา 3 ย่อหน้า และบทสรุป) ตามมาตรฐาน แต่อาจารย์หลายคนชอบเรียงความที่ยาวกว่านั้นและสำรวจหัวข้อแบบเจาะลึกมากขึ้น เพราะฉะนั้นก็ให้เขียนโครงร่างตามนั้น
    • ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะนำหลักฐานทั้งหมดมาประกอบกันได้อย่างไร อย่าเพิ่งกังวล! เพราะการเขียนโครงร่างจะช่วยให้คุณรู้ว่า คุณจะเรียบเรียงข้อโต้แย้งอย่างไร
    • นอกจากนี้คุณยังสามารถเขียนโครงเรื่องแบบคร่าวๆ ที่รวบรวมความคิดเป็นก้อนใหญ่ๆ จากจุดนี้คุณจะสามารถเลือกได้ว่าจะพูดถึงอะไรตรงไหน
    • ความยาวของเรียงความจะต้องเพียงพอกับหัวข้อที่คุณอภิปราย สิ่งที่นักเรียนมักทำผิดพลาดก็คือ การเลือกหัวข้อใหญ่แล้วอภิปรายเนื้อหาแค่ 3 ย่อหน้า ซึ่งมันจะทำให้เรียงความดูตื้นเขินและเหมือนเขียนแบบลวกๆ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะอภิปรายรายละเอียดแต่ละจุดออกมายาวๆ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ลงมือเขียนเรียงความ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คำนำควรบอกข้อมูลภูมิหลังเกี่ยวกับหัวข้อให้ผู้อ่านได้ทราบ พยายามเขียนคำนำให้น่าอ่านแต่ก็อย่ากระตือรือร้นจนเกินไป อย่าสรุปโจทย์ เขียนแค่ข้อโต้แย้งลงไปจะดีที่สุด และอย่าเขียนคำนำที่เร้าใจจนเกินไป (ไม่ควรขึ้นต้นเรียงความด้วยคำถามหรือคำอุทาน) โดยทั่วไปแล้วคุณไม่ควรใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 (ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า) หรือสรรพนามบุรุษที่ 2 (คุณ) ในเรียงความ เขียนใจความสำคัญของเรียงความลงไป ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นประโยคสุดท้ายของย่อหน้าแรก
    • ตัวอย่างคำนำ : การแก้แค้นเป็นสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายในวัฒนธรรมแองโกล-แซกซัน การแก้แค้นที่ปรากฎอยู่หลายครั้งในบทกวีมหากาพย์ เบวูล์ฟ นั้นแสดงให้เห็นว่า การแก้แค้นเป็นลักษณะสำคัญในยุคแองโกล-แซกซัน อย่างไรก็ตามการแก้แค้นแต่ละครั้งนั้นไม่เหมือนกัน โดยกวีได้แสดงภาพความแก้แค้นที่ทำให้เห็นว่า การแก้แค้นของมังกรนั้นมีเกียรติกว่าการแก้แค้นของมารดาของเกรนเดล
    • คำนำนี้บอกข้อมูลที่ผู้อ่านควรรู้เพื่อให้เข้าใจข้อโต้แย้งของคุณ จากนั้นก็นำเสนอข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความซับซ้อนของประเด็นทั่วไป (การแก้แค้น) ที่อยู่ในบทกวี ข้อโต้แย้งประเภทนี้น่าสนใจเพราะเป็นการบอกว่า ผู้อ่านจะต้องอ่านงานเขียนอย่างละเอียด และอย่าอ่านเอาเรื่องเพียงอย่างเดียว
      อย่า: ใส่ประโยคยาวๆ และเยิ่นเย้อที่เริ่มต้นด้วย "ในสังคมปัจจุบัน" หรือ "ตลอดระยะเวลา"
      จง: บอกชื่อเรื่อง ผู้แต่ง และวันที่ตีพิมพ์ของงานเขียนที่คุณวิเคราะห์สั้นๆ
  2. ย่อหน้าเนื้อหาแต่ละย่อหน้าควรประกอบไปด้วย 1) ประโยคแสดงความคิดหลัก 2) บทวิเคราะห์งานเขียนในบางส่วน 3) หลักฐานของงานเขียนที่สนับสนุนการวิเคราะห์และประโยคใจความหลัก ประโยคแสดงความคิดหลักต้องบอกผู้อ่านว่า ย่อหน้าเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ส่วนบทวิเคราะห์งานเขียนจะเป็นที่ที่คุณอภิปรายข้อโต้แย้ง และหลักฐานก็ต้องสนับสนุนข้อโต้แย้งของคุณ และจำไว้ด้วยว่าคำกล่าวอ้างในแต่ละประเด็นของคุณจะต้องสนับสนุนใจความสำคัญของเรียงความด้วย [5]
    • ตัวอย่างประโยคแสดงความคิดหลัก : สิ่งสำคัญในการแยกความแตกต่างระหว่างการต่อสู้สองครั้งนี้ก็คือ แนวคิดเรื่องการแก้แค้นที่ไม่สมเหตุสมผล
    • ตัวอย่างบทวิเคราะห์ : มารดาของเกรนเดลไม่ได้ต้องการแก้แค้นตามแนวคิด ‘ตาต่อตา’ ในยุคกลางเท่านั้น แต่เธอต้องการให้ชีวิตแลกด้วยชีวิต และในขณะเดียวกันก็สร้างความวุ่นวายในอาณาจักรของร็อดการ์ด้วย
    • ตัวอย่างหลักฐาน : แทนที่จะฆ่าแอสเชอร์เพียงอย่างเดียวเพื่อชำระแค้น แต่เธอกลับ “[คว้าตัว] นักรบฝีมือดีผู้นั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว” และ “จับตัวเขาไว้แน่น” ขณะไปที่ชายเลน (1294) ซึ่งเธอทำไปเพื่อที่จะล่อให้เบวูล์ฟออกจากเฮร็อตเพื่อที่เธอจะได้ฆ่าเขาด้วย
    • สูตร "คำ-หลัก-คำ" อาจช่วยให้คุณจำได้: คำกล่าวอ้าง-หลักฐาน-คำอธิบาย เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเสนอคำกล่าวอ้าง คุณต้องนำเสนอหลักฐานที่มาสนับสนุนคำกล่าวอ้างนั้นด้วย และ อธิบายว่าหลักฐานนั้นเกี่ยวข้องกับคำกล่าวอ้างของคุณอย่างไร
  3. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรยกคำพูดอ้างอิงหรือเรียบเรียงคำพูดใหม่. การยกคำพูดอ้างอิงก็คือ การที่คุณยกข้อความต้นฉบับโดยใส่เครื่องหมายอัญประกาศครอบไว้แล้วแทรกเข้าไปในเรียงความ การยกคำพูดอ้างอิงเหมาะกับการใช้คำพูดต้นฉบับมาสนับสนุนคำกล่าวอ้าง แต่อย่าลืมเขียนอ้างอิงให้ถูกต้องตามรูปแบบแล้วแต่ว่างานเขียนของคุณใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบ MLA, APA หรือแบบชิคาโก ส่วนการเรียบเรียงคำพูดใหม่จะใช้เมื่อคุณสรุปเนื้อหานั้นมา ซึ่งคุณสามารถเรียบเรียงเนื้อหานั้นใหม่เพื่อบอกภูมิหลังหรือย่อรายละเอียดปลีกย่อยให้เหลือเป็นข้อความสั้นๆ ซึ่งมีประโยชน์มากหากคุณมีข้อมูลเยอะหรือต้องอ้างอิงคำจากงานเขียนเป็นก้อนใหญ่ๆ เพื่อถ่ายทอดประเด็นที่ต้องการจะสื่อ [6]
    อย่า: อ้างอิงเกินสองข้อความต่อหนึ่งย่อหน้า ตามหลักการทั่วไป
    จง: สนับสนุนคำกล่าวอ้างที่บอกเป็นนัยหรือยังเป็นที่โต้เถียงด้วยการยกคำพูดอ้างอิงหรือเรียบเรียงคำพูดใหม่
    • ตัวอย่างการยกคำพูดอ้างอิง : แทนที่จะฆ่าแอสเชอร์เพียงอย่างเดียวเพื่อชำระแค้น แต่เธอกลับ “[คว้าตัว] นักรบฝีมือดีผู้นั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว” และ “จับตัวเขาไว้แน่น” ขณะไปที่ชายเลน (1294)
    • ตัวอย่างการเรียบเรียงประโยคขึ้นใหม่ : แกรนเดลเพศเมียเข้าไปที่เฮร็อต คว้าตัวนักรบคนหนึ่งที่หลับอยู่ข้างใน แล้ววิ่งหนีไปที่ชายเลน (1294)
  4. บทสรุปคือส่วนที่คุณย้ำผู้อ่านอีกครั้งว่าคุณสนับสนุนข้อโต้แย้งของคุณอย่างไร แต่อาจารย์บางคนก็อยากให้คุณสร้างความเชื่อมโยงที่กว้างกว่านั้นในบทสรุปของคุณ หมายความว่าเขาอยากให้คุณสร้าง ‘การเชื่อมโยงกับโลกที่ใหญ่กว่า’ ซึ่งอาจจะหมายความว่าเขาอยากให้คุณบอกว่า ข้อโต้แย้งของคุณมีผลต่อคำกล่าวอ้างอื่นๆ ที่มีต่องานเขียนอย่างไร หรือคำกล่าวอ้างของคุณเปลี่ยนมุมมองของผู้ที่อ่านงานเขียนนี้ได้อย่างไรบ้าง
    อย่า: ใส่ข้อโต้แย้งใหม่เข้าไปในบทสรุป
    จง: ขยายความให้กว้างกว่าประโยคใจความสำคัญด้วยการอภิปรายข้อเสนอแนะหรือบริบทที่กว้างกว่า
    • ตัวอย่างบทสรุป : แนวคิดเรื่อง ‘ตาต่อตา’ ปรากฏตั้งแต่ต้นยุคกลาง อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบการต่อสู้กับมารดาของแกรนเดลและการต่อสู้กับมังกรเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดเกี่ยวกับการแก้แค้นที่ชอบธรรมกับความพยาบาทที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างชัดเจน มังกรตอบโต้ด้วยวิธีการแบบเดียวที่เขารู้ แต่มารดาของแกรนเดลกลับโจมตีด้วยความอาฆาตมาดร้าย
    • ตัวอย่างบทสรุปที่มี ‘การเชื่อมโยงกับโลกที่ใหญ่กว่า’: แนวคิดเรื่อง ‘ตาต่อตา’ ปรากฏตั้งแต่ยุคกลางตอนต้น อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบการต่อสู้กับมารดาของแกรนเดลและการต่อสู้กับมังกรเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดเกี่ยวกับการแก้แค้นที่ชอบธรรมกับความพยาบาทที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างชัดเจน มังกรตอบโต้ด้วยวิธีการแบบเดียวที่เขารู้ แต่มารดาของแกรนเดลกลับโจมตีด้วยความอาฆาตมาดร้าย ซึ่งจากการศึกษาตัวละครอื่นๆ นั้นพบว่า การบรรยายภาพในลักษณะนี้อาจเกี่ยวข้องกับแนวความคิดในยุคกลางตอนต้นที่ว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีจิตพยาบาทมากกว่า
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ตรวจทานเรียงความ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตรวจทานข้อผิดพลาดเรื่องการสะกดคำและหลักภาษาในเรียงความ. เรียงความที่มีข้อผิดพลาดเยอะมักจะได้คะแนนน้อยกว่าเรียงความที่ผ่านการตรวจทานและขัดเกลามาแล้ว ตรวจการสะกดคำ ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ และการใช้เครื่องหมายวรรคตอนผิด
    • นอกจากนี้คุณต้องยึดรูปแบบการเขียนเรียงความที่ถูกต้องด้วย เช่น ใช้รูปแบบตัวพิมพ์ Angsana UPC ชนิดธรรมดา ขนาด 16 กั้นหน้า 1.5 นิ้ว และกั้นหลัง 1 นิ้วที่เป็นรูปแบบมาตรฐาน
  2. การอ่านออกเสียงจะช่วยให้คุณเจอจุดที่อ่านแล้วไม่ลื่นไหล นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณเจอประโยคไม่สมบูรณ์ที่คุณอาจจะไม่ทันได้สังเกตมาก่อนด้วย
  3. ดูให้ดีว่าชื่อตัวละคร ชื่อเรื่อง สถานที่ และอื่นๆ สะกดถูกต้อง. อาจารย์มักจะตัดคะแนนถ้าในรายงานสะกดชื่อตัวละครผิดทั้งฉบับ เพราะฉะนั้นให้กลับไปที่งานเขียนหรือบทความอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคุณสะกดถูกต้องแล้ว
    • ถ้าคุณเขียนบทวิเคราะห์ภาพยนตร์ ให้ค้นหารายชื่อตัวละครในอินเทอร์เน็ต เทียบเคียงแหล่งที่มา 2-3 แหล่งเพื่อให้แน่ใจว่าคุณสะกดถูกต้อง
  4. สมมุติว่าตัวเองเป็นอาจารย์ที่กำลังอ่านเรียงความ. คุณเข้าใจประเด็นที่สื่อออกมาชัดเจนไหม โครงสร้างของเรียงความอ่านง่ายไหม ในเรียงความได้อธิบายหรือเปล่าว่าทำไมหัวข้อนี้ถึงสำคัญ
  5. มีอะไรที่คุณควรใส่ลงไปเพิ่มหรือตัดออกไหม พวกเขาเข้าใจประเด็นที่คุณกำลังอภิปรายหรือไม่
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถามตัวเองว่า "ฉันกำลังจะพิสูจน์เรื่องอะไร" ซึ่งคำตอบควรอยู่ในใจความหลัก แต่ถ้าไม่ ให้กลับไปแก้
  • ถ้าคุณเขียนบทวิเคราะห์หรือบทวิจารณ์ที่เป็นทางการ อย่าใช้การเขียนแบบภาษาพูด แม้ว่าภาษาที่ไม่เป็นทางการจะทำให้บทความมีสีสันมากขึ้น แต่การใช้คำสแลงที่เป็นภาษาปากในงานเขียนอาจเสี่ยงต่อการทำให้ข้อโต้แย้งของคุณดูน่าเชื่อถือน้อยลง
  • อย่าเขียนคลุมเครือจนเกินไป เพราะความคลุมเครือเปิดช่องให้คนตีความผิดได้ และในเรียงความเชิงวิเคราะห์ที่มีการเชื่อมโยงอย่างสอดคล้องนั้น การเปิดช่องให้คนตีความผิดได้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อโต้แย้งลดลง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,704 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา