ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
มหาวิทยาลัยเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย มีอะไรหลายอย่างให้ทำแต่ก็ดูเหมือนแทบจะไม่มีเวลาทำทุกอย่างให้ได้ทั้งหมด ในการที่จะใช้เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่นั้น คุณจะต้องเรียนให้ดี ฉกฉวยโอกาสจากกิจกรรมนอกหลักสูตร และเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมสำหรับชีวิตหลังเรียนจบ การเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสนุกสนานและตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณตั้งมั่นว่าจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้
ขั้นตอน
-
เข้าเรียน. อย่างพึ่งพา "ตัวเลขมหัศจรรย์" ของจำนวนครั้งที่คุณสามารถขาดได้แต่ก็ยังเรียนได้ดีอยู่ เพราะการขาดเรียนแต่ละครั้งหมายถึงเนื้อหาและการอภิปรายที่ขาดหายไป อาจารย์บางท่านให้น้ำหนักกับการเข้าเรียนไว้ในการคำนวณเกรดตอนปลายภาคด้วย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีคะแนนเข้าห้อง แต่การไปเรียนจะสร้างความประทับใจที่ดีให้กับทั้งอาจารย์และผู้ช่วยอาจารย์ [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ขาดเรียนก็ต่อเมื่อคุณป่วยจริงๆ เท่านั้น ป่วยเกินกว่าที่จะได้อะไรที่มีคุณค่าจากการเข้าไปฟังอาจารย์
- ถ้าคุณอยากได้แรงกระตุ้นสักหน่อย ให้ลองหารค่าเรียนแต่ละชั่วโมง โดยเฉลี่ยแล้วค่าเทอมของมหาวิทยาลัยรัฐในไทยอยู่ที่เทอมละ 10,000 – 22,000 บาท [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ลองคิดดูว่าถ้าเรียนเทอมละ 6 วิชาเป็นเวลา 15 สัปดาห์ วิชานึงเรียน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็เท่าว่าเสียเงินชั่วโมงละ 37 – 82 บาทไปกับสิทธิพิเศษในการรับวิชาความรู้ เพราะฉะนั้นการไม่เข้าเรียนก็เหมือนการเอาเงิน 37 – 82 บาทไปเผาเล่น คุณจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ
-
จดเลกเชอร์. ความจำของคุณไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดหรอก เพราะมันอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาในจิตใจคุณตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย การ จดเลกเชอร์ไว้ดีๆ จะช่วยให้คุณจดจ่อกับกิจกรรมในห้องเรียน (ทั้งการฟังบรรยายและการอภิปราย) และทำให้คุณมีพื้นฐานที่ดีตอนอ่านหนังสือสอบ
- สำหรับวิชาที่มีการจัดหัวข้อเรียงลำดับไว้อย่างชัดเจนเป็นเหตุเป็นผล เช่น วิชาประวัติศาสตร์หรือชีววิทยา การจดเลกเชอร์แบบมหาวิทยาลัยคอร์แนลจะช่วยให้คุณเรียงลำดับข้อมูลที่สำคัญที่สุดได้
-
มีส่วนร่วมในชั้นเรียน. ถามคำถามผู้สอน ตอบคำถามเมื่อผู้สอนถามคำถาม และเสนอความเห็นในช่วงอภิปราย การมีส่วนร่วมเชิงรุกในชั้นเรียนจะช่วยให้คุณได้ซึมซับกับเนื้อหาและช่วยให้คุณเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนต้องการให้คุณรู้ [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การนั่งหน้าหรืออย่างน้อยที่สุดคือไม่นั่งหลังจะทำให้คุณจดจ่อได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณอยู่ในตำแหน่งที่อาจารย์จะมองเห็นได้มากที่สุด
-
หาเวลา ทบทวนบทเรียน . ความสำเร็จในรั้วมหาวิทยาลัยขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวนอกห้องเรียน เพราะฉะนั้นคุณต้องใช้เวลาทบทวนเลกเชอร์และอ่านหนังสือสำหรับการเรียนในแต่ละครั้ง เวลา อ่านหนังสือ ให้หาที่เงียบๆ และตัดสิ่งภายนอกที่ทำให้วอกแวกออกไปให้หมด กฎทั่วไปก็คือให้ใช้เวลาอ่านหนังสือ 2 ชั่วโมงต่อชั่วโมงเรียน 1 ชั่วโมง [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กลุ่มติวหรือการติวกับเพื่อนๆ คนอื่นที่เรียนด้วยกัน อาจมีประโยชน์แต่ก็ออกนอกเรื่องได้ง่าย คุณต้องแน่ใจว่าคุณเจอกลุ่มที่ทบทวนเนื้อหาและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทบทวนจริงๆ มากกว่าจะมานั่งคุยกัน
- อย่าเร่งอ่านหนังสือแบบเอาเป็นเอาตาย! ส่วนหนึ่งของการเป็นนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จคือการทำมากกว่าแค่การสอบให้ผ่าน แต่เป็นการจดจำข้อมูลที่มีประโยชน์ในโลกความเป็นจริง ถ้าคุณอ่านหนังสือแบบอัดๆ คุณอาจจะจำได้มากพอที่จะเอาไปสอบให้ผ่าน แต่เป็นไปได้มากๆ ว่าคุณจะลืมเกือบทุกอย่างภายใน 1 หรือ 2 วัน ในเมื่อคุณเสียเงินไปเป็นหมื่นๆ กับการเรียนเรื่องพวกนี้แล้ว การจำข้อมูลไปใช้ในภายหลังได้จริงๆ คือการลงทุนที่ชาญฉลาด [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การแบ่งช่วงเวลาอ่านหนังสือกระจายๆ ไป 2-3 วันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะแน่ใจได้ว่าคุณจะจำเนื้อหาได้ในภายหลัง [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เช่น แทนที่จะอ่านหนังสือรวดเดียว 9 ชั่วโมง ให้เริ่มก่อน 2-3 วันและอ่านวันละ 1-2 ชั่วโมง 3 หรือ 4 วันติดต่อกัน ถ้าคุณวางแผนล่วงหน้าได้ดีกว่านั้น การกระจายการอ่านหนังสือไปตลอดช่วงหลายสัปดาห์นั้นจะดียิ่งกว่า [8] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ American Psychological Association ไปที่แหล่งข้อมูล
-
อย่าผัดวันประกันพรุ่ง. ไม่มีอาจารย์คนไหนบ่นหากนักศึกษาทำงานเสร็จก่อนเวลา การแบ่งเวลาทำงานให้เสร็จจะช่วยผ่อนคลายระดับความเครียด และทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะทำงานอื่นเสร็จตรงเวลาด้วย
- ในบางครั้งคุณอาจจะต้อง ถ่างตาทั้งคืนเพื่อทำงานให้เสร็จ การผัดวันประกันพรุ่งมีแต่จะทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปอีกเรื่อยๆ และการทำงานแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณได้นอนพักผ่อนตามปกติได้มากขึ้นด้วย
- ตั้งเป้าหมายการทำงานเป็นประจำ เช่น เขียนเรียงความให้ได้วันละ 200 คำหรือทบทวนโจทย์เลขวันละ 6 โจทย์ เป้าหมายเล็กๆ เหล่านี้ดูทำได้ง่าย เพราะฉะนั้นคุณก็จะไม่ค่อยผัดวันประกันพรุ่งเท่าไหร่ แต่ความสำเร็จจะสะสมไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
- พยายามอย่าทำให้ตัวเองรู้สึกผิดเพื่อที่จะได้ทำงาน แรงกระตุ้นภายนอก "ฉันควรทำสิ่งนี้เพื่อที่พ่อแม่จะได้ไม่โกรธฉัน" นั้นไม่แข็งแกร่งเท่าแรงกระตุ้นภายในอย่าง "ฉันอยากจะทำข้อสอบได้ดีเพื่อที่เกรดดีๆ ของฉันจะได้ทำให้ฉันสามารถเข้าเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางได้" การตั้งเป้าหมายเชิงบวกให้ตัวเองและการเตือนตัวเองว่า งานที่คุณทำจะช่วยให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการจะช่วยให้คุณทำลายความอยากผัดวันประกันพรุ่งไปได้
-
พูดคุยกับผู้สอน. อาจารย์อยากให้คุณเรียนวิชาต่างๆ ได้ดี เพราะฉะนั้นคุณสามารถเดินไปถามเกี่ยวกับเนื้อหาได้เลย อาจารย์ทุกท่านมีช่วงเวลาให้นักศึกษาเข้าพบได้ เพราะฉะนั้นแวะไปหาอาจารย์แล้วแนะนำตัว ถามเรื่องเรียนหรือคุยเรื่องเกรด วิธีนี้จะช่วยให้อาจารย์รู้จักคุณ จุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณมากขึ้น และสามารถให้คำแนะนำคุณเพื่อให้คุณไปพัฒนางานของตัวเองได้ดีขึ้น [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อย่าลืมผู้ช่วยอาจารย์ เพราะพวกเขาก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญในวิชานั้นๆ เหมือนกัน ในห้องเรียนใหญ่ๆ คนที่ให้เกรดส่วนใหญ่จะเป็นผู้ช่วยอาจารย์ ไม่ใช่อาจารย์เอง
- การเริ่มเข้าไปพูดคุยตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นดีที่สุด ถ้าครั้งแรกที่อาจารย์ได้รับการติดต่อจากคุณเป็นคืนก่อนสอบกลางภาคหลังจากเรียนผ่านไปแล้วครึ่งเทอม อาจารย์ก็อาจจะไม่ได้อะไรกับคุณมากนักเมื่อเทียบกับว่าถ้าคุณไปถามอาจารย์ตั้งแต่เนิ่นๆ และบ่อยๆ
-
มั่นใจ . ทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อชั้นเรียนส่วนใหญ่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จของพวกเขา จงเชื่อมั่นว่าคุณสามารถเรียนเนื้อหาและประสบความสำเร็จได้ แล้วโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย อย่าคิดว่าสิ่งต่างๆ มันยากแค่ไหน แต่ให้คิดว่าคุณจะเอาชนะความยากลำบากเหล่านั้นไปได้อย่างไร [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าคุณเป็นคนขี้อายโดยนิสัยหรือกังวลเรื่องการแสดงความคิดเห็นในห้องเรียน ให้เตือนตัวเองว่าอาจารย์อยากให้คุณได้เรียนรู้ โดยทั่วไปแล้วห้องเรียนเป็น "พื้นที่ปลอดภัย" ให้คนได้แสดงความคิดเห็น ถามคำถาม และถกเถียงกันอยู่แล้ว พยายามอย่ากังวลว่าจะฟังดูโง่ถ้าคุณมีคำถาม เพราะเป็นไปได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคนก็อาจจะมีคำถามเดียวกันแต่ไม่กล้าถาม เพราะฉะนั้นจงเป็นผู้บุกเบิกซะ!
โฆษณา
-
เข้าร่วมทีมหรือชมรม. คุณไม่สามารถไล่ตามความปรารถนาในห้องเรียนได้ตลอดเวลา หากลุ่มและกิจกรรมที่คุณชอบ หรืออาจจะเป็นกิจกรรมที่ให้คุณได้ประยุกต์ใช้งานวิชาการของคุณในทางปฏิบัติ นอกจากนี้กิจกรรมเหล่านี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่คุณจะได้พบปะผู้คนใหม่ๆ และได้เพื่อนใหม่ด้วย
-
เข้าร่วมงานในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยเป็นที่ที่มอบโอกาสในการเข้าถึงความหลายหลายของกิจกรรมด้านวัฒนธรรม สติปัญญา และกีฬาให้กับนักศึกษาจนแทบไม่มีที่ไหนเทียบได้ ฉกฉวยประโยชน์จากกิจกรรมเหล่านี้และมีส่วนร่วมกับชีวิตด้านวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยที่บางกิจกรรมคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว
-
จัดการเวลา. ไม่เหมือนกับตอนเรียนมัธยม ในมหาวิทยาลัยจะไม่มีใครมาคอยติดตามดูคุณและกิจกรรมที่คุณทำอีกแล้ว เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จัดลำดับความสำคัญของแต่ละกิจกรรมและงานที่ได้รับมอบหมายตามกำหนดเวลาและความสำคัญที่จะทำให้คุณไปถึงเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของคุณได้สำเร็จ ตารางเวลาของคุณไม่ควรจะมีแค่งานวิชาการเท่านั้น เพราะฉะนั้นให้ใส่กิจกรรมและความสนใจส่วนตัวไว้ด้วย
- สิ่งหนึ่งที่คุณอาจจะพบก็คือ ตารางของคุณมีการทั้งการเข้าเรียน การทำงาน กิจกรรมทางสังคม และกิจกรรมอื่นๆ มากเกินไป บางครั้งการจัดการเวลาก็หมายถึงการรู้ว่าเมื่อไหร่จะต้องตัดบางสิ่งทิ้งไปบ้าง
-
ผูกมิตร. งานวิจัยพบว่าการเป็นนักศึกษาน้องใหม่เป็นเรื่องเครียดอย่างเหลือเชื่อ มันส่งผลมากมายต่อสุขภาพจิตของคุณ [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการแน่ใจว่าตัวเองประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัยก็คือ การเป็นเพื่อนกับคนจากหลากหลายกลุ่ม และพยายามใช้เวลาร่วมกับพวกเขา
- การมีเครือข่ายทางสังคมที่แข็งแกร่งยังเกี่ยวข้องกับผลการปฏิบัติงานที่ดียิ่งขึ้นในชีวิตภายภาคหน้าด้วย
- นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรใช้เวลาทุกคืนไปกับการปาร์ตี้และไม่สนใจการเรียนกับการบ้านเลย แต่ให้พยายามรักษาสมดุลที่ดีไว้ให้ได้ คุณอาจจะให้เพื่อนๆ มีส่วนร่วมทั้งในห้องเรียนและกิจกรรมอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย เช่น ทีมกีฬาหรือทีมโต้วาที
-
ตัดสินใจว่าคุณจะเข้าร่วมสภานักศึกษาหรือไม่. ในหลายมหาวิทยาลัยจะมีสภานักศึกษาที่เปิดโอกาสให้คุณได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการส่วนต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้จะเป็นประโยชน์กับคุณในหลายๆ ด้าน เช่น การเข้าสังคมและเครือข่ายช่วยเหลือ แต่การอยู่ในสภานักศึกษาต้องอุทิศเวลาไม่น้อยเลย ซึ่งอาจจะสร้างความเครียดให้กับนักศึกษาปีแรกมากที่สุดเพราะคุณต้องปรับตัวกับประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายอยู่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้คุณรอขึ้นปี 2 ก่อนแล้วค่อยเข้าร่วมสภานักศึกษา ถ้าคุณทำแบบนี้ คุณก็จะมีพื้นฐานด้านวิชาการที่แน่นอยู่ก่อนแล้ว [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิงโฆษณา
-
เลือกวิชาเรียนให้ถูกต้อง. เลือกวิชาที่คุณสนใจและทำให้คุณตื่นเต้นที่ได้ไปเรียน วิธีนี้จะนำคุณไปสู่งานที่น่าสนใจและคุ้มค่ามากกว่าการไล่เรียนแต่วิชาง่ายๆ [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าทำได้อย่าเพิ่งเลือกวิชาเอกทันทีนอกจากว่าคุณจะมั่นใจแล้วจริงๆ ว่าคุณอยากเรียนสาขานั้นๆ เพราะการเลือกวิชาเอกโดยทันทีไม่ได้มีประโยชน์เลย ลองเรียนวิชาต่างๆ ในหลายสาขา และเรียนรู้ว่าแต่ละเอกต้องการงานประเภทไหน [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ติดตามความก้าวหน้าของตัวเอง. คุณอยากจะเรียนให้จบตามกำหนดเวลา เพราะฉะนั้นคุณต้องแน่ใจว่าคุณทำตามข้อบังคับของคณะและวิชาเอกครบถ้วนแล้ว คุณจะต้องเก็บหน่วยกิตตามที่กำหนดและมีเกรดสูงพอ ระวังข้อบังคับที่ไม่ใช่ข้อบังคับทางวิชาการ เช่น ชั่วโมงการเล่นกีฬา ไว้ด้วย
- มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะมีเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่ไว้คำนวณ "ความก้าวหน้าทางการศึกษา" อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีให้คุยกับที่อาจารย์ที่ปรึกษา
-
อย่าเลือก "วิชาง่ายๆ." การเรียนในมหาวิทยาลัยควรเป็นเรื่องยาก และคุณก็ควรเตรียมพร้อมรับความล้มเหลว หรืออย่างน้อยการไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คุณเคยทำได้ตอนเรียนมัธยม ชีวิตหลังรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้ดูที่เกรดในโรงเรียน แต่ดูวิธีการที่คุณเรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวัง [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ไปที่สำนักกิจการนักศึกษา. มหาวิทยาลัยทุกที่มีสำนักกิจการนักศึกษา คุณสามารถไปหาข้อมูลได้ว่าคนที่จบจากคณะและวิชาเอกของคุณเขาไปทำงานประเภทไหนกันบ้าง และในสำนักกิจการนักศึกษาของบางมหาวิทยาลัยยังให้บริการช่วยเหลือคุณในการเขียนเรซูเม่ กรอกข้อมูลลงในใบสมัครงาน และคำบอกใบ้ที่มีประโยชน์ว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นอะไร [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
หาสถานที่ฝึกงานและการทำงานจริงอื่นๆ. ถ้าเป็นไปได้ ให้หาสิ่งที่จะทำให้คุณได้นำสิ่งที่คุณเรียนไปใช้ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง แล้วคุณจะได้ประสบการณ์การทำงานที่มีคุณค่าสำหรับภายภาคหน้าโฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.usnews.com/education/blogs/professors-guide/2010/08/17/top-10-secrets-of-college-success
- ↑ https://www.dek-d.com/tcas/reality/37354/
- ↑ http://www.foxbusiness.com/personal-finance/2013/01/07/six-habits-successful-college-students/
- ↑ http://www.usnews.com/education/blogs/professors-guide/2010/08/17/top-10-secrets-of-college-success
- ↑ http://web.stanford.edu/~eryilmaz/cramming_is_ineffective.html
- ↑ http://newsroom.ucla.edu/releases/cramming-for-a-test-don-t-do-it-237733
- ↑ http://thesciencenetwork.org/docs/BrainsRUs/Increasing%20Retention_Pashler.pdf
- ↑ http://www.apa.org/gradpsych/2011/11/study-smart.aspx
- ↑ http://www.foxbusiness.com/personal-finance/2013/01/07/six-habits-successful-college-students/
- ↑ http://www.rasmussen.edu/student-life/blogs/main/what-it-takes-to-be-successful-college-student/
- ↑ http://www.usnews.com/news/blogs/data-mine/2015/02/06/college-freshmen-socialize-less-feel-depressed-more
- ↑ https://www.petersons.com/college-search/college-life-include-greek.aspx
- ↑ http://ideas.time.com/2013/03/13/secrets-of-the-most-successful-college-students/
- ↑ http://www.usnews.com/education/blogs/professors-guide/2010/08/17/top-10-secrets-of-college-success
- ↑ http://ideas.time.com/2013/03/13/secrets-of-the-most-successful-college-students/
- ↑ http://www.foxbusiness.com/personal-finance/2013/01/07/six-habits-successful-college-students/
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 5,646 ครั้ง
โฆษณา