ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
ไม่ว่าคุณจะอยากเป็นบิล ไนย์คนต่อไป (พร้อมกับสัญญาจ้างถาวร!) หรือคุณแค่อยากเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดโดยไม่ต้องเข้าเรียนในระบบ การเป็นนักวิชาการนั้นไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด! ขอแค่คุณตั้งใจทำงานและมีความมุ่งมั่น คุณเองก็สามารถผนวกการเรียนรู้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้ อ่านบทความด้านล่างเพื่อดูว่าคุณจะทำได้อย่างไร!
ขั้นตอน
-
ตั้งคำถามกับทุกสิ่ง. [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- นักวิชาการที่แท้จริงจะตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ได้ยินหรือได้อ่าน พวกเขาจะไม่เชื่อถือข้อมูลโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน และพยายามพิสูจน์จนแน่ใจว่าได้ว่า ข้อมูลที่เขานำมาใช้นั้นเป็นความจริง
- ถ้ามีบางสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง มันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ! แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะถูกก็ยังผิดได้ เพราะฉะนั้นตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าสิ่งที่คุณนำมาใช้คือข้อเท็จจริง
-
ขี้สงสัย.
- นักวิชาการคือคนที่ขี้สงสัยมาตั้งแต่เกิด พวกเขาอยากรู้ไปซะทุกเรื่อง!
- คุณเองก็ควรเป็นคนขี้สงสัยอยู่แล้วเหมือนกัน และพยายามหาคำตอบอยู่เสมอว่า สิ่งต่างๆ ทำงานอย่างไรและทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
-
รักการเรียนรู้.
- นักวิชาการชอบเรียนรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง
- พวกเขาชอบกระบวนการเรียนรู้โดยตัวมันเอง ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาจะได้ฉลาดกว่าคนอื่นหรือรู้ข้อเท็จจริงมากกว่า
- พวกเขาไม่ได้เรียนรู้เพื่อให้คนอื่นประทับใจ แต่มันทำให้พวกเขามีความสุขจริงๆ ต่างหาก!
-
มีความคิดเห็นที่รอบด้าน. [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คำนึงถึงข้อโต้แย้งในทุกๆ ด้านและรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อนสรุปเป็นความคิดเห็น
- สร้างความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง ไม่ใช่เอาของคนอื่นมา ข้อนี้เป็นทักษะสำคัญของคนเป็นนักวิชาการ
-
เปลี่ยนใจ.
- นักวิชาการต้องยินดีที่จะเปลี่ยนใจเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ที่ท้าทายมุมมองเดิมของตัวเอง ข้อนี้เป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของคนเป็นนักวิชาการเลยก็ว่าได้
- เปิดใจและเต็มใจที่จะผิดพลาดเพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้อง
-
อย่าอคติ.
- อย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวมากำหนดการกระทำหรือข้อมูลที่คุณให้กับผู้อื่น
- แค่เพราะว่าคุณไม่เห็นด้วยกับเรื่องอะไรก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นไม่เป็นความจริง
- เปิดโอกาสให้กับทุกข้อมูล และอย่าให้อคติของคุณเจือปนข้อสรุป
โฆษณา
-
อ่านหนังสือเยอะๆ. [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- วิธีที่จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องเข้ารับการศึกษาในระบบก็คือ การอ่านหนังสือเยอะๆ อ่านหนังสือให้ได้มากที่สุดในทุกโอกาส การอ่านโดยตัวมันเองแล้วนั้นสามารถทำให้คุณเป็นนักวิชาการได้ (เพราะนักวิชาการจริงๆ แล้วก็เป็นแค่คนที่เรียนรู้ตลอดเวลานั่นเอง)
- คุณอาจจะไปซื้อหนังสือมาอ่าน แต่อย่าลืมว่าคุณสามารถไปที่ห้องสมุดใกล้บ้านและยืมหนังสือมากมายมาอ่านได้ฟรี! อินเทอร์เน็ตทำให้ระบบห้องสมุดใช้งานง่ายขึ้น คุณสามารถหาหนังสือ สั่งหนังสือ และต่ออายุยืมหนังสือได้จากที่บ้าน
- นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกมากมายที่เป็นสาธารณสมบัติที่คุณสามารถดาวน์โหลดสำเนาดิจิทัลมาเก็บไว้ได้ฟรี ถ้าคุณอ่านภาษาอังกฤษ ให้เข้าไปที่ Project Gutenberg ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหนังสือที่เป็นสาธารณสมบัติที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และโปรแกรม Kindle ของ Amazon ก็มีหนังสือให้ดาวน์โหลดฟรีหลายเล่ม
-
เข้าเรียน.
- รู้หรือไม่ว่าคุณสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องเอาใบปริญญา ถ้าคุณอยากเรียนทักษะบางอย่างหรือวิชาใดวิชาหนึ่ง คุณก็สามารถเข้าเรียนเฉพาะวิชานั้นได้โดยไม่ต้องเสียเงินก้อนเพื่อเอาใบปริญญา แถมบางวิชายังอาจเปิดให้เรียนฟรีด้วย
- ปรึกษาวิทยาลัยชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับการเข้าเรียนแบบร่วมฟังบรรยายเท่านั้น (หมายความว่าคุณเข้าเรียนแต่ไม่ทำการบ้านหรือสอบ และไม่ได้หน่วยกิตหรือเกรด)
- นอกจากนี้คุณยังสามารถพูดคุยกับอาจารย์ได้โดยตรงและสามารถตกลงกันเองได้ด้วย
-
เรียนออนไลน์. [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- มีโรงเรียนออนไลน์มากมายผุดขึ้นตามเว็บไซต์ต่างๆ คุณสามารถเข้าเรียนในวิชาที่เปิดสอนโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำ แถมบางแห่งยังมีประกาศนียบัตรให้เมื่อคุณเรียนจบคอร์สด้วย
- คุณสามารถเรียนรู้ทักษะและหัวข้อต่างๆ ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ไปจนถึงการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
- คอร์สออนไลน์ที่มีชื่อเสียงได้แก่ CHULA MOOC, YourNextU, ThaiMooc และ SkillLanne
- นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียนภาษาต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ฟรีอีกด้วย เว็บไซต์เรียนภาษาดีๆ ได้แก่ ภาษาอังกฤษออนไลน์.com, Engnow และ 50languages
-
ศึกษาด้วยตนเอง. [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คุณสามารถเรียนรู้ทักษะและข้อมูลใหม่ๆ ด้วยตนเองได้เช่นกัน มนุษย์เรียนรู้จากการลงมือทำ เพราะฉะนั้นออกไปลงมือทำซะ!
- คุณสามารถศึกษาด้วยตนเองผ่านทางหนังสือหรือสื่อการเรียนรู้อื่นๆ หรือคุณจะเรียนรู้จากการลงมือทำจริงๆ เลยก็ได้ อย่าเจ็บตัวแค่นั้นพอ!
- ข้อนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก แต่คุณทำได้แน่นอน! อย่าเพิ่งท้อ!
-
เรียนรู้จากผู้อื่น.
- นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียนรู้ทักษะและวิชาต่างๆ มากมายจากการพูดคุยและเรียนรู้จากคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้อีกด้วย สิ่งนี้เรียกว่าการเป็นลูกมือ
- หาคนที่ทำในสิ่งที่คุณอยากเรียนรู้ที่จะทำ และเสนอจ่ายค่าเรียนหรือเสนอตัวเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือให้ฟรีหากเขาสอนวิธีทำให้
- วิธีนี้เหมาะกับทักษะมากกว่าวิชาการ แต่คุณก็ยังสามารถหาคนที่เห็นใจคุณมากพอที่จะแนะนำหนังสือดีๆ หรือวิธีการเรียนรู้ในแบบอื่นๆ ให้
โฆษณา
-
เรียนให้ได้เกรดดีๆ.
- คุณต้องทำเกรดให้ดีในช่วงมัธยมปลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสองปีสุดท้าย เพราะวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ จะดูเกรดเหล่านี้เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรับคุณเข้าเรียนหรือไม่
- ทำเกรดให้ดีด้วยการอ่านหนังสือทบทวน ตั้งใจเรียนในห้อง และทำงานทุกชิ้น
- ขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากครูและพูดคุยกับครูบ่อยๆ ถ้าคุณอยากเพิ่มเกรด
-
อย่าทำงานแค่พอผ่าน.
- การทำงานแค่พอผ่านไม่ได้สร้างความประทับใจ เพราะฉะนั้นจงใส่ใจงานที่ทำและพยายามอย่างเต็มที่
- เรียนเพิ่มเติม เข้าร่วมฟังบรรยายที่วิทยาลัยชุมชนใกล้บ้านขณะที่ยังเรียนชั้นมัธยมปลาย หรือทำงาน (ไม่ว่าจะเพื่อเงินหรืองานอาสาสมัคร) นอกโรงเรียน
- การทำงานเพิ่มเติมในด้านที่เกี่ยวกับสาขาวิชาที่คุณอยากเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสที่คุณจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่คุณสมัคร
-
รู้มากกว่า 1 ภาษา.
- ทักษะภาษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษนอกจากจะเป็นประโยชน์กับชีวิตแล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นข้อกำหนดสำหรับการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาด้วย! เรียนภาษาเพิ่มเติมเพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยรู้ว่าคุณเตรียมความพร้อมมาแล้ว
- คุณสามารถเรียนภาษาอังกฤษแบบเป็นคอร์สส่วนตัว ที่โรงเรียน ที่วิทยาลัยชุมชน หรือทางออนไลน์ได้ฟรี! เว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ที่น่าสนใจได้แก่ 50languages และ CHULA MOOC
- เลือกภาษาที่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น ภาษาอังกฤษ เพราะภาษาที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์นั้นจะไม่เข้าตาทางมหาวิทยาลัยมากนัก และบางภาษาเองก็มีประโยชน์มากกว่าภาษาอื่นๆ ในบางภูมิภาคหรือบางสาขาวิชา
- ทักษะภาษาต่างประเทศนอกเหนือจากภาษาอังกฤษสัก 1-2 ภาษาก็อาจมีประโยชน์ในการอ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน ภาษาที่เรียนแล้วได้ประโยชน์มากที่สุดได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อิตาเลียน ละติน และรัสเซีย
- คุณอาจจะต้องเรียนภาษาอาหรับ เปอร์เซีย และภาษาตุรกี เพราะในอดีตมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการหลายคนที่อยู่ในคาบสมุทรอาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณาจักรออตโตมัน และเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน)
-
ศึกษาด้านจิตวิทยาและปรัชญา.
- คุณจำเป็นต้องเรียนจิตวิทยาเพราะว่าคุณอาจจะต้องเจอกับคนเรื่องมากการเรียนจิตวิทยาจะทำให้คุณเข้าใจธรรมชาติของผู้คน
- การเรียนปรัชญาเป็นการขยายความสามารถทางการคิด คุณจะสามารถคิดได้กว้างไกลกว่าแต่ก่อนมาก
-
ทำคะแนนสอบได้ดี.
- การทำคะแนน GAT PAT และ 9 วิชาสามัญ (หรือเทียบเท่า) ได้ดีนั้นมีผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัยที่จะศึกษาต่อเป็นอย่างมาก ทำคะแนนให้ได้สูงๆ เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ
- ทำคะแนนให้ได้สูงๆ ด้วยการอ่านหนังสือล่วงหน้า (ก่อนวันสอบเนิ่นๆ) และฝึกทำข้อสอบเก่า
- ถ้าเป็นการทดสอบภาษาอังกฤษเพื่อเข้าเรียนในโปรแกรมอินเตอร์ คุณสามารถสอบได้มากกว่า 1 ครั้งถ้าต้องการ
- อย่าไปคิดว่าถ้าได้คะแนนไม่ดีหรือกลางๆ จะทำให้คุณไม่ได้เข้าเรียนในสาขาที่คุณอยากเรียน เพราะคุณสามารถซิ่วไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีกว่าได้เสมอ
-
ทำแฟ้มสะสมผลงานให้ดี.
- ถ้าคุณไม่อยากไปลุ้นทำข้อสอบรอบเดียวกับคนอื่น คุณสามารถยื่นแฟ้มสะสมผลงานเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้
- ศึกษารายละเอียดว่าคณะและมหาวิทยาลัยที่คุณอยากเข้านั้นต้องใช้ความสามารถด้านอะไรบ้าง และเตรียมแฟ้มสะสมผลงานให้สอดคล้องกับสิ่งที่คณะและมหาวิทยาลัยต้องการ
- ถ้าคุณอยากเข้าเรียนในคณะและมหาวิทยาลัยนี้จริงๆ คุณต้องทำตัวให้โดดเด่นจากผู้สมัครคนอื่นๆ และนำเสนอแฟ้มสะสมผลงานในแบบที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ซึ่งวิธีการสร้างความโดดเด่นก็อาจจะเป็นการทำในสิ่งที่หลุดกรอบไปเลยหรือทำผลงานวิชาการให้เก่ง ซึ่งข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย
โฆษณา
-
ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น.
- การรู้ตั้งแต่แรกว่าคุณอยากเรียนสาขาไหนในคณะจะช่วยคุณได้มาก เพราะการรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจะทำให้คุณลงเรียนเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขานั้น ไม่ลงเรียนสะเปะสะปะจนไม่รู้ว่าจะไปทางไหน
- แน่นอนว่าคุณสามารถเปลี่ยนใจระหว่างทางได้ เพียงแต่ว่าการรู้ตั้งแต่แรกนั้นจะสามารถช่วยคุณได้มาก
- ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้เวลาช่วงมัธยมปลายตัดสินใจว่าคุณอยากเรียนอะไรและทำอะไรกับชีวิต การเก็บประสบการณ์ในสาขานั้นๆ ด้วยการทำงานอาสาสมัครช่วยให้คุณค้นหาคำตอบได้จริงๆ
-
หมั่นทบทวนบทเรียน.
- ทบทวนบทเรียนให้ได้มากที่สุดและทำเกรดให้ได้สูงๆ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยให้ได้มากที่สุด
- การจดโน้ตและตั้งใจเรียนในห้องมีส่วนช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เป็นอย่างมาก ฝึกทักษะเหล่านี้ให้คล่องถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จจริงๆ
- คุณจะทบทวนบทเรียนคนเดียวหรือกับคนอื่นๆ ก็ได้ แล้วแต่ว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณที่สุด แต่การทบทวนบทเรียนร่วมกับคนอื่นจะทำให้คุณได้ประโยชน์จากโน้ตที่พวกเขาจดไว้ด้วย
- ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น คุณสามารถถามเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกัน เข้าร่วมกลุ่มติว หรือขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หรือผู้ช่วยสอนได้
-
ลงเรียนให้ถูกต้อง.
- การเข้าเรียนเพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาในระดับปริญญาจะต้องลงเรียนในวิชาตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดสำหรับวุฒิการศึกษานั้นๆ คุณต้องลงเรียนวิชาต่างๆ ให้ถูกต้องเพื่อให้คุณสำเร็จการศึกษาตามระยะเวลาที่กำหนด
- ถ้าเป็นไปได้ให้ลงเรียนช่วงซัมเมอร์เพื่อย่นระยะเวลาในการเรียนให้สั้นลง
- พยายามลงเรียนเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับอาชีพในอนาคตหรือวุฒิการศึกษาที่เลือกเท่านั้น เพราะมันช่วยเตรียมความพร้อมแถมยังดูดีกว่าเวลาสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตวิทยาลัยด้วย
-
เขียนรายงานในระดับยอดเยี่ยม.
- รายงานมักมีผลต่อเกรดเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นการเขียนรายงานได้อย่างยอดเยี่ยมจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณได้เกรดสูงๆ อย่างแน่นอน แถมเวลาที่คุณสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตวิทยาลัย หลายสถาบันยังขอดูตัวอย่างรายงานด้วย เพราะฉะนั้นการมีรายงานระดับยอดเยี่ยมติดไว้จึงมีผลต่อการเข้าศึกษาต่ออย่างมาก
- อ่านรายงานอื่นๆ ที่เขียนได้ดีเพื่อให้รู้ว่า วิธีลำดับโครงสร้างรายงานที่ดีที่สุดเป็นแบบไหน และต้องนำเสนอหลักฐานอย่างไร
- พยายามเขียนรายงานในหัวข้อที่แปลกใหม่ เพราะงานวิจัยที่แปลกใหม่และสำคัญเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นมองว่าคุณคือนักวิชาการ
- เผื่อเวลาไว้เยอะๆ คุณจะได้เขียนฉบับร่างแล้วเอาไปให้อาจารย์ดูได้ก่อนถึงวันกำหนดส่งงาน และได้รับข้อเสนอแนะก่อนส่ง
- เขียนฉบับร่างมากกว่า 1 ฉบับและอย่าลืมแก้ไขปรับปรุงให้ดีก่อนส่ง!
-
สนิทสนมกับอาจารย์.
- การสนิทสนมกับอาจารย์ไม่ได้เป็นเรื่องของการได้เกรดดีขึ้นเพราะอาจารย์ชอบคุณมากกว่าคนอื่น แต่บ่อยครั้งที่อาจารย์เป็นเหมือนบัตรผ่านให้คุณได้เข้าศึกษาต่อระดับบัณฑิตวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยที่ดี และพวกเขาก็อาจจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณในอนาคตด้วยก็ได้
- ทำความรู้จักกับอาจารย์ด้วยการอาศัยช่วงเวลาที่อาจารย์อนุญาตให้เข้าไปปรึกษาได้ แต่อย่าทำให้อาจารย์เสียเวลาเปล่า คุณต้องเข้าไปพร้อมกับคำถามจริงๆ และตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์พูด
- นอกจากนี้คุณยังทำความรู้จักกับอาจารย์มากขึ้นได้ด้วยการตั้งใจเรียนในห้อง นั่งหน้า ตอบและถามคำถาม และโดยทั่วไปก็คือมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากพอ
- นอกจากนี้คุณยังสามารถเข้าไปพูดคุยและขอคำแนะนำได้ อาจารย์อยากเห็นคุณประสบความสำเร็จและยินดีเป็นอย่างมากที่จะให้คำแนะนำจากมืออาชีพในเรื่องของการทำงานและการก้าวหน้าในสาขานั้นๆ
-
สำเร็จการศึกษาครบทุกระดับที่จำเป็น.
- สำหรับนักวิชาการในบางตำแหน่ง แค่ปริญญาโทก็เพียงพอสำหรับการทำงานในด้านที่อยากทำแล้ว แต่บางคนก็จำเป็นต้องศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก
- หมายความว่าถ้าคุณอยากใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะนักวิชาการจริงๆ คุณจะต้องเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตวิทยาลัย แต่จำไว้ว่าหลังจากจบชั้นมัธยมปลายแล้ว คุณอาจจะต้องใช้เวลาเรียนหนังสือต่ออีกไม่ต่ำกว่า 8 ปี!
- หลังจากจบปริญญาตรีแล้วคุณอาจจะต้องใช้เวลาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอีกประมาณ 2 ปี และระดับปริญญาเอกอีก 4-6 ปี ซึ่งอาจรวมระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเขียนวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกแล้วด้วย
- แต่อย่าเพิ่งกลัวไปก่อน เพราะบัณฑิตวิทยาลัยนั้นไม่เหมือนกับการเรียนตามปกติในโรงเรียน และบางอย่างก็ง่ายกว่าด้วย ถ้าคุณเข้าไปเรียนได้ คุณก็อาจจะรับมือกับมันได้
-
ทำงานวิจัยหลังปริญญาเอก. ถ้าคุณอยากได้ตำแหน่งประจำคณะในมหาวิทยาลัยที่เน้นผลงานวิจัยหรือเปิดสอนในระดับปริญญาเอก โดยทั่วไปหลังเรียนจบในระดับปริญญาเอกแล้ว คุณจะต้องเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกอย่างน้อย 1 โครงการ ในช่วงเวลาราว 2-4 ปีนี้คุณจะต้องเผยแพร่งานวิจัยในวารสารแนวหน้าของสาขาวิชาให้ได้มากที่สุด
-
ทำกิจกรรมวิชาการอื่นๆ.
- ตลอดระยะเวลาที่คุณยังอยู่ในระบบการศึกษา คุณสามารถเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการต่างๆ ที่ทำให้ใจคุณเต้นรัวและได้ทำอะไรสนุกๆ ได้ด้วย
- คุณอาจจะอ่านหนังสือเพื่อความเพลิดเพลินและสำรวจหัวข้องานวิจัยที่คุณสนใจ
- ถ้าคุณเป็นคนชอบพบปะผู้คน คุณอาจจะทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น เข้าร่วมทีมโต้วาที
โฆษณา
-
หางาน.
- หลังจากที่คุณเรียนจบแล้ว คุณจะต้องหางานในตำแหน่งผู้สอนหรือนักวิจัย การสอนในมหาวิทยาลัยเป็นงานที่นักวิชาการอาชีพส่วนใหญ่เลือกทำ
- มหาวิทยาลัยควรมีแหล่งให้ความช่วยเหลือที่ช่วยให้คุณหางานได้หลังจากเรียนจบ
- พยายามหางานตำแหน่งที่สวัสดิการและรายได้ดี เพราะหนี้ที่คุณกู้มาเรียนน่าจะก้อนใหญ่
- พยายามหาตำแหน่งงานในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย เพราะสถาบันการศึกษาลักษณะนี้จะมีแหล่งทรัพยากรมากมายที่คุณไม่สามารถหาได้จากที่อื่น
-
สอนนักศึกษา.
- วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่อนุญาตให้อาจารย์ทำงานประจำและได้รับสัญญาจ้างถาวร ซึ่งสัญญาจ้างถาวรในสาขาวิชาการนั้นก็จะมีสวัสดิการต่างๆ ได้แก่ การคุ้มครองจากการถูกไล่ออกที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่สมเหตุสมผล
- โดยทั่วไปอาจารย์มหาวิทยาลัยจะบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยแบบสัญญาจ้างระยะเวลา 1-5 ปี ในการจะได้สัญญาจ้างถาวรนั้นมักจะต้องได้ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภายใน 5 ปี และหลังจากนั้น 7 ปีต้องได้ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ จึงจะได้สัญญาจ้างถาวร
- ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์มักได้รับเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยในการริเริ่มโครงการ ซึ่งอาจารย์ทั่วไปมักมองว่าเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยลงทุนกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ และพวกเขาควรทุ่มเทให้กับงานวิจัยอย่างหนักเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุน ด้วยการเขียนโครงการเพื่อให้ได้ทุนวิจัยต่อเนื่องสัก 2-3 โครงการ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่จะได้สัญญาจ้างถาวร
- ในฐานะอาจารย์ คุณจะต้องสอนวิชาต่างๆ ในสาขาของคุณด้วย บางวิชาก็อาจจะเกี่ยวข้องกับสาขาที่คุณศึกษาโดยตรง แต่บางวิชาก็อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คุณเพิ่งเริ่มต้น
- หมายความคุณจะต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ บางครั้งก็จะเป็นคนกลุ่มใหญ่มากถ้าคุณสอนวิชาที่นักศึกษาปี 1 มาเรียน
- แต่อย่าเพิ่งกลัวลนลาน เพราะคุณจะได้ฝึกการสอนในห้องเรียนระหว่างเรียนในระดับบัณฑิตวิทยาลัยอยู่แล้ว และภาควิชาของคุณก็ควรจะช่วยเหลือคุณเต็มที่ นอกจากนี้นักศึกษาเองก็อาจจะกังวลกว่าคุณก็ได้ เพราะพวกเขาก็อยากได้เกรดดีๆ จากคุณ!
-
เรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ.
- นักวิชาการที่แท้จริงจะเรียนรู้ตลอดชีวิต การที่คุณเรียนจบไม่ได้หมายความว่าคุณต้องหยุดเรียนรู้ด้วย
- อ่านหนังสือต่อไปเมื่อมีเวลาว่าง ซึ่งก็คือการอ่านวารสารวิชาการ เพราะเป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้คุณได้ติดตามความก้าวหน้าล่าสุดในสาขาวิชาของคุณ
- เดินทางไปศึกษาต่อในประเทศอื่นๆ ในหลายสาขาวิชาการเดินทางไปต่างประเทศนั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะคุณจะได้เห็นว่าเพื่อนร่วมสาขาในประเทศอื่นๆ กำลังทำงานเรื่องอะไร หรือได้เข้าถึงข้อมูลที่อาจจะไม่มีในประเทศของคุณ
- เรียนต่อระดับปริญญาในสาขาอื่นๆ บางครั้งนักวิชาการก็จะกลับไปเรียนต่อในระดับปริญญา บ่อยครั้งคือเพื่อความก้าวหน้าในสาขาอาชีพ หรือไม่ก็เป็นเพราะขอบเขตงานวิจัยของเขาทับซ้อนกับสาขาอื่น
-
เข้าร่วมงานสัมมนา.
- งานสัมมนาเป็นการรวมตัวครั้งพิเศษของนักวิชาการทั้งหลายในสาขานั้นๆ พวกเขามารวมตัวกันเพื่อนำเสนองานวิจัยและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
- คุณอาจจะนำเสนอสิ่งที่คุณกำลังศึกษาค้นคว้า แต่ส่วนใหญ่แล้วคุณจะได้ฟังการนำเสนอผลงานจากคนอื่นๆ และพูดคุยกับเพื่อนร่วมวงการมากกว่า
- งานสัมมนาอาจจัดขึ้นในท้องถิ่นหรือภูมิภาค แต่บางครั้งคุณอาจจะต้องบินไปเข้าร่วมงานสัมมนาที่ต่างประเทศ
- เชื่อเถอะว่างานสัมมนาส่วนใหญ่สนุกกว่าที่คุณคิด เพราะในความเป็นจริงนักวิชาการส่วนใหญ่จะรวมหัวกันเมามากกว่า
-
ตามข่าวงานวิจัยล่าสุดในสาขาวิชาอยู่เสมอและเข้าร่วมงานสัมมนาทางธุรกิจด้วย. คุณควรอ่านเอกสารต่างๆ ในสาขาวิชาทุกวัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเกินไปหากคุณมีใจรักในสิ่งนั้นจริงๆ (แต่ถ้าไม่ คุณควรคิดใหม่ว่าจะไปเป็นอาจารย์ในสาขาวิชานั้นดีไหม)
- ถ้าคุณอยากเป็นอาจารย์ที่ดี คุณต้องขยายขอบเขตความรู้ที่คุณเชี่ยวชาญในสาขาวิชาของตัวเองอยู่เสมอ สิ่งต่างๆ อาจเปลี่ยนไปจากสิ่งที่อยู่ในตำรา และคุณต้องสามารถแบ่งปันข้อมูลเหล่านั้นกับนักศึกษาได้ คุณไม่ควรตามหลังนักศึกษาและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
- นอกจากนี้การสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชายังช่วยสนับสนุนโครงการวิจัยริเริ่มของคุณได้ด้วย
- อย่างที่จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์กล่าวว่า “ถ้าคุณมีแอปเปิ้ล 1 ผล และผมมีแอปเปิ้ล 1 ผลแล้วเรานำมาแลกกัน คุณกับผมก็ยังมีแอปเปิ้ลคนละ 1 ผล แต่ถ้าคุณมีความคิด 1 ความคิดแล้วเรานำมาแลกเปลี่ยนกัน เราสองคนจะมีคนละ 2 ความคิด” เวลาที่คุณแบ่งปันความคิดกับคนอื่น อย่ากลัวว่าเขาจะขโมยความคิดของคุณไป การให้คนอื่นได้รับฟังความคิดของคุณจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และความคิดต่อยอดในนั้น ซึ่งมีแต่จะทำให้ความคิดและความคิดโต้แย้งของคุณมีน้ำหนักมากขึ้น
-
เผยแพร่ความรู้ที่คุณได้.
- เขียนบทความ งานวิจัย หนังสือ และ/หรือบรรยายความรู้ในสาขาวิชาของคุณเช่นเดียวกับนักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง :
- ริชาร์ด ดอว์กินส์ (นักชีววิทยาและนักพฤติกรรมศาสตร์)
- แซม แฮร์ริส (นักประสาทวิทยาและนักปรัชญา)
- บิล ไนย์ (วิศวกรเครื่องกล)
- มิชิโอะ คะกุ, สตีเฟน ฮอว์กิง, ไบรอัน กรีน, ลอว์เรนซ์ เคราซ์ (นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา)
- นีล ดะแกรส ไทสัน, อูว์แบร์ รีฟวซ์ (นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์)
- คริสโตเฟอร์ ฮิทเชนส์ (นักวิจารณ์ด้านศาสนา วรรณกรรม และสังคม)
- อีลอน มัสก์ (ผู้ประกอบการและวิศวกร ประธานบริหาร Space X) เป็นต้น
- ช่วยยกระดับจิตใจของผู้อื่นให้สูงขึ้นด้วยการเผยแพร่ความจริง *วัตถุวิสัย*
- เขียนบทความ งานวิจัย หนังสือ และ/หรือบรรยายความรู้ในสาขาวิชาของคุณเช่นเดียวกับนักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง :
-
ค้นคว้าวิจัยต่อไป.
- หากคุณทำงานในวงการวิชาการ คุณจะต้องศึกษาค้นคว้า เขียนรายงานวิจัยและหนังสือตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้อยู่เสมอ
- บางครั้งคุณอาจได้รับอนุญาตให้ลาพักหรือได้รับค่าจ้างเป็นระยะเวลา 1 ปีเพื่อทำงานวิจัย
- คุณจะต้องเขียนบทความลงวารสาร งานวิจัยสำหรับงานสัมมนา และเรียงความรวมทั้งหนังสือสำหรับตีพิมพ์ ด้วยความหวังว่างานวิจัยใหม่ที่มีความแรกเริ่มนั้นจะมีความสำคัญมากพอที่จะนำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัยที่คุณทำงานอยู่ ซึ่งจะดึงดูดนักศึกษาและเงินทุนสนับสนุนเข้ามามากขึ้น
โฆษณา
เคล็ดลับ
- ห้องสมุดใหญ่ๆ มักมีคนที่เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ คนๆ นี้จะช่วยให้คุณได้เรียนรู้เพิ่มเติมและแนะนำหนังสือที่ดีที่สุดในเรื่องที่คุณอยากรู้ให้คุณได้
- ลงวิชาเลือกเสรี (ระหว่างที่เรียนระดับปริญญาตรี) ในสาขาวิชาที่คาบเกี่ยวกัน
- เข้าร่วมงานสัมมนาสาขาที่คุณสนใจที่จัดโดยองค์กรระดับประเทศเพื่อขยายขอบข่ายความรู้ของคุณอย่างต่อเนื่อง
- คุณต้องมีใจรักในการสอนหนังสือ และมีบุคลิกหน้าตาดีที่จะสามารถเข้าถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยได้
- จำไว้ว่ารางวัลที่ได้จากการสอนนั้นยิ่งใหญ่มาก การสอนในสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยคือการที่นักศึกษาอยากมาเรียนจริงๆ ในขณะที่โดยทั่วไปแล้วการสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมปลายนั้น นักเรียนเข้าเรียนเพราะต้องมาเรียน ไม่ใช่เพราะว่าอยากมาเรียน
- ถ่อมตัวอยู่เสมอ อย่าเป็น "โรคอาจารย์มหาวิทยาลัย" แค่เพราะวันๆ คุณอยู่ต่อหน้านักศึกษา ซึ่งโดยนิยามก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษาอีกมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานหรือมีสถานะสูงส่งในจักรวาล
- ถ้าคุณจะเข้าเรียนในระดับอนุปริญญาหรือที่วิทยาลัยชุมชนเป็นระยะเวลา 2 ปี คุณต้องดูให้ดีว่าเส้นทางสาขาที่คุณเลือกนั้นสามารถย้ายไปเรียนต่อเนื่องในระดับปริญญาตรีอีก 2 ปีได้ไหม เพราะบางสาขาในระดับอนุปริญญานั้นไม่สามารถเข้าศึกษาต่อเนื่องในระดับมหาวิทยาลัยได้ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนเข้าสู่ตลาดแรงงานมากกว่า (สายอาชีพ)
- เตรียมทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์หรือศาสตราจารย์วุฒิคุณเพื่อเข้าสู่วงการนี้ เพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการจ้างคนที่มีประสบการณ์
- พยายามอ่านหนังสือจากคอมพิวเตอร์แทนหนังสือถ้าคุณรู้สึกล้าหรือเหนื่อย และเปิดเพลงบรรเลงคลอไปด้วย
โฆษณา
คำเตือน
- การเป็นนักวิชาการนั้นโดยทั่วไปแล้วต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก โอกาสที่จะล้มเหลวและประสบความสำเร็จนั้นมีเท่าๆ กัน เพราะฉะนั้นคุณต้องเตรียมใจที่จะยอมรับผลอย่างที่มันเป็นด้วย
- การรักษาสมดุลระหว่างการสร้างชีวิตครอบครัวที่แน่นแฟ้นระหว่างทำงานวิจัยที่กว้างขวางอาจเป็นเรื่องยาก การย้ายที่อยู่อาศัยเพื่อให้ได้งานก็อาจทำให้ชีวิตครอบครัวของคุณพังได้เช่นกัน
- อย่าตัดสินใจว่าจะไปสอนที่ไหนจากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว เพราะมหาวิทยาลัยที่เล็กกว่าอาจจะเชี่ยวชาญบางสาขาในระดับแนวหน้าก็ได้ และบางมหาวิทยาลัยก็อาจจะมีคณาจารย์และทรัพยากรมากมายที่เอื้อต่อการทำงานของคุณ
- ระวังโรงเรียนสอนออนไลน์ที่เรียกเก็บเงิน ดูให้ดีว่าโรงเรียนนั้นได้รับการรับรองและมีชื่อเสียงในทางที่ดี
- เนื่องจากมีนักศึกษาปริญญาเอกจำนวนมากที่ต้องการตำแหน่งในวงการวิชาการและภาคเอกชน ว่าที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการหลายคนจึงอาจจะต้องทำงานในตำแหน่งนักวิจัยหลังปริญญาเอกอยู่หลายโครงการกว่าจะได้ตำแหน่งงานถาวร
- รายได้ไม่ได้ดีมากเสมอไป และงานก็ค่อนข้างจะโดดเดี่ยว ในระหว่างที่คุณต้องทุ่มเทเพื่อให้ได้สัญญาจ้างถาวร งานช่วง 6 ปีแรกจะหนักหน่วงมาก
โฆษณา
สิ่งของที่ใช้
- หนังสือกองโต
- ตารางเวลา
ข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา