PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

อาการอ่อนเพลียจากการขาดพลังงานนั้นเป็นเสียงบ่นโอดครวญที่ได้ยินอยู่เสมอในหมู่ผู้ใหญ่ ความเครียดเรื้อรัง การทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง พฤติกรรมการนอนที่แย่ การทานอาหารแบบไม่ใส่ใจต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายไม่เพียงพอ ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียในระหว่างวัน มีวิธีการอยู่มากมายที่คุณสามารถทำเพื่อเพิ่มพลังงานในทันที คุณยังสามารถพัฒนาระดับพลังงานในแต่ละวันขึ้นด้วยโดยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการควบคุมอาหาร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ใช้ตัวช่วยเพิ่มพลังงานในทันที

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. การทำโยคะอาจช่วยเพิ่มระดับพลังงานของคุณได้ [1] ลองทำท่าที่เรียกพลังงานอย่างท่าสุนัขยืดลง (downward dog), ท่างู (cobra pose), หรือท่าสะพาน (bridge pose) [2] แม้กระทั่งการทำท่าพื้นฐานอย่างยืดตัวไปข้างหน้าที่ทำได้ทันทีก็อาจช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้เช่นกัน
    • การทำท่าโค้งมาข้างหน้านั้น ให้เริ่มด้วยการยืนแยกขาให้ห่างกันประมาณช่วงไหล่ ก้มศีรษะลง จากนั้นก้มลงไปยังหัวแม่เท้า
    • เอื้อมให้ถึงหัวแม่เท้า แต่ให้ก้มให้สุดเท่าที่คุณยังรู้สึกไม่ฝืนตัว
    • ทิ้งแขนให้ห้อยและค้างอยู่ในท่านั้นสักสองสามนาที ยังคงหายใจปกติ
    • จากนั้น ค่อยๆ ยกร่างขึ้นกลับมาสู่ท่ายืน
  2. การสูดหายใจช้าๆ ลึกๆ สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังงานและช่วยให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นกว่าเดิม [3] ลองนั่งหรือเอนกายลงแล้วหายใจเข้าช้าๆ ทางจมูกและหายใจออกทางปาก นับถึงห้าในขณะที่กำลังหายใจเข้า และนับถึงห้าในขณะที่กำลังหายใจออก
  3. ตรวจดูท่วงท่าของคุณอยู่เรื่อยๆ ให้แน่ใจว่าคุณยืนลำตัวเชิดตรงการเคลื่อนไหวของร่างกายนั้นสัมพันธ์กับภาวะจิตใจ ดังนั้นการวางท่วงท่าให้ร่างกายอยู่ในท่าที่แสดงพลังงานออกมาจึงส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณนั้นกำลังตื่นตัวไปด้วยพลัง
    • ให้แน่ใจว่าแผ่นหลังตั้งตรงและไหล่ยกไปทางหลังเล็กน้อย
    • ปรับท่วงท่าให้ถูกต้องทุกครั้งที่คุณสังเกตเห็นตัวเองยืนห่อไหล่
  4. การร้องเพลงจังหวะเร็วๆ ที่คุณชอบดังๆ อาจช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าภายในไม่กี่นาที [4] ถ้าคุณต้องการเพิ่มพลังงานอย่างฉับไว หาเพลงโปรดแล้วร้องออกมาดังๆ เลย
    • ลองขยับเต้นระหว่างที่ร้องเพลงเพื่อเพิ่มพลังงานขึ้นไปอีก
  5. การเดินสามารถเพิ่มความกระชุ่มกระชวยได้เช่นกัน [5] ลองมุ่งหน้าออกไปเดินเล่นรอบตึกหรือแค่เดินวนรอบบ้านสัก 10 ถึง 15 นาทีเวลาที่ต้องการเพิ่มพลังงาน
    • ลองฟังเพลงมันๆ ด้วยหูฟังในขณะเดินจะช่วยเพิ่มพลังงานในการเดิน
  6. แสงแดดสามารถทำให้คุณตื่นตัวและช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นในเวลาที่รู้สึกอ่อนเพลีย ลองออกไปข้างนอกตอนแดดออกและนั่งอาบแดดสัก 10 ถึง 15 นาทีหรือนั่งใกล้หน้าต่างที่มีแดดส่องสักพักหนึ่ง [6]
    • อย่าตากแดดเกินกว่า 15 นาทีโดยไม่ได้ทาครีมกันแดด มิเช่นนั้นผิวอาจแสบร้อนได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

กินดื่มเพิ่มพลังงาน

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ชาเขียวมีคาเฟอีน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ทว่าที่มันแตกต่างจากกาแฟก็คือ ชาเขียวยังอาจลดอัตราเสี่ยงของการเป็นลม ความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า หัวใจวาย และโรคเบาหวานได้ด้วย [7] ลองดื่มชาเขียวสักถ้วยเพื่อเพิ่มพลังงาน
  2. หลายคนไม่ได้ดื่มน้ำมากพอตลอดทั้งวัน ซึ่งนำไปสู่การมีพลังงานต่ำ ตั้งเป้าว่าต้องดื่มน้ำในแก้วปริมาตร 8 ออนซ์สักแปดแก้วในแต่ละวัน แต่จงดื่มมากขึ้นในระหว่างการออกกำลังกาย เช่น คุณควรดื่มน้ำสักแก้วก่อนและหลังการออกกำลังกาย หากคุณออกกำลังกายนานเกิน 30 นาที ก็ควรจิบน้ำในระหว่างการออกกำลังกายด้วย [10]
  3. เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีน้ำตาลต่ำแทนที่ขนมขบเคี้ยวรสหวาน. น้ำตาลจากธรรมชาติบางอย่างมีความสำคัญต่อการทำงานโดยปกติของสมอง แต่การได้รับน้ำตาลแปรรูปและเข้มข้นมากเกินไป (อย่างในลูกอม คุกกี้ หรือน้ำอัดลม) จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งพรวด อาหารหวานอาจเพิ่มพลังงานให้คุณในระยะสั้นก็จริง แต่มันจะตามมาด้วยอาการเซื่องซึม [11] ตัวเลือกของอาหารว่างที่ดีคือ:
    • ขนมปังโฮลวีทปิ้งทาเนยถั่ว
    • ผลไม้สักชิ้น
    • แครอทผ่าเป็นแท่งสักกำมือพร้อมฮัมมุสไว้จิ้มสักหนึ่งช้อนโต๊ะ
  4. รับประทานมื้อเช้าทุกวัน.การรับประทานอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการจะทำให้คุณตื่นตัว กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ และป้องกันไม่ให้คุณเกิดอาการโหยน้ำตาลในตอนบ่าย [12] ให้มองข้ามโดนัทและซีเรียลหวานๆ ตัวเลือกที่เข้าท่ากว่าคือ:
    • ขนมปังโฮลเกรน
    • โอ๊ตมีล
    • ไข่
    • ผลไม้
    • โยเกิร์ต
    • เนยถั่ว
  5. การรับประทานอาหารและอาหารว่างที่มีโปรตีนสูงจะช่วยให้คุณมีระดับพลังงานสูงเป็นเวลานาน อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนจะช่วยให้ร่างกายมีกรดอะมีโนไปซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อ แหล่งโปรตีนสำคัญได้แก่: [13]
    • สัตว์ปีก
    • ปลา
    • เนื้อแดงไขมันน้อย
    • ไข่
    • ถั่ว
    • ผลิตภัณฑ์จากนม (น้ำนม, โยเกิร์ต, เนยแข็ง)
    • เต้าหู้
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

เปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อเพิ่มพลังงาน

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เหตุผลทั่วไปว่าทำไมผู้คนถึงได้เหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียในระหว่างวันกันนักก็คือว่าคืนก่อนหน้านั้นไม่ได้หลับเต็มอิ่มนั่นเอง การไม่ได้นอนอย่างมีคุณภาพสามารถนำไปสู่อาการล้าและเหน็ดเหนื่อยได้ ผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงส่วนมากต้องการเวลานอนหลับโดยเฉลี่ยคืนละแปดชั่วโมง [14]
    • ทำให้ห้องนอนเงียบและมืดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้หลับลึก พยายามทำให้ห้องเย็นและหลีกเลี่ยงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า (รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ) ก่อนนอน
    • ชาวอเมริกันอย่างน้อย 40% ต้องรู้สึกอ่อนเพลียในช่วงกลางวันหลายต่อหลายวันในรอบเดือนเนื่องมาจากพฤติกรรมการนอนที่ไร้คุณภาพ [15]
  2. การงีบหลับ (หลับเอาแรงช่วงสั้นๆ) อาจช่วยให้คุณรู้สึกมีชีวิตชีวาและเพิ่มระดับพลังงานขึ้นมาได้ การงีบหลับสัก 20 – 30 นาทีในตอนกลางวันเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มความกระตือรือร้นและพัฒนาฝีมือการทำงานโดยไม่ทำให้คุณมึนศีรษะหรือไปตาสว่างนอนไม่หลับในตอนกลางคืน [16] การหาสถานที่แอบงีบหลับในที่ทำงานอาจเป็นความท้าทาย แต่ลองคิดรีบทานมื้อเที่ยงเร็วๆ แล้วมาแอบหลับในรถ (ถ้าคุณขับไปทำงาน) ก็ได้
    • ให้แน่ใจว่าเจ้านายและเพื่อนร่วมงานรู้ในเจตนาเรื่องการงีบเอาแรงนี้ และไม่คิดไปเองว่าคุณก็แค่ขี้เกียจ
    • ลองดื่มกาแฟหรือชาสักถ้วยหลังจากตื่นจากการงีบหลับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการได้งีบหลับเพิ่มขึ้นไปอีก [17]
  3. การออกกำลังกายแบบใช้แรงอย่างหนักอาจทำให้อ่อนเพลีย แต่การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอวาสคูลาร์เป็นประจำ (อย่างเช่นการเดินไวๆ) สัก 30 – 60 นาทีต่อวันจะช่วยให้มีออกซิเจนและสารอาหารเข้าไปในเนื้อเยื่อมากขึ้นและจะช่วยให้หัวใจกับปอดทำงานได้ดีขึ้น [18]
    • การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอวาสคูลาร์เป็นประจำยังช่วยพัฒนาอารมณ์ (และอารมณ์ทางเพศ!) และทำให้หลับได้ดีขึ้น ซึ่งจะยิ่งส่งผลต่อการมีระดับพลังงานสูงเป็นสองต่อ
    • นอกเหนือจากการเดินเร็วแล้ว การออกกำลังกายที่ดีอื่นๆ ยังรวมไปถึงการว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน และการวิ่ง
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

มองหาการรักษาทางแพทย์สำหรับอาการเหน็ดเหนื่อย

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าหากระดับพลังงานของคุณไม่ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเลย ให้นัดแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โรคเบาหวานนั้นเป็นผลมาจากการมีระดับกลูโคสในเลือดสูงอย่างเรื้อรังอันเนื่องมาจากการขาดอินซูลินหรือเกิดการดื้ออินซูลิน [19] ร่างกายคุณต้องการอินซูลินเพื่อนำกลูโคสเข้าไปสู่เซลล์เพื่อจะได้สร้างโมเลกุลพลังงาน (ATP)
    • อาการทั่วไปของโรคเบาหวานคือรู้สึกเมื่อยล้าในเวลากลางวันโดยไม่อาจบรรเทาลงได้แม้จะนอนหลับ ออกกำลังกาย หรือรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    • อาการขาดน้ำจากการต้องปัสสาวะบ่อยเกินไปก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งมีผลทำให้เกิดอ่อนเพลียเช่นกัน ตามที่ได้บอกข้างต้น
    • อาการของโรคเบาหวานอื่นๆ ยังรวมไปถึงการที่น้ำหนักตัวลดลง สับสน (ความคิดไม่แจ่มใส) มองภาพเบลอ และมีลมหายใจกลิ่นหวาน
  2. อีกสาเหตุที่พบทั่วไปของอาการอ่อนเพลียเมื่อยล้าก็คือการมีฮอร์โมนไม่สมดุล ต่อมในร่างกายซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนนั้นหลายต่อมมีผลต่อระบบเผาผลาญอาหาร การสร้างพลังงานและอารมณ์ แพทย์อาจส่งคุณไปทำการตรวจเลือดซึ่งจะวัดฮอร์โมนและสารประกอบอื่นที่ต่อมเหล่านี้ผลิตขึ้นมา
    • ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำเป็นสาเหตุโดยทั่วไปอีกอย่างหนึ่งของการรู้สึกเมื่อยล้าเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้หญิง [20]
    • ภาวะต่อมหมวกไตอ่อนล้า (Adrenal fatigue) สามารถเกิดขึ้นได้จากการมีความเครียดสะสม การบริโภคคาเฟอีนจำนวนมาก และ/หรือการใช้ยามากเกินไป อาการโดยทั่วไปของภาวะต่อมหมวกไตล้าคือรู้สึกอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง กระวนกระวาย และนอนไม่หลับ [21]
    • ภาวะหมดประจำเดือน (Menopause) มักจะนำไปสู่การขาดเรี่ยวแรง เห็นแสงวูบวาบ นอนไม่หลับ และปัญหาทางอารมณ์ [22] มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากการผลิตฮอร์โมนเจริญพันธุ์ที่ลดน้อยลงในสตรี (เอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน) แต่โรคและอาการจำเพาะบางอย่างอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ก่อนวัยอันควรได้
  3. อาการหลักของโรคโลหิตจางคือรู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง ภาวะโลหิตจางเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณมีเม็ดเลือดที่แข็งแรงไม่เพียงพอที่จะทำหน้าที่ได้ตามปกติ [23] ภาวะโลหิตจางอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก การขาดวิตามิน โรคเรื้อรัง (อย่างเช่นโรคทางเดินอาหารอักเสบโครห์นหรือโรคไขข้ออักเสบรูมาทอยด์) หรือปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องพบแพทย์หากมีอาการอ่อนเพลียอยู่ตลอด [24]
  4. ลองพิจารณาดูว่าความซึมเศร้าหรือความกังวลใจเป็นสาเหตุของอาการเมื่อยล้าหรือไม่. ถ้าคุณเหนื่อยอ่อนอยู่เป็นประจำแต่ผลการตรวจชี้ว่าคุณนั้นแข็งแรงดีทุกอย่าง คุณอาจต้องดูที่สุขภาพจิตของตนเองแทน ทั้งความซึมเศร้าหรือความกังวลใจสามารถทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ [25]
    • สัญญาณและอาการบางอย่างของโรคซึมเศร้าคือ: รู้สึกสิ้นหวัง ว่างเปล่า หรือไร้ค่า ยากที่จะควบคุมสมาธิ สูญเสียความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ มีความคิดเชิงลบที่ควบคุมไม่ได้ หันไปดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาและมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ [26]
    • สัญญาณและอาการบางอย่างของอาการกังวลใจคือ: รู้สึกกลัดกลุ้มใจอยู่ตลอดเวลา ตึงเครียด หลีกเลี่ยงสถานการณ์และกิจกรรมทั่วไปที่อาจทำให้รู้สึกกังวลใจ (อย่างเช่นการเข้าสังคม) มีความรู้สึกกลัวที่ไร้เหตุผลและควบคุมไม่ได้ มีความรู้สึกว่าทุกอย่างจะต้องแย่หรือเรื่องแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น [27]
    • หากคุณคิดว่าตนเองอาจมีอาการของโรคซึมเศร้าและ/หรือกังวลใจ ปรึกษาแพทย์ให้แนะนำนักบำบัดเพื่อช่วยคุณเอาชนะประเด็นเหล่านี้ หรือนักจิตเวชที่สามารถประเมินสุขภาพจิตและสั่งจ่ายยาลดอาการซึมเศร้าหรือยาลดความกังวลก็ได้
  5. หากคุณมีน้ำหนักเกินปกติหรือมีรูปร่างอ้วน การลดน้ำหนักอาจมีผลในเชิงบวกมากที่สุดสำหรับการสร้างความกระปรี้กระเปร่าในระหว่างวันก็ได้ การลดน้ำหนักจะช่วยพัฒนาสุขภาพกายให้แข็งแรงขึ้น เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ความกระฉับกระเฉง อารมณ์และความมั่นใจในตนเอง [28] คลินิกลดน้ำหนักอาจช่วยกระตุ้นและสอนคุณที่จะควบคุมอาหารโดยรับประทานผักและผลไม้สด เนื้อที่มีไขมันต่ำ และโฮลเกรนเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่จะลดพลังงานจากน้ำตาลอันเปล่าประโยชน์ลง
    • การควบคุมอาหารเมื่อผนึกเข้ากับการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นจะช่วยเร่งกระบวนการลดน้ำหนักได้ไวขึ้น
    • กุญแจสู่การลดน้ำหนักคือการลดแคลอรี่ในแต่ละวัน (ไม่ควรเกิน 2,500 ถ้าคุณเป็นผู้ชายและ 2,000 ถ้าคุณเป็นผู้หญิง) และเพิ่มการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอวาสคูลาร์ที่เผาผลาญไขมันอยู่เป็นประจำ (แม้กระทั่งแค่การเดินเป็นเวลา 30 นาทีทุกวัน)
    • การลดน้ำหนักยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 กับโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีส่วนทำให้รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เพื่อรักษาระดับพลังงานให้จำไว้ว่าผู้ชายปกติต้องการพลังงานราว 2,500 แคลอรี่ต่อวันและผู้หญิงปกติต้องการ 2,000 แคลอรี่ การได้รับแคลอรี่ไม่เพียงพอหรือรับมามากเกินไปจะนำไปสู่การมีระดับพลังงานลดลงได้
  • บางครั้งการดูโทรทัศน์มากเกินไปสามารถดูดระดับพลังงานไป ดังนั้นพยายามลดจำนวนเวลาอยู่เฝ้าหน้าจอลง โดยเฉพาะในตอนกลางวัน
  • นอกเหนือจากการดูโทรทัศน์แล้ว ถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับแท็บเล็ตและโทรศัพท์มือถือนานเกินไปก็จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเพลียเช่นกัน ถ้าคุณอยู่ในกรณีนี้ให้พยายามอย่าใช้เวลากับมันมากนัก
โฆษณา

คำเตือน

  • อาการเหนื่อยอ่อน เมื่อยล้าและ/หรือไร้เรี่ยวแรงสุดๆ อาจเป็นอาการจากการใช้ยา ให้ปรึกษาแพทย์หากอาการนั้นเกิดขึ้นนานกว่าหนึ่งสัปดาห์
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,242 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา