ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เรียงความเชิงโน้มน้าวใจคือเรียงความที่ใช้เพื่อโน้มน้าวผู้อ่านเกี่ยวกับแนวคิดหรือประเด็นใดประเด็นหนึ่งซึ่งคุณเชื่อมั่น เรียงความเชิงโน้มน้าวใจสามารถเขียนเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่คุณมีความคิดเห็นหรือมีข้อโต้แย้งที่ชัดเจน ไม่ว่าคุณจะกำลังโต้แย้งอาหารขยะในโรงเรียนหรือรณรงค์เพื่อขอขึ้นเงินเดือนจากเจ้านายก็ตาม การรู้วิธีการเขียนเรียงความเชิงโน้มน้าวใจคือทักษะที่สำคัญที่ทุกคนพึงมี

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

การปูพื้นฐาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ในกรณีส่วนใหญ่คุณจะได้รับงานมอบหมายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเรียงความเชิงโน้มน้าวใจ คุณต้องอ่านคำสั่งให้รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วน
    • มองหาภาษาที่บอกใบ้คุณว่าคุณกำลังเขียนเรียงความโน้มน้าวใจหรือเรียงความเชิงโต้แย้ง เช่น ถ้าคำสั่งใช้คำว่า “ประสบการณ์ส่วนตัว” หรือ “การสังเกตส่วนตัว” คุณจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถใช้เพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งของคุณ [1]
    • ในทางกลับกัน คำว่า “แก้ต่าง” หรือ “โต้แย้ง” เสนอว่าคุณควรเขียนเรียงความเชิงโต้แย้งซึ่งอาจจะต้องใช้หลักฐานที่เป็นทางการมากขึ้นและเป็นส่วนตัวน้อยลง
    • ถ้าหากคุณไม่แน่ใจว่าคุณต้องเขียนอะไรก็ควรถามผู้สอน
  2. ถ้าหากคุณสามารถทำได้ก็ควรหาเวลาร่างข้อโต้แย้งที่คุณจะต้องการเขียน เรียงความที่รีบร้อนอาจจะไม่สามารถโน้มน้าวใครได้ ให้เวลากับตัวเองมากพอเพื่อรวบรวมความคิด เขียนและแก้ไข
    • เริ่มแต่เนิ่นๆ เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ วิธีนี้ถึงแม้ว่าคุณมีเหตุฉุกเฉิน เช่น คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้ คุณก็ยังจะมีเวลามากพอเพื่อเขียนเรียงความให้เสร็จ
  3. งานเขียนทุกชิ้นมีสถานการณ์การเขียนซึ่งมี 5 องค์ประกอบพื้นฐาน: เนื้อหา (ในที่นี้คือเรียงความ) ผู้แต่ง (คุณ) ผู้อ่าน จุดประสงค์ของการสื่อสารและฉาก [2]
    • ลองใช้ทฤษฎีการหยุดนิ่งเพื่อช่วยให้คุณพิจารณาสถานการณ์การเขียน สิ่งนี้คือเมื่อคุณพิจารณาข้อเท็จจริง คำนิยาม (ความหมายของปัญหาหรือพื้นเพของมัน) คุณภาพ (ระดับของความรุนแรงของปัญหา) และนโยบาย (แผนการกระทำสำหรับปัญหา)
    • ในการพิจารณาข้อเท็จจริง ลองถามว่า: เกิดอะไรขึ้น? อะไรคือความจริงที่ปรากฏ? ปัญหานี้เริ่มขึ้นได้อย่างไร? อะไรที่ผู้คนสามารถทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้บ้าง?
    • ในการพิจารณาคำนิยาม ลองถามว่า: อะไรคือพื้นเพของปัญหาหรือประเด็นนี้? ปัญหานี้เป็นแบบใด? ปัญหานี้เหมาะสมในหัวข้อหรือระดับชั้นอะไรมากที่สุด?
    • ในการพิจารณาคุณภาพ ลองถามว่า: ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อใครบ้าง? มีความรุนแรงแค่ไหน? อะไรจะเกิดขึ้นถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข?
    • ในการพิจารณานโยบาย ลองถามว่า: ควรมีใครลงมือจัดการหรือไม่? ใครควรทำอะไรบางอย่างและพวกเขาควรทำอะไรหรือไม่? [3]
  4. สิ่งที่โน้มน้าวใจคนๆ หนึ่งอาจจะไม่โน้มน้าวใจอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลนี้คุณจำเป็นต้องพิจารณาว่าเรียงความของคุณมุ่งเน้นไปที่ผู้อ่านแบบใด แน่นอนว่าผู้สอนของคุณคือผู้อ่านหลักแต่คุณต้องพิจารณาคนอื่นๆที่อาจจะเห็นว่าเรียงความของคุณโน้มน้าวใจด้วย [4]
    • เช่น ถ้าหากคุณกำลังโต้แย้งอาหารกลางวันในโรงเรียนที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คุณอยากจะต้องหาหลากหลายวิธีโดยขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการโน้มน้าวใคร คุณอาจจะมุ่งเน้นไปที่คนทำงานในโรงเรียนซึ่งในกรณีนี้คุณสามารถพูดถึงความอุดมสมบูรณ์ของนักเรียนและอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าหากคุณมุ่งเน้นไปที่ผู้ปกครองของนักเรียน คุณอาจจะต้องพูดถึงสุขภาพของเด็กๆ และค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพและถ้าหากคุณต้องการพิจารณาความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มรากหญ้า” ท่ามกลางหมู่นักเรียน คุณอาจจะต้องพูดถึงความชอบส่วนตัว
  5. เนื่องจากเรียงความเชิงโน้มน้าวใจต้องอาศัยอารมณ์เป็นอย่างมาก คุณจึงควรเลือกเรื่องที่คุณมีความคิดเห็น เลือกหัวข้อซึ่งคุณรู้สึกอย่างแรงกล้าและสามารถโต้แย้งได้อย่างโน้มน้าวใจ
  6. มองหาหัวข้อที่มีความลึกซึ้งหรือความหลากหลายเป็นอย่างมาก. คุณอาจจะรู้สึกหลงใหลเกี่ยวกับพิซซ่าแต่คุณอาจจะไม่สามารถเขียนเรียงความที่น่าสนใจเกี่ยวกับมันได้ หัวข้อที่คุณสนใจและมีความลึกซึ้ง เช่น การทารุณสัตว์หรือการจัดสรรของรัฐบาลจะเป็นหัวข้อที่เหมาะสมมากกว่า
  7. พิจารณามุมมองของตรงกันข้ามเมื่อนึกถึงเรียงความของคุณ. ถ้าคุณคิดว่าคุณจะไม่สามารถหาข้อโต้แย้งให้กับหัวข้อของคุณได้ ความคิดเห็นของคุณอาจจะยังไม่ขัดแย้งกันมากพอที่จะเขียนเรียงความเชิงโน้มน้าวใจ ในทางกลับกัน ถ้าหากมีข้อโต้แย้งมากมายต่อความคิดเห็นของคุณจนคุณอาจจะไม่สามารถลบคำโต้แย้งได้ คุณก็ควรเลือกหัวข้อที่สามารถโต้แย้งได้ง่ายกว่า
  8. เรียงความเชิงโน้มน้าวใจที่ดีจะต้องพิจารณาความคิดแย้งและหาวิธีเพื่อโน้มน้าวผู้อ่านว่าความคิดเห็นที่นำเสนอในเรียงความนี้เป็นความคิดเห็นที่ดีกว่า คุณต้องเลือกหัวข้อที่คุณเตรียมพร้อมอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพิจารณาความคิดแย้งอย่างยุติธรรม (ด้วยเหตุผลนี้ หัวข้อของศาสนามักจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับเรียงความเชิงโน้มน้าวใจเพราะคุณอาจจะไม่สามารถโน้มน้าวให้ใครบางคนหลุดออกจากความเชื่อของศาสนาได้)
  9. เรียงความของคุณอาจจะไม่ยาวมาก: อาจจะเป็น 5 ย่อหน้าหรือหลายหน้าแต่คุณต้องทำใจความสำคัญให้กระชับเพื่อที่คุณจะสามารถค้นคว้าหัวข้อได้อย่างทั่วถึง เช่น เรียงความที่พยายามโน้มน้าวผู้อ่านว่าสงครามเป็นเรื่องที่ผิดอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเพราะหัวข้อกว้างเกินไป การเลือกส่วนที่เล็กกว่าของหัวข้อนั้น เช่น การจู่โจมโดยใช้โดรนเป็นเรื่องที่ผิดจะทำให้คุณมีเวลามากขึ้นเพื่อลงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักฐาน [5]
  10. ใจความหลักของคุณนำเสนอความคิดเห็นหรือข้อโต้แย้งด้วยภาษาที่ชัดเจน ใจความหลักมักจะอยู่ในช่วงท้ายของย่อหน้าบทนำ สำหรับเรียงความเชิงโน้มน้าวใจ คุณจำเป็นต้องเสนอข้อโต้แย้งด้วยภาษาที่ชัดเจนซึ่งทำให้ผู้อ่านรู้ว่าควรคาดหวังอะไร [6]
    • ใจความหลักยังต้องนำเสนอองค์ประกอบของเรียงความ อย่าเขียนประเด็นในการจัดลำดับแบบหนึ่งและพูดถึงมันด้วยการจัดลำดับที่แตกต่างกัน
    • เช่น ใจความหลักควรมีลักษณะเช่นนี้: “ถึงแม้ว่าอาหารที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าและแปรรูปแล้วมีราคาถูกแต่มันไม่ดีสำหรับนักเรียน โรงเรียนต้องจัดหาอาหารที่สดใหม่และดีต่อสุขภาพให้กับนักเรียนถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าก็ตาม อาหารมื้อกลางวันในโรงเรียนที่ดีต่อสุขภาพสามารถสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของนักเรียนเป็นอย่างมากและการไม่จัดหาอาหารกลางวันที่ดีต่อสุขภาพทำให้นักเรียนรู้สึกแย่”
    • จำไว้ว่าใจความหลักต้องไม่เป็นใจความที่มีสามแง่สามง่าม คุณไม่จำเป็นต้องพูดถึงประเด็นย่อยทุกประเด็นที่คุณจะระบุในบทความของคุณ (นอกเสียจากว่าคำสั่งของคุณระบุให้ทำเช่นนั้น) คุณจำเป็นต้องสื่อสารสิ่งที่คุณต้องการโต้แย้งให้ถูกต้อง
  11. เมื่อคุณได้เลือกหัวข้อแล้วก็ควรเตรียมการให้ได้มากที่สุดก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนเรียงความ สิ่งนี้หมายถึงคุณต้องพิจารณาว่าทำไมคุณจึงมีความคิดเห็นแบบนั้นและหลักฐานอะไรที่คุณคิดว่ากระตุ้นความสนใจมากที่สุด นี่คือบริเวณที่คุณควรมองหาความคิดแย้งที่สามารถแย้งประเด็นของคุณได้ [7]
    • แผนภูมิความคิดอาจจะเป็นประโยชน์ เริ่มด้วยหัวข้อกลางและวาดกล่องรอบๆ จากนั้นเขียนแนวคิดอื่นๆ ในกล่องข้อความเล็กๆ รอบๆ หัวข้อ เชื่อมโยงแต่ละกล่องข้อความเพื่อแสดงแบบแผนและระบุว่าแนวคิดเหล่านี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร [8]
    • อย่ากังวลกับการมีแนวคิดที่ยาวเหยียดในขั้นตอนนี้ การสร้างแนวคิดคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
  12. เมื่อคุณได้รวบรวมแนวคิดเข้าด้วยกันคุณอาจจะพบว่าแนวคิดบางอย่างต้องใช้การค้นคว้าเพื่อสนับสนุน การค้นคว้าก่อนที่จะเริ่มเขียนเรียงความของคุณจะทำให้ขั้นตอนการเขียนเป็นไปอย่างราบรื่น
    • เช่น ถ้าหากคุณกำลังโต้แย้งเกี่ยวกับมื้อกลางวันในโรงเรียนที่ดีต่อสุขภาพ คุณสามารถยกประเด็นที่ว่าอาหารสดใหม่และมาจากธรรมชาติรสชาติดีกว่า นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวและไม่จำเป็นต้องใช้การค้นคว้าเพื่อสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณต้องการโต้แย้งว่าอาหารสดใหม่มีวิตามินและสารอาหารมากกว่าอาหารแปรรูป คุณจะต้องพึ่งพาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพื่อสนับสนุนคำพูดนี้
    • ถ้าหากคุณรู้จักบรรณารักษ์ก็ควรปรึกษาเขา บรรณารักษ์คือแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมเพื่อช่วยแนะแนวการค้นคว้าที่น่าทึ่งให้กับคุณ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

การเขียนโครงร่างเรียงความ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เรียงความเชิงโน้มน้าวใจมีรูปแบบที่ชัดเจนซึ่งช่วยให้คุณนำเสนอข้อโต้แย้งในแบบที่ชัดเจนและน่าสนใจ เหล่านี่คือองค์ประกอบของเรียงความเชิงโน้มน้าวใจ:
    • บทนำ คุณควรนำเสนอประโยคเด็ดที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน คุณยังควรนำเสนอใจความหลักซึ่งเป็นประโยคที่ชัดเจนว่าคุณจะโต้แย้งหรือพยายามโน้มน้าวผู้อ่านอย่างไร
    • ย่อหน้าเนื้อหา สำหรับเรียงความที่มี 5 ย่อหน้าคุณจะต้องมีย่อหน้าเนื้อหา 3 ย่อหน้า สำหรับเรียงความอื่นๆ คุณสามารถมีจำนวนย่อหน้าตามที่คุณต้องการเพื่อพูดถึงข้อโต้แย้งของคุณ ไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าใด ย่อหน้าเนื้อหาแต่ละย่อหน้าต้องมุ่งเน้นไปที่แนวคิดหลักเพลงแนวคิดเดียวและนำเสนอหลักฐานเพื่อสนับสนุน ย่อหน้าเหล่านี้คือบริเวณที่คุณโต้แย้งความคิดแย้งที่คุณพบ
    • บทสรุป บทสรุปคือตอนที่คุณเชื่อมโยงทุกอย่างเขาด้วยกัน คุณสามารถดึงความสนใจไปยังอารมณ์ พูดถึงหลักฐานที่น่าสนใจมากที่สุดอีกครั้งหรือขยายความเกี่ยวโยงของแนวคิดแรกกับบริบทที่กว้างขึ้น เพราะจุดประสงค์ของคุณคือการโน้มน้าวใจผู้อ่านให้ทำหรือคิดบางอย่าง คุณถึงต้องจบด้วยการกระทำ เชื่อมโยงหัวข้อที่คุณมุ่งเน้นไปยังโลกที่กว้างขึ้น
  2. ประโยคเด็ดของคุณคือประโยคแรกที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ประโยคเด็ดอาจจะเป็นคำถาม ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราว คำจำกัดความหรืออารมณ์ขัน ตราบใดที่มันทำให้ผู้อ่านต้องการอ่านต่อไปหรือเตรียมพร้อมก็ถือว่าคุณประสบความสำเร็จ [9]
    • เช่น คุณสามารถเริ่มต้นเรียงความด้วยความจำเป็นของการโน้มน้าวใจเกี่ยวกับแหล่งพลังงานอื่นเช่นนี้: “ลองจินตนาการโลกที่ไม่มีหมีโพลาร์” นี่คือประโยคที่ชัดเจนซึ่งดึงความสนใจมายังบางอย่างที่ผู้อ่านหลายคนคุ้นเคยและจะเพลิดเพลิน (หมีโพลาร์) มันยังกระตุ้นให้ผู้อ่านอ่านต่อไปเพื่อเรียนรู้ว่า “ทำไม” พวกเขาถึงต้องจินตนาการโลกนี้
    • คุณอาจจะพบว่าคุณไม่มีประโยคเด็ดทันทีทันใด อย่าติดอยู่กับขั้นตอนนี้ คุณยังสามารถดำเนินต่อไปและกลับมาที่จุดนี้หลังจากที่คุณได้เขียนโครงร่างของเรียงความแล้ว
  3. หลายคนเชื่อว่าบทนำคือส่วนที่สำคัญที่สุดของเรียงความเพราะมันสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านหรือทำให้ผู้อ่านสูญเสียความสนใจได้ บทนำที่ดีจะบอกผู้อ่านได้มากเพียงพอเกี่ยวกับเรียงความเพื่อดึงดูดผู้อ่านและทำให้ต้องการอ่านต่อไป [10]
    • เขียนประโยคเด็ดก่อน จากนั้นจึงเขียนแนวคิดรวมไปจนถึงแนวคิดเฉพาะเจาะจงจนกว่าคุณจะมีใจความหลัก
    • อย่าละเว้นการ เขียนประโยคใจความหลัก ใจความหลักของคุณคือบทสรุปสั้นๆ ว่าคุณกำลังโต้แย้งเรื่องอะไร โดยส่วนใหญ่จะเป็นประโยคเดียวและอยู่ใกล้ช่วงท้ายของย่อหน้าบทนำ ทำให้เรียงความของคุณเป็นส่วนผสมของข้อโต้แย้งที่โน้มน้าวใจหลายอย่างหรือข้อโต้แย้งที่ทรงพลังเพียงอย่างเดียวเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  4. เขียนเนื้อหาอย่างน้อย 3 ย่อหน้าในเรียงความของคุณ แต่ละย่อหน้าควรพูดถึงประเด็นหลักเพียงประเด็นเดียวซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งของคุณ ย่อหน้าเนื้อหาเหล่านี้คือส่วนที่คุณอธิบายความคิดเห็นและแสดงหลักฐาน จำไว้ว่าถ้าหากคุณไม่แสดงหลักฐาน ข้อโต้แย้งของคุณอาจจะไม่โน้มน้าวใจเท่าที่ควร [11]
    • เริ่มด้วยประโยคหัวข้อที่ชัดเจนซึ่งเกริ่นนำประเด็นหลักของย่อหน้า
    • ทำหลักฐานของคุณให้ชัดเจนและแม่นยำ เช่น อย่าเพียงพูดว่า: “ปลาโลมาเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก พวกมันเป็นที่รู้จักว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดอย่างเหลือเชื่อ” คุณต้องพูดว่า: “ปลาโลมาเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าปลาโลมาประมวลผลได้แบบเดียวกับมนุษย์ในการจับเหยื่อ มีเพียงไม่กี่สายพันเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์แบบการอยู่ร่วมกันเช่นเดียวกับมนุษย์”
    • ใช้ข้อเท็จจริงเป็นหลักฐานเมื่อคุณทำได้ ข้อเท็จจริงที่เห็นพ้องต้องกันจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ทำให้ผู้คนมีหลักเพื่อยึดมั่น ถ้าหากเป็นไปได้คุณควรใช้ข้อเท็จจริงจากมุมต่างๆ เพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้ง เช่น:
      • "ดินแดนทางใต้ซึ่งมีการประหารชีวิตกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนทั้งหมดในสหรัฐอเมริกายังคงมีอัตราการฆาตกรรมสูงสุดของประเทศ สิ่งนี้ขัดแย้งว่าการลงโทษแบบประหารชีวิตจะสามารถยับยั้งการก่อเหตุได้ "
      • "ยิ่งไปกว่านั้น รัฐที่ไม่มีการลงโทษแบบประหารชีวิตมีอัตราการฆาตกรรมน้อยกว่า ถ้าหากการประหารชีวิตสามารถยับยั้งการก่อเหตุได้ ทำไมเราจึงไม่เห็นอัตราที่เพิ่มขึ้นของการฆาตกรรมในรัฐที่ไม่มีการลงโทษแบบประหารชีวิต?"
    • พิจารณาว่าย่อหน้าเนื้อหาของคุณสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นได้อย่างไร คุณต้องทำให้ข้อโต้แย้งของคุณก่อตัวขึ้นประเด็นหนึ่งต่อจากประเด็นหนึ่งแทนที่จะอยู่อย่างกระจัดกระจาย
  5. ใช้ประโยคสุดท้ายของย่อหน้าเนื้อหาเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังย่อหน้าต่อไป. คุณต้องทำให้ตอนท้ายของย่อหน้าหนึ่งเชื่อมต่อกับตอนต้นของอีกย่อหน้าหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อให้เรียงความของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น นี่คือตัวอย่างหนึ่ง: [12]
    • ตอนท้ายของย่อหน้าแรก: "ถ้าหากการลงโทษแบบประหารชีวิตไม่สามารถยับยั้งการก่ออาชญากรรมได้และอาชญากรรมมีอัตราสูงมาก จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใครบางคนถูกคุมขังโดยมิชอบ?"
    • ตอนต้นของย่อหน้าที่ 2: "ผู้ต้องขังโดยมิชอบที่ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตกว่า 100 คนพ้นโทษจากความผิดเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะถูกประหาร"
  6. คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้แต่มันจะทำให้เรียงความของคุณหนักแน่นมากขึ้น จินตนาการว่าคุณมีฝ่ายตรงข้ามที่กำลังโต้แย้งสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คุณพูด นึกถึงข้อโต้แย้งที่หนักแน่นมากที่สุด 1-2 ข้อและหาความคิดแย้งเพื่อโต้แย้งมัน
    • เช่น: "นักวิจารณ์ของนโยบายที่อนุญาตให้นักเรียนนำขนมเข้ามาในห้องเรียนกล่าวว่ามันจะทำให้นักเรียนเสียสมาธิมากเกินไปจนลดความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียน อย่างไรก็ตาม คุณต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่านักเรียนอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโตสูงสุด ร่างกายของพวกเขาต้องการพลังงานและจิตใจของพวกเขาอาจจะเหนื่อยล้าถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานาน การอนุญาตให้ทานขนมในห้องเรียนจะสามารถเพิ่มความสามารถของนักเรียนในการจดจ่อด้วยการกำจัดการเสียสมาธิจากความหิว”
    • คุณอาจจะพบว่าการเริ่มย่อหน้าด้วยความคิดแย้งและตามด้วยการโต้แย้งมันและนำเสนอข้อโต้แย้งของคุณเองเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ
  7. ตามกฎเกณฑ์โดยทั่วไป มันคือความคิดที่ดีในการพูดถึงประเด็นหลักแต่ละประเด็นอีกครั้งและจบเรียงความด้วยความคิดที่ละเอียดรอบคอบ ถ้าหากมันเป็นบางอย่างที่ผู้อ่านของคุณจะไม่ลืมอย่างง่ายดาย เรียงความของคุณจะสร้างความประทับใจที่ยาวนานกว่าเดิม อย่าเพียงแต่พูดถึงเนื้อหาซ้ำๆ แต่ต้องนึกถึงว่าคุณจะทิ้งอะไรไว้ให้ผู้อ่าน [13] นี่คือสิ่งที่คุณควรพิจารณา: [14]
    • ข้อโต้แย้งที่สามารถนำไปปรับใช้ในบริบทที่กว้างขึ้นได้อย่างไร?
    • ทำไมข้อโต้แย้งหรือความคิดเห็นนี้จึงมีความหมายสำหรับฉัน?
    • ข้อโต้แย้งของฉันก่อให้เกิดคำถามอะไรเพิ่มเติม?
    • ผู้อ่านสามารถลงมือทำอะไรได้บ้างหลังจากอ่านเรียงความของฉัน?
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

การเขียนอย่างโน้มน้าวใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณจะต้องทำตามธรรมเนียมพื้นฐานในการเขียนเรียงความเชิงโน้มน้าวใจ นอกเสียจากว่าคำสั่งหรืองานของคุณกล่าวเอาไว้
    • เรียงความเชิงโน้มน้าวใจใช้ “กลวิธีเชิงโวหาร” เพื่อโน้มน้าวใจผู้อ่านเช่นเดียวกับเรียงความเชิงโต้แย้ง ในเรียงความเชิงโน้มน้าวใจคุณมีอิสระมากกว่าเพื่อสร้างความสนใจกับอารมณ์ (ความสงสารเวทนา) นอกเหนือจากตรรกะและข้อมูล (คำพูด) และความน่าเชื่อถือ (ลักษณะพื้นฐานทางสังคม) [15]
    • คุณควรใช้หลักฐานหลายประเภทอย่างรอบคอบในการเขียนเรียงความเชิงโน้มน้าวใจ การใช้ตรรกะ เช่น การนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริงและหลักฐานที่หนักแน่นมักจะโน้มน้าวใจผู้อ่าน
    • เรียงความเชิงโน้มน้าวใจมักจะมีใจความหลักที่ชัดเจนซึ่งทำให้ความคิดเห็นหรือ “ข้าง” ที่คุณเลือกเป็นที่ประจักษ์ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้อ่านรู้ว่าคุณกำลังโต้แย้งอะไร [16]
    • ไม่ดี: สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ประเทศที่ได้รับการศึกษาเพราะการศึกษาถือเป็นสิทธิ์ของคนที่มั่งคั่งเพราะฉะนั้นในตอนต้นของศตวรรษปี 1800 Horace Mann ตัดสินใจที่จะพยายามและเปลี่ยนแปลงสถานะการ [17]
  2. ใช้เทคนิคการโน้มน้าวใจที่หลากหลายเพื่อดึงดูดผู้อ่านของคุณ. ศิลปะของการโน้มน้าวใจมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ถึงแม้ว่าคุณต้องใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อโน้มน้าวใจคนอื่นได้อย่างเก่งกาจแต่การเรียนรู้วิธีและเครื่องมือจะทำให้คุณเป็นนักเขียนที่ดีขึ้นในทันที เช่น ในงานเขียนเกี่ยวกับการอนุญาตผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย คุณสามารถใช้:
    • ความสงสารเวทนา คำพูดและพื้นฐานทางสังคม :เหล่านี้คือสิ่งสำคัญ 3 สิ่งของการใช้โวหาร ความสงสารเวทนาคืออารมณ์ พื้นฐานทางสังคมคือความน่าเชื่อถือและคำพูดคือตรรกะ สามองค์ประกอบรวมกันเพื่อช่วยให้คุณมีข้อโต้แย้งที่หนักแน่น
      • เช่น: คุณสามารถเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่แตกแยกจากสถานการณ์ในปัจจุบันในประเทศซีเรียเพื่อเชื่อมโยงกับความสงสารเวทนา ใช้ตรรกะเพื่อโต้แย้งการอนุญาตผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเป็นคำพูดของคุณและหาแหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนคำพูดของคุณสำหรับพื้นฐานทางสังคม#* การพูดซ้ำ : พูดถึงใจความหลักของคุณซ้ำๆ บอกสิ่งที่คุณกำลังบอกพวกเขา บอกพวกเขาจากนั้นจึงบอกอีก พวกเขาจะเข้าใจประเด็นของคุณในที่สุด
      • เช่น: ครั้งแล้วครั้งเล่าที่สถิติไม่ได้โกหกเรา เราต้องเปิดประตูเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
    • การคัดกรองทางสังคม : คำพูดยืนยันว่าคุณไม่ใช่คนเดียวที่สร้างประเด็นนี้ มันบอกผู้คนว่าถ้าหากพวกเราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พวกเขาต้องพิจารณามุมมองของคุณ
      • เช่น: “อย่าลืมคำที่จารึกบนอนุสาวรีย์แห่งชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพซึ่งขอให้เรา "มอบมวลชนที่เหนื่อยล้า ยากจนและเบียดเสียดที่ปรารถนาจะเป็นอิสระไห้กับเรา" ไม่มีเหตุผลใดที่เราควรไม่รวมชาวซีเรียเอาไว้ด้วย
    • การก่อกวนของปัญหา : ก่อนที่จะนำเสนอทางแก้ไขคุณต้องแสดงสิ่งที่ไม่ดีให้พวกเขาเห็น หาเหตุผลเพื่อให้พวกเขาใส่ใจในข้อโต้แย้งของคุณ [18]
      • เช่น: “ผู้ลี้ภัยกว่า 100 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน ประธานาธิบดี Assad ไม่เพียงแต่ขโมยอำนาจแต่ยังปล่อยแก๊สและวางระเบิดประชาชนของเขาเอง เขาได้ท้าทายอนุสัญญาเจนีวาซึ่งเป็นมาตรฐานแห่งความเหมาะสมและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและประชาชนของเขาไม่มีทางเลือกที่จะหนี”
  3. คุณต้องฟังดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญและต้องเป็นที่เชื่อถือได้ ตัดคำเล็กๆ น้อยๆ หรือประโยคที่ไม่จำเป็นออกเพื่อฟังดูน่าเชื่อถือ [19]
    • ดี: “ครั้งแล้วครั้งเล่าที่วิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการเจาะอาร์กติกเป็นสิ่งที่อันตราย มันไม่คุ้มกับความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมหรือทางเศรษฐกิจ”
    • ดี: “เราปรับใช้การพึ่งพาที่เป็นอันตรายซึ่งทำให้ราคาแก๊สพุ่งขึ้นในยุค 80 โดยไม่ผลักดันตัวเองสู่ความเป็นอิสระด้านพลังงานในอาร์กติกและที่อื่นๆ”
    • ไม่ดี: “การเจาะอาร์กติกอาจจะไม่ใช่เรื่องดีที่สุดแต่มันจะช่วยให้เราหยุดใช้น้ำมันจากต่างประเทศได้บ้าง ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องที่ดี”
  4. การโน้มน้าวใจเป็นเรื่องของการยกระดับความคิดที่มีร่วมกันและบังคับให้ผู้อ่านประเมินอีกครั้ง ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการเป็นคนที่งี่เง่าหรือต้องเผชิญหน้าแต่คุณต้องกระตุ้นความคิดเหล่านี้ให้กับผู้อ่าน
    • ดี: มีใครที่คิดบ้างว่าการทำให้ภาคเรียนหรือโอกาสที่จะเดินทางไปต่างประเทศของใครบางคนต้องพังทลายเป็นผลจากอาชญากรรมที่ไม่มีเหยื่อ? มันยุติธรรมแล้วหรือที่เราส่งเสริมการดื่มให้เป็นทางเลือกที่ถูกกฏหมายในสังคมนักเรียนโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา? อีกนานแค่ไหนที่เราสามารถใช้ข้ออ้างที่ว่า “เพียงเพราะมันปลอดภัยกว่าแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้แปลว่าเราควรทำให้มันถูกกฎหมาย” โดยไม่คำนึงถึงความจริงที่ว่าผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของยาเสพติดนั้นไม่ใช่ทางร่างกายหรือทางเคมีแต่เป็นทางสถาบัน?
    • ดี: เราทุกคนต่างต้องการอาชญากรรมที่ลดลง ครอบครัวที่เข้มแข็งขึ้นและการเผชิญหน้ากับยาเสพติดที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม เราต้องถามตัวเองว่าเรายินดีที่จะทัดทานกับสภาพที่เป็นอยู่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบนั้นหรือไม่
    • ไม่ดี: นโยบายนี้ทำให้เราดูโง่ มันไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักความจริงและคนที่เชื่อมันนั้นก็คือคนหลงผิดที่ดีที่สุดและเป็นคนร้ายที่ร้ายที่สุด
  5. ถึงแม้ว่าเรียงความส่วนใหญ่ของคุณควรจะเป็นข้อโต้แย้งของคุณเองแต่ป้องกันตัวเองได้ถ้าหากคุณสามารถเล็งเห็นและหักล้างข้อโต้แย้งที่มีต่อคุณได้ เก็บสิ่งนี้ไว้สำหรับย่อหน้าที่สองถึงย่อหน้าสุดท้าย
    • ดี: ถึงแม้ว่าผู้คนประสบอุบัติเหตุกับปืนภายในบ้านแต่มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของรัฐบาลในการควบคุมผู้คนจากตัวพวกเขาเอง ถ้าหากพวกเขาต้องการทำให้ตัวเองบาดเจ็บก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขา
    • ไม่ดี: ทางแก้ไขที่ชัดเจนทางเดียวคือห้ามใช้ปืน ไม่มีข้อโต้แย้งอื่นใดที่สำคัญ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

การขัดเกลาเรียงความ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าหากว่าคุณได้วางแผนล่วงหน้า สิ่งนี้ก็จะไม่ลำบากยากเย็น จากนั้นคุณสามารถกลับมาดูเรียงความได้หลังจาก 1 หรือ 2 วันและทบทวนอีกครั้ง การพักผ่อนจะทำให้คุณมีสายตาคู่ที่สดชื่นและช่วยให้คุณมองเห็นข้อผิดพลาด คุณสามารถทบทวนภาษาหรือแนวคิดที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้เวลา
  2. ข้อผิดพลาดที่พบได้มากกับนักเขียนที่เป็นนักเรียนคือการไม่ใช้เวลามากพอเพื่อทบทวนร่างเรียงความฉบับแรก อ่านเรียงความของคุณตั้งแต่แรกจนจบ พิจารณาสิ่งเหล่านี้: [20]
    • เรียงความได้พูดถึงจุดยืนอย่างชัดเจนหรือไม่?
    • จุดยืนของเรียงความมีหลักฐานและตัวอย่างสนับสนุนหรือไม่?
    • ย่อหน้าเรียงความเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่? ย่อหน้าเรียงความมุ่งเน้นแนวคิดหลักเพียงแนวคิดเดียวหรือไม่?
    • คุณนำเสนอความคิดแย้งอย่างยุติธรรมโดยไม่บิดเบือนความจริงหรือไม่? ความคิดแย้งถูกปิดบางอย่างชัดเจนหรือไม่?
    • แต่ละย่อหน้าเรียงลำดับอย่างมีตรรกะและก่อให้เกิดข้อโต้แย้งเป็นขั้นตอนหรือไม่?
    • บทสรุปกล่าวถึงความสำคัญของจุดยืนและกระตุ้นให้ผู้อ่านทำหรือคิดบางอย่างหรือไม่?
  3. การแก้ไขเป็นมากกว่าการอ่านธรรมดา คุณอาจจะต้องแก้ไขการเรียงประโยค เคลื่อนย้ายย่อหน้าเพื่อให้เนื้อหาดำเนินไปอย่างราบรื่นหรืออาจจะต้องร่างย่อหน้าใหม่ด้วยหลักฐานที่น่าสนใจมากกว่า คุณต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงเรียงความของคุณให้ดีขึ้น
    • การขอให้เพื่อนหรือเพื่อนร่วมห้องที่คุณไว้ใจอ่านเรียงความของคุณอาจจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ถ้าหากเขาไม่สามารถเข้าใจข้อโต้แย้งหรือพบสิ่งที่ไม่ชัดเจน คุณก็ควรแก้ไขสิ่งเหล่านั้น
  4. ใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบการสะกดคำของคุณ (ถ้ามี) อ่านเรื่องความของคุณออกเสียงดังโดยอ่านทุกคำที่อยู่บนหน้ากระดาษ วิธีนี้จะช่วยให้คุณเจอข้อผิดพลาด
    • การพิมพ์ร่างเรียงความและเขียนด้วยปากกาหรือดินสออาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เมื่อคุณเขียนบนคอมพิวเตอร์ สายตาของคุณจะเคยชินกับการอ่านสิ่งที่คุณคิดว่าคุณได้เขียนจนมองข้ามข้อผิดพลาด การอ่านฉบับที่จับต้องได้จะทำให้คุณใส่ใจในอีกวิธี
    • คุณต้องจัดรูปแบบเรียงความให้ถูกต้อง เช่น ผู้สอนส่วนใหญ่ระบุขอบเขตหน้ากระดาษและแบบตัวอักษรที่คุณควรใช้
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,400 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา