ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

VPN หรือก็คือ virtual private network เป็นการเชื่อมต่อกับเครือข่ายชนิดหนึ่งที่ให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อคอมของตัวเองเข้ากับเครือข่ายได้จากทุกที่ในโลก ปกติจะใช้กันในแวดวงธุรกิจหรือการศึกษา เพราะ VPN ให้คุณเข้ารหัสได้ จึงโอนถ่ายข้อมูลได้อย่างปลอดภัย เป็นส่วนตัว แถมทำให้คุณเหมือนกับใช้งานจากนอกประเทศ ดังนั้นจึงสามารถเข้าถึงเนื้อหาของประเทศที่ปกติห้ามการเข้าถึงจากประเทศอื่นๆ ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเดี๋ยวนี้คนถึงนิยมซื้อเครือข่าย VPN จากเจ้าของหรือผู้ให้บริการ ถ้าคุณอยากเชื่อมต่อ VPN เจ้าของ VPN จะให้ล็อกอินกับ password สำหรับคุณโดยเฉพาะ จากนั้นก็แค่ทำตามขั้นตอนเพื่อใช้อินเทอร์เน็ตผ่านคอมเครื่องไหนก็ได้

เลือก VPN ที่ใช่

  1. ถ้าคุณเป็นพนักงานหรือนักศึกษา ที่บริษัทกับมหาวิทยาลัยก็น่าจะมี VPN ให้ได้ใช้บ้าง ลองไปสอบถามหัวหน้างานหรือกิจการนิสิตเกี่ยวกับ account ที่ใช้เข้า VPN ดู
  2. ดูให้ครบทั้งเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว bandwidth ที่ต้องใช้ ต้องมี exit server ในประเทศอื่นหรือเปล่า platform ที่ต้องใช้คืออะไร ต้องใช้ customer service ไหม สุดท้ายคือต้องจ่ายเท่าไหร่ ข้ามไปอ่านเรื่องนี้ได้ที่ส่วน "เคล็ดลับ" ท้ายบทความได้เลย
  3. ถ้าจะซื้อบริการ VPN จากผู้ให้บริการ VPN ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย พอสมัครและจ่ายเงินเรียบร้อย (หรือยืนยันว่าบริษัทหรือสถานศึกษาของคุณมีบริการแบบนี้) ผู้ให้บริการก็จะให้ข้อมูลสำหรับการล็อกอินเข้าใช้ VPN มา หรือก็คือ username, password แล้วก็ IP หรือชื่อ server คุณเชื่อมต่อ VPN ได้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งข้างล่างนี่เลย
    โฆษณา
วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 6:

เชื่อมต่อ VPN ด้วย Windows Vista และ Windows 7

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้เลือก "Use my Internet connection (VPN)"
  2. ให้เลือก "I'll set up an Internet connection later."
  3. พิมพ์ IP address ลงในช่อง "Internet address" แล้วพิมพ์ชื่อ server ในช่อง "Destination name" ติ๊กถูกที่ช่อง "Don't connect now; just set it up so I can connect later." จากนั้นให้ตั้งค่าก่อนเชื่อมต่อ แล้วคลิก "Next"
  4. ติ๊กช่องที่บอกว่าให้จำชื่อกับ password นี้ด้วย ถ้าขี้เกียจมาพิมพ์ใหม่ทุกครั้งที่จะใช้ จากนั้นคลิก "Create"
  5. คลิก "Close" เพื่อปิดหน้าต่างถัดมาที่เขียนว่า "The connection is ready to use".
  6. คลิก "Connect to a network" ในหัวข้อ "Network and Sharing Center" แล้วคลิกการเชื่อมต่อ VPN ที่คุณเพิ่งสร้าง. สุดท้ายคลิก "Connect"
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 6:

เชื่อมต่อ VPN ด้วย Windows 8

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คลิก "Settings" ในกรอบทางขวาแล้วคลิก "Set up a virtual private network (VPN) connection" ในกรอบทางซ้าย.
  2. ในหน้าต่าง "Create a VPN Connection" ให้ใส่ internet address ของ VPN พร้อม descriptive name. อย่าลืมติ๊กช่อง "Remember my credentials" จะได้ไม่เสียเวลาล็อกอินทุกครั้ง แล้วคลิก "Create"
    • คุณต้องได้ IP address จากบริษัทหรือผู้ให้บริการ VPN มาก่อนหน้านี้แล้ว
  3. พอกรอบ "Networks" โผล่ขึ้นมา ให้เลื่อนเมาส์ไปที่ VPN ที่เพิ่งสร้าง. คลิก "connect"
  4. ที่ได้มาจากบริษัทหรือผู้ให้บริการ VPN คลิก "OK" เพื่อเชื่อมต่อได้เลย
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 6:

เชื่อมต่อ VPN ด้วย Windows XP

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คลิกเลย จากนั้นคลิก "Next" แล้วก็คลิก "Next" อีกที่หน้าจอ "Welcome to the New Connection Wizard"
  2. จากนั้นคลิก "Next"
    • ถ้าคุณต่อเน็ตแบบ dial-up ต่อมาจะเป็นหน้า "Public Network" ให้คลิกที่ปุ่มหน้า "Automatically dial this initial connection" แล้วคลิก "Next"
    • แต่ถ้าต่อเน็ตผ่าน cable modem หรือแบบอื่นที่ต่อทีเดียวจบ ให้คลิก "Do not dial the initial connection"
  3. ตั้งชื่อการเชื่อมต่อนี้ในช่องที่หน้า "Connection Name" แล้วคลิก "Next".
  4. ใส่ชื่อ DNS server หรือ IP address ของ VPN server ที่คุณจะเชื่อมต่อ ในช่องที่เขียนว่า "Host name or IP address". คลิก "Next" จากนั้นคลิก "Finish"
  5. จากนั้นติ๊กในช่องเพื่อเซฟข้อมูลไว้ถ้าคุณไม่อยากมานั่งกรอกอีกทีหลัง แล้วคลิก "Connect" เพื่อเชื่อมต่อ VPN ได้เลย
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 6:

เชื่อมต่อ VPN ด้วย Mac OS X

ดาวน์โหลดบทความ

"Network Connection" tool ของเครื่อง Mac นั้นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนในทุกเวอร์ชั่นของ Mac OS X เพราะงั้นขั้นตอนข้างล่างก็ใช้ได้เลยเวลาจะเชื่อมต่อ VPN ตามปกติ แต่ก็ควรจะอัพเกรดระบบเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพราะเวลามีจุดบกพร่องในระบบจะได้รู้ และจะได้ใช้ตัวเลือกขั้นสูงใหม่ๆ (อย่าง certificates) มาปรับแต่งการเชื่อมต่อ VPN ได้ด้วย

  1. คลิกไอค่อนที่เขียนว่า "Network"
  2. คลิกเครื่องหมายบวกที่ด้านล่างสุดของรายชื่อ เพื่อสร้างการเชื่อมต่อใหม่
  3. ตอนที่มีหน้าต่างโผล่ขึ้นมาถามหา interface ให้คุณเลือก "VPN" จากในเมนูที่ขยายลงมา. เลือก connection protocol โดย Mac OS X Yosemite นั้นรองรับ VPN protocol แบบ "L2TP over IPSec," "PPTP," หรือ "Cisco IPSec" คุณอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วน "เคล็ดลับ" ที่ข้างท้ายของบทความ จากนั้นให้ใส่ชื่อ VPN แล้วคลิก "Create"
  4. กลับไปที่หน้า Network แล้วเลือกการเชื่อมต่อ VPN ใหม่ของคุณจากในรายชื่อที่ sidebar ด้านซ้าย. เลือก "Add Configuration" จากเมนูที่ขยายลงมา แล้วพิมพ์ชื่อ VPN ในช่องที่ปรากฏ จากนั้นคลิก "Create"
  5. ใส่ server address กับชื่อ account ที่ได้จากเจ้าของ VPN ลงในช่อง. แล้วคลิก "Authentication Settings" ที่อยู่ข้างล่างช่อง "Account Name"
  6. คลิกปุ่มหน้า "Password" แล้วใส่ password ที่ได้มาจากเจ้าของ VPN. คลิกปุ่มหน้า "Shared Secret" แล้วใส่ข้อมูลที่คุณมี จากนั้นคลิก "OK"
  7. คลิกปุ่ม "Advanced" และอย่าลืมติ๊กที่ช่อง "Send all traffic over VPN connection". คลิก "OK" จากนั้นคลิก "Apply" แล้วคลิก "Connect" เพื่อเชื่อมต่อ VPN ได้เลย
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 6:

เชื่อมต่อ VPN ด้วย iOS

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คลิก "Add VPN Configuration"
  2. ในแถบด้านบน คุณจะเห็นว่า iOS มีให้เลือก protocol 3 แบบด้วยกัน คือ L2TP, PPTP และ IPSec ถ้าคุณใช้ VPN ของบริษัท ก็คงมีคนบอกแล้วว่าต้องใช้ protocol ไหน แต่ถ้าเลือกใช้ VPN เอง ก็ต้องเลือกให้ตรงกับที่ผู้ให้บริการรองรับ
  3. กรอกอะไรก็ได้เลย เช่น ถ้าเป็น VPN ของบริษัท ก็พิมพ์ไปซะว่า "Work" แต่ถ้าเอาไว้ใช้ส่วนตัว อย่างการดู Netflix ของประเทศอื่น ก็ตั้งว่า "Canadian Netflix" เป็นต้น
  4. ข้อมูลตรงนี้คุณควรจะได้มาแล้วจากผู้ให้บริการ VPN หรือบริษัทของคุณ
  5. ช่องนี้ให้ใส่ username ที่ได้มาจากผู้ให้บริการ VPN หรือบริษัทของคุณ
  6. เวลาจะเปิด ก็ให้แตะที่ปุ่มสีเทา พอปุ่มกลายเป็นสีเขียว ก็คือเปิดใช้งานแล้ว RSA SecureID comprises either a hardware or software mechanism which produces keys to verify a user over periods of time. Most likely, you will only have RSA SecurID in a professional setting.
  7. คุณจะได้ password จากผู้ให้บริการแล้วพร้อมกับ username ถ้าไม่มี ให้สอบถามบริษัทของคุณหรือผู้ให้บริการ VPN
    • "secret" นั้นมีเพื่อยืนยัน account ของคุณอีกชั้น ก็เหมือน "key" ของ RSA Secure ID โดย "secret" นั้นปกติจะเป็นชุดตัวอักษรและหมายเลขที่ได้มาจากบริษัทหรือผู้ให้บริการ แต่ถ้าไม่มี แปลว่าคุณอาจไม่ต้องกรอกอะไรในช่องนั้นก็ได้ ไม่ก็ลองสอบถามผู้ให้บริการหรือบริษัทของคุณดูก่อนเผื่อจะต้องใช้แต่ยังไม่มี
  8. เช่นเดียวกัน คุณจะได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าบริษัทหรือผู้ให้บริการให้ข้อมูลตรงนี้กับคุณมาด้วย ก็ให้ใส่ไปเลยในช่องนี้ แต่ถ้าไม่ได้มาแต่แรก ก็แปลว่าปล่อยช่องนี้ว่างไว้ได้เลย
  9. คลิกปุ่มข้างช่องนี้ให้กลายเป็นสีเขียว ถ้าอยากให้ traffic ในอินเทอร์เน็ตทั้งหมดของคุณผ่าน VPN
  10. ถึงตอนนี้ VPN ของคุณก็เชื่อมต่อพร้อมใช้งาน
    • คุณจะเปิดหรือปิดการเชื่อมต่อกับ VPN ก็ได้ ให้ไปที่หน้า "Settings" โดยคลิกที่ปุ่ม ถ้าปุ่มกลายเป็นสีเขียว ก็แปลว่าเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าปุ่มยังเป็นสีเทา ก็แปลว่าเชื่อมต่อไม่ได้ โดยจะขึ้นมาให้เห็นที่ล่าง "Wi-Fi" เลย
    • นอกจากนี้ เวลามือถือคุณเชื่อมต่อ VPN จะมีไอค่อนโผล่ขึ้นมาที่มุมซ้ายบนของมือถือ เป็น "VPN" ตัวใหญ่ทั้งหมดในช่องสี่เหลี่ยม
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 6:

เชื่อมต่อ VPN ด้วย Android OS

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แล้วไปที่ "Settings"
  2. เปิด "Wireless & Networks" หรือ "Wireless Controls" แล้วแต่ว่าคุณใช้ Android เวอร์ชั่นไหน.
  3. เลือก "Add PPTP VPN" หรือ "Add L2TP/IPsec PSK VPN" แล้วแต่ว่าคุณใช้ protocol แบบไหน. ข้ามไปดูที่ส่วน "เคล็ดลับ" ท้ายบทความได้ ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม
  4. จะตั้งอะไรก็ได้ตามใจชอบ
  5. ให้สอบถามผู้ให้บริการ VPN ว่าการเชื่อมต่อจะเป็นแบบเข้ารหัสหรือเปล่า
    • คุณอาจต้องยืนยันคำสั่งด้วย storage password ซะก่อน หรือก็คือ password ของเครื่อง Android ของคุณนั่นเอง ไม่ใช่ password ของ VPN นะ
  6. เลือก "Wireless and Network" หรือ "Wireless Controls"
  7. ใส่ username กับ password แล้วเลือก "Remember username" จากนั้นเลือก "Connect" เท่านี้คุณก็เชื่อมต่อกับ VPN แล้ว จะมีไอค่อนรูปกุญแจโผล่ขึ้นมาที่แถบด้านบน เพื่อบอกให้รู้ว่าคุณกำลังเชื่อมต่อกับ VPN อยู่นะ
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ตอนเลือก protocol ที่จะใช้เชื่อมต่อ ให้คิดก่อนว่าจะใช้ VPN ทำอะไร ถ้าเป็น PPTP นั้นใช้ผ่าน wi-fi เร็วที่สุด แต่ปลอดภัยน้อยกว่า L2TP กับ IPSec เพราะงั้นถ้าความปลอดภัยมาเป็นอันดับ 1 สำหรับคุณ ให้เลือกใช้ L2TP หรือ IPSec แทน แต่ถ้าคุณใช้ VPN สำหรับเรื่องงาน บริษัทก็คงมี protocol ที่ต้องใช้อยู่แล้ว และถ้าคุณใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ก็ต้องเช็คกันให้ชัวร์ก่อนว่าคุณได้เลือก protocol ที่ทางนั้นรองรับ
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าอยากให้ปลอดภัยขนาดไหน ถ้าจะใช้ VPN ส่งเอกสาร อีเมล หรือท่องเว็บอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ก็ต้องสมัครใช้ของผู้ให้บริการที่เข้ารหัสแบบ SSL (หรืออีกชื่อคือ TLS) หรือ IPsec โดย SSL นั้นเป็นการเข้ารหัสที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด การเข้ารหัสนั้นคือวิธีบดบังไม่ให้ใครมาแอบดูข้อมูลของเราได้ และอย่าลืมเลือกผู้ให้บริการที่ใช้ OpenVPN แทนการเข้ารหัสด้วย “point-to-point tunneling protocol” (PPTP) เพราะ PPTP นั้นมีช่องโหว่มากมายในหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ OpenVPN นั้นเห็นตรงกันว่าเป็นการเข้ารหัสที่ไว้วางใจได้มากกว่า
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากขนาดไหน บางผู้ให้บริการจะบันทึก log กิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ไว้ ซึ่งอาจถูกนำส่งทางการในภายหลังได้หากคุณทำอะไรไม่ชอบมาพากล ถ้าคุณอยากให้กิจกรรมออนไลน์หรือข้อมูลที่คุณรับ-ส่งเป็นความลับ ก็ขอให้เลือกผู้ให้บริการ VPN ที่ไม่ได้เก็บ log การใช้งานของผู้ใช้ไว้ก็แล้วกัน
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าต้อง VPN นั้นต้องใช้ bandwidth มากขนาดไหน Bandwidth จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะส่งข้อมูลได้มากแค่ไหน พวกคลิปวิดีโอคลิปเสียงคุณภาพสูงนั้นจะใหญ่กว่า ทำให้ต้องใช้ bandwidth มากกว่าการส่งข้อความหรือรูปธรรมดา แต่ถ้าคุณอยากใช้ VPN แค่ท่องเน็ตหรือส่งเอกสารส่วนตัว ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ก็ให้ bandwidth มากพอที่คุณจะทำได้แบบทันใจและง่ายดาย แต่ถ้าอยากจะดูหนังฟังเพลงแบบ stream อย่างพวก Netflix หรือเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อนฝูง ก็คงต้องเลือก VPN ที่ให้คุณใช้ bandwidth ได้ไม่จำกัด
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าคุณจะเข้าใช้เนื้อหานอกประเทศที่คุณอยู่หรือเปล่า เวลาคุณท่องเน็ต จะมี address แสดงว่าคุณใช้จากที่ไหน หรือก็คือ “IP address” ถ้าคุณพยายามจะดูอะไรที่อยู่ในประเทศอื่น IP address ของคุณอาจใช้เข้าดูไม่ได้ เพราะบางประเทศมีข้อตกลงกันเรื่องลิขสิทธิ์ของเนื้อหา แต่คุณเลือกใช้ VPN ที่มี “exit servers” ได้ เพราะจะแสดง IP address ของคุณเหมือนกับอยู่ในประเทศเจ้าของข้อมูล คุณก็เข้าดูได้ด้วย exit servers นี่เอง เวลาจะเลือกผู้ให้บริการ VPN ด้วยสาเหตุนี้ ต้องดูที่ตั้งของผู้ให้บริการว่ามี server ในประเทศเจ้าของข้อมูลที่คุณจะเข้าดูหรือเปล่า
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าคุณจะใช้ผ่านอุปกรณ์ไหน ใช้ผ่านคอมหรือมือถือ? ถ้าเป็นคนเดินทางบ่อย เลยตัวติดกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ก็ขอให้เลือกผู้ให้บริการ VPN ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบนั้น หรือยิ่งดีคือมีแอพให้คุณใช้บนอุปกรณ์นั้นๆ โดยตรง
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าฝ่ายบริการลูกค้านั้นจำเป็นสำหรับคุณหรือเปล่า ให้ลองอ่านรีวิวแล้วดูว่าผู้ให้บริการนั้นรับผิดชอบลูกค้าในระดับไหน บางเจ้าอาจให้บริการทางโทรศัพท์เท่านั้น ในขณะที่เจ้าอื่นอาจให้บริการทางอีเมล หรือแชทกับเจ้าหน้าที่ได้ด้วย ก็ให้เลือกเจ้าที่ให้บริการหลังการขายแบบที่คุณชอบแล้วกัน หรือจะลองอ่านรีวิวที่โผล่มาใน search engine (อย่าง Google) ดูก็ได้ จะได้รู้ว่าบริการดีจริงหรือเปล่า
  • เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าคุณยอมจ่ายมากสุดเท่าไหร่ ผู้ให้บริการ VPN บางเจ้า (อย่าง Open VPN) ก็ให้บริการกันฟรีๆ เลย แต่ก็มีตัวเลือกการใช้งานที่จำกัด ตอนนี้มีผู้ให้บริการ VPN แข่งกันหลายเจ้า ก็ลองใช้เวลาเปรียบเทียบราคาของหลายๆ ที่ดู บวกลบคูณหารกับบริการที่คุณจะได้รับด้วย บางทีคุณอาจจะเจอผู้ให้บริการที่ครบเครื่องสำหรับคุณในราคาที่ถูกใจอีกต่างหาก
โฆษณา

บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,252 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา