ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คนเริ่มเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านกันก็เมื่อตอนปลายทศวรรษ 1940 [1] หนูแฮมสเตอร์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศซีเรีย และกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมได้ก็เพราะมันแสนจะดูแลง่าย ไม่มีกลิ่นกวนใจ แถมไม่ค่อยเจ็บป่วยเท่าไหร่ จุดขายของน้องแฮมสเตอร์ก็คือตัวเล็กกระจิดริด น่ารักน่ากอดนี่เอง เป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมาะมากสำหรับเด็กและคนอยู่คอนโดหรืออพาร์ตเม้นท์ ถ้าคุณคิดจะเลี้ยงแฮมสเตอร์ละก็ เรามี 2 - 3 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนเลือกเพื่อนตัวจิ๋วมาฝากกัน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

พิจารณาจากเพศ ลักษณะ และสายพันธุ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ศึกษาหาพันธุ์ที่เหมาะกับชีวิตประจำวันของคุณ. แฮมสเตอร์ก็เหมือนกับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ทั่วไป มีบุคลิกลักษณะหรือพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายพันธุ์ แฮมสเตอร์นั้นมีมากมายหลายชนิด เพราะฉะนั้นสำคัญว่าคุณต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกน้องหนูตัวที่ใช่สำหรับคุณ [2]
    • Syrian hamster -- หรือที่รู้จักกันในชื่อ golden หรือ teddy bear hamster เป็นสายพันธุ์ที่นิยมกันมากที่สุด เป็นหนูที่ดูแลง่าย เหมาะมากสำหรับเด็ก แต่ต้องเลี้ยงแยกกันกับแฮมสเตอร์สายพันธุ์อื่นๆ และเป็นหนูที่กินอาหารตอนกลางคืน
    • Dwarf Russian Campbell hamster -- ต่างกับ Syrian hamster ตรงที่เป็นสัตว์สังคม เลี้ยงไว้เป็นกลุ่มจะดีกว่า ถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดี แต่ดูแลไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่ และจะร่าเริงเป็นพิเศษในตอนกลางวัน
    • Dwarf Winter White Russian hamster -- Dwarf Winter White Russian hamster นั้นคล้ายกันกับญาติใกล้เคียงอย่าง Dwarf Russian Campbell ทั้งในเรื่องอารมณ์และพฤติกรรมการกินอยู่ โดยขนาดตัวจะเล็กกว่าหน่อยและค่อนข้างปราดเปรียว ที่สำคัญคือชอบแว้งกัดเวลาเครียดๆ เพราะงั้นเลยไม่ค่อยเหมาะกับเด็กเล็กเท่าไหร่ แต่ก็น่ารักและร่าเริงพอจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีของเด็กโตหรือผู้ใหญ่ได้
    • Roborovski Dwarf Hamster -- เพราะมีขนาดเล็ก (1 นิ้ว - 2.5 นิ้ว) และมีนิสัยคล่องแคล่วว่องไว แฮมสเตอร์พันธุ์นี้เลยดูแลไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่ เป็นพวกสัตว์สังคม อารมณ์ดี และกินอาหารตอนกลางคืน
    • Chinese Hamster -- หรืออีกชื่อคือ Striped Hamster เป็นแฮมสเตอร์ที่ค่อนข้างขี้อาย แต่ก็ดีตรงที่ดูแลง่าย เป็นพันธุ์ที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และพาลจะหงุดหงิดก้าวร้าวเอาได้ถ้าเผลอเลี้ยงไว้ด้วยกันหลายตัว พันธุ์นี้ก็กินอาหารกลางคืนเหมือนกัน
  2. แฮมสเตอร์มีหลายพันธุ์ เลยทำให้ขนาด สี และความยาวของขนแตกต่างกันออกไป แถมพฤติกรรมของตัวผู้กับตัวเมียก็ไม่เหมือนกันด้วย
    • แฮมสเตอร์มีขนาดตั้งแต่ประมาณ 1 นิ้ว - 7 นิ้ว แล้วแต่ว่าพันธุ์ไหน ถ้าพันธุ์เล็กหน่อยอย่าง Dwarf ก็ไม่ค่อยเหมาะกับเด็กเล็กๆ เพราะงั้นถ้าอยากจับอยากเล่น ก็ต้องเลือกพันธุ์ใหญ่อย่าง Syrian จะดีกว่า
    • แฮมสเตอร์มีด้วยกันหลายสีหลายลาย ถ้าเป็นพันธุ์ Syrian สีจะออกทองกว่า แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะมีลายสีออกน้ำตาล สมชื่อ “teddy bear” หรือตุ๊กตาหมีไงล่ะ ส่วนพันธุ์ Dwarf Russian มีทั้งสีขาวสวยหรือสีเทา แฮมสเตอร์ทั่วไปที่เราเห็นกันมักมีขนสีออกน้ำตาล แต่จริงๆ แล้วมีได้ตั้งแต่สีขาว ดำ เทา ไปจนถึงลายจุดหรือลายทางกันเลยทีเดียว
    • คุณเลือกได้ว่าอยากเลี้ยงแฮมสเตอร์ขนยาวหรือขนสั้น ต่างพันธุ์ก็ต่างความยาว ถ้าเป็น Syrian teddy bear บางทีคนก็เรียกกันว่า “fancy” หรือพันธุ์ไฮโซ เพราะขนจะยาวสลวยสวยเก๋กว่ายังไงล่ะ
  3. ถ้าเป็นแฮมสเตอร์ตัวเมียจะออกก้าวร้าวกว่า ถ้าคุณคิดจะเลี้ยงแฮมสเตอร์มากกว่า 1 ตัวละก็ ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำว่าให้เลี้ยงเป็นเพศเดียวกันหมดจะดีกว่า
  4. ถ้าอยากเลี้ยงไว้ลูบคลำเล่น ให้เลือกพันธุ์ที่ใจเย็นเลี้ยงง่ายจะดีกว่า อย่าง Syrian แต่ถ้าคุณชอบดูแฮมสเตอร์วิ่งเล่นไปมาในกรงของมัน ก็ให้เลือกพันธุ์เล็กแสนไฮเปอร์อย่างพวก Dwarf นั่นแหละเหมาะ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ถึงเวลาซื้อแฮมสเตอร์ที่ใช่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เลือกร้านเล็กๆ ที่เขาเน้นขายแฮมสเตอร์เลยจะดีกว่าร้านใหญ่ที่ขายมั่วไปหมด เพราะจะได้มีหลากหลายกว่า แถมแปลว่าเจ้าของเขารู้ลึกและใช้เวลากับแฮมสเตอร์ที่เลี้ยงมาจริงๆ คุณจะได้แฮมสเตอร์ที่แข็งแรงสุขภาพดี พร้อมย้ายไปอยู่บ้านของคุณ
  2. จุดสำคัญเลยคือต้องสะอาด พร้อมไปด้วยน้ำสะอาด อาหารสดใหม่ และที่รองนอน อย่าลืมของเล่นหรือพื้นที่ไว้ให้แฮมสเตอร์ออกกำลังกายด้วย
    • ถ้าในกรงมีแฮมสเตอร์อยู่รวมกันหลายตัว แสดงว่ายังเล็กอยู่ ลองสังเกตดูว่าแฮมสเตอร์แต่ละตัวมีปฏิสัมพันธ์กันยังไง สัญญาณที่ดีคือถ้าแฮมสเตอร์ตื่นอยู่ ต้องร่าเริงและอยากรู้อยากเห็น แต่อย่าให้ถึงขั้นก้าวร้าวใส่กันและกันล่ะ
    • แฮมสเตอร์ต้องดูอิ่มหมีพีมัน และสะอาดสะอ้านสวยงาม ตาต้องมันวาวส่วนขนสวยเป็นประกาย
  3. อีกวิธีที่จะบอกได้ว่าร้านหรือฟาร์มนั้นดีหรือเปล่า ก็คือปฏิกิริยาท่าทางของคนในร้าน/ฟาร์ม ลองสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับแฮมสเตอร์ดู อย่างพวกอายุและสายพันธุ์ พนักงานควรจะมีความรู้เป็นอย่างดีและพร้อมอธิบายอย่างเต็มใจ
    • ลองสอบถามประสบการณ์จากลูกค้าคนอื่นๆ ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าร้านหรือฟาร์มนี้ใช่สำหรับคุณหรือเปล่า ให้ลองถามทางร้านดูหรือจะ search ในเน็ตก็ได้ ว่ามีใครเคยซื้อแฮมสเตอร์จากร้านนี้บ้าง แล้วมีความคิดเห็นหรือประสบการณ์ยังไง อาจจะลองถามดูก็ได้ ว่าพอซื้อกลับไปบ้านแล้วแฮมสเตอร์มีพฤติกรรมหรือสุขภาพเป็นยังไงบ้าง
  4. ถ้าคุณอยากได้พันธุ์ที่อุ้มเล่นจับเล่นได้ ให้ลองถามทางร้านดูว่าขอลองจับก่อนได้ไหม คุณจะได้สังเกตลักษณะท่าทางที่ดีหรือน่าสนใจก่อนตัดสินใจซื้อ
    • ความเชื่อง - ต้องเป็นแฮมสเตอร์ที่อุ้มแล้วไม่เครียดหรือตื่น คือต้องไม่ขบ กัด หรือดิ้นหนีเอาเป็นเอาตาย
    • ท่าทางอยากรู้อยากเห็น ไม่ตื่นตกใจ - แฮมสเตอร์ที่คุณเลือกควรจะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่ใช่กลัวจนหัวหด ถ้าแฮมสเตอร์มองไปรอบๆ หรือทำจมูกดุ๊กดิ๊กดมหาอาหาร แสดงว่าแฮมสเตอร์กำลังผ่อนคลายสบายใจอยู่
  5. แฮมสเตอร์จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2 - 3 ปีเท่านั้น เลือกตัวที่แข็งแรงมีความสุขแต่แรกจะดีกว่า ก่อนซื้อให้คุณลองสังเกตลักษณะท่าทางเด่นๆ ตามนี้ดู
    • ตา จมูก และปากสะอาดใสแจ๋ว
    • จมูกแห้ง ไม่ชื้นแฉะ
    • ขนมันวาว
    • เดินวิ่งคล่องแคล่ว ไม่เป๋ไปมา
    • ฟันไม่ยาวเกินไป
    • นิสัยร่าเริงเป็นมิตร
    • ขนไม่ร่วง
    • ไม่มีก้อนนูนตามขนตามตัว
  6. ร้านขายหรือฟาร์มเพาะพันธุ์อาจจะเอาแฮมสเตอร์ใส่กล่องเล็กๆ ให้คุณเอากลับบ้าน ซึ่งจะทำให้แฮมสเตอร์รู้สึกเหมือนถูกขังหรือตื่นกลัวจนตะกุยหรือเคี้ยวกล่องและวิ่งพล่านไปมาได้
    • คุณต้องรีบพาแฮมสเตอร์ตรงกลับไปบ้านทันที อย่าให้เครียดจนแฮมสเตอร์แหกกล่องหนีไปได้!
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เตรียมที่เตรียมทางต้อนรับแฮมสเตอร์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เช็คดูให้แน่ใจก่อน ว่าคุณไม่ได้แพ้ตัวแฮมสเตอร์เองหรือวัสดุที่ใช้ทำรัง แล้วค่อยตัดสินใจเลี้ยง วิธีดูง่ายๆ ก็คือสังเกตอาการของตัวเองตอนคุณอยู่ที่ร้านหรือฟาร์ม ตรงโซนแฮมสเตอร์หรือสัตว์ฟันแทะอื่นๆ นอกจากตัวแฮมสเตอร์เองแล้ว วัสดุที่ใช้ทำรังก็ฝุ่นเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นต้องแน่ใจก่อนว่าคุณไม่ได้มีอาการแพ้ใดๆ ก่อนตัดสินใจพาแฮมสเตอร์เข้าบ้าน
  2. ถามตัวเองดู ว่ามีเวลาและมีกะจิตกะใจพอจะดูแลเอาใจใส่น้องหนูตัวใหม่หรือเปล่า แฮมสเตอร์นั้นเลี้ยงค่อนข้างง่ายก็จริง แต่ก็ยังต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำเปลี่ยนอาหารทุกวันไม่ให้ขาดอยู่ดี [3] นอกจากนี้กรงก็ต้องสะอาดอยู่เสมอ และคุณก็ต้องคอยสังเกตด้วย ว่าแฮมสเตอร์ของคุณอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า
  3. แฮมสเตอร์ต้องได้รับอาหารและน้ำที่สดใหม่และเพียงพอในแต่ละวัน ห้ามให้อาหารน้อยไปเด็ดขาด แต่ถ้าให้มากไป แฮมสเตอร์ก็จะอมซ่อนอาหารไว้จนแก้มตุ่ย หรือเอาไปซุกไว้ตามรังแทน
  4. เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าตัวอะไรก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น คุณต้องแน่ใจว่ามีเงินมากพอจะจ่ายค่าต่างๆ ได้ อย่างค่าหมอ ค่าอาหาร ของเล่น วัสดุทำรัง และอื่นๆ ที่จำเป็นต่อแฮมสเตอร์
  5. สร้างที่อยู่ที่กินที่เหมาะสมสำหรับแฮมสเตอร์. [4] ต้องเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมก่อนพาน้องหนูตัวใหม่เข้าบ้าน สิ่งที่ควรเตรียมก็คือ
    • กรงโล่งกว้าง -- แฮมสเตอร์ชอบเจาะโพรง ซ่อนตัว และสำรวจ เพราะฉะนั้นกรงต้องกว้างพอให้แฮมสเตอร์ได้ทำกิจกรรมตามใจชอบ
    • ปิดทางหนีทีไล่ -- แฮมสเตอร์น่ะหายตัวเก่งยังกับนักมายากล ถ้ากรงคุณเป็นแบบลูกกรงซี่ๆ ละก็ ต้องซี่ถี่และแน่นหนาแข็งแรงพอกันไม่ให้แฮมสเตอร์แทะหรือลอดหนีออกไปได้ ที่สำคัญคือไม่ว่ากรงแบบไหนก็ต้องมีฝาปิดมิดชิดแข็งแรง
    • ที่ใส่น้ำและอาหาร -- คุณต้องเปลี่ยนน้ำและอาหารใหม่ให้แฮมสเตอร์ทุกวัน แฮมสเตอร์จะกินน้ำจากขวดน้ำได้สะดวกกว่า ข้อดีก็คือช่วยประหยัดเนื้อที่ได้ด้วย
    • มีอะไรไว้ให้เคี้ยวเล่น -- ฟันของสัตว์ฟันแทะจะงอกยาวออกมาเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด เว้นแต่จะมีอะไรให้บดแทะ พวกของขบเคี้ยวที่คุณเลือกให้แฮมสเตอร์ต้องปลอดภัย (พวกแท่งของเล่นสำหรับไว้ให้แฮมสเตอร์แทะโดยเฉพาะ หาซื้อได้ตามร้านขายสัตว์เลี้ยงทั่วไป) จุดนี้ถือว่าสำคัญมากเลยสำหรับแฮมสเตอร์
    • วัสดุทำรัง -- แฮมสเตอร์ชอบเจาะโพรง และมีอะไรไว้ให้พักผ่อนหย่อนใจ ให้คุณใช้ขี้เลื่อยไม้ญี่ปุ่น (aspen) หรือวัสดุนุ่มๆ อื่นๆ มาทำรังแสนสุขให้สมาชิกครอบครัวตัวใหม่ของคุณ อย่าพยายามใช้พวกไม้สน cedar หรือ pine wood เพราะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของแฮมสเตอร์
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าจะหาวงล้อให้แฮมสเตอร์วิ่งเล่นออกกำลังกาย พยายามอย่าเลือกที่เป็นซี่ๆ เพราะแฮมสเตอร์จะเข้าไปติดได้
  • เล่นกับแฮมสเตอร์บ่อยๆ จะได้สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
  • ตอนที่จะไปรับแฮมสเตอร์กลับมาที่บ้าน อย่าลืมเตรียมกรงเดินทางที่ทำรังและใส่อาหารเตรียมไว้แล้วไปด้วย
  • กำมือแล้วยื่นให้แฮมสเตอร์ดม จากนั้นค่อยอุ้มแฮมสเตอร์ขึ้นมาอย่างเบามือ
  • อย่าอยู่ๆ ขยับตัวปุบปับ เพราะเดี๋ยวแฮมสเตอร์จะกลัวจนหนีไปหรือข่วนคุณเอาได้
  • ตอนเลือกแฮมสเตอร์ อย่าลืมเช็คเพศให้แน่นอนก่อนล่ะ
  • ก่อนรับแฮมสเตอร์จากร้านกลับมาบ้าน ควรให้แฮมสเตอร์ได้ขับถ่ายเรียบร้อยซะก่อน
  • ถ้าหาคนที่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงแฮมสเตอร์มาก่อนไปเป็นเพื่อนด้วยก็จะดีมาก
  • ถ้าไม่ได้ซื้อตามร้าน จะลองหาแฮมสเตอร์มาอุปการะก็ได้ ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ตามอินเทอร์เน็ตมีเยอะแยะไป
  • ตอนไปรับแฮมสเตอร์ พยายามแวะไปตอนบ่ายๆ เพราะแฮมสเตอร์จะได้ตื่นตัวกว่า
  • เวลาเอาแฮมสเตอร์ออกมาข้างนอก พยายามใส่ไว้ในลูกบอลแฮมสเตอร์หรือในกรง แบบนี้แฮมสเตอร์จะมีความสุขและตื่นเต้นเร้าใจกว่า
  • เวลาหยิบจับแฮมสเตอร์ต้องระวังให้มากๆ ไม่งั้นเดี๋ยวแฮมสเตอร์จะกลัวจนพาลไม่เชื่อใจคุณไปเลย
โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าอยู่ๆ พฤติกรรมของแฮมสเตอร์ก็เปลี่ยนไป ให้ลองพาไปหาหมอ เพราะอาจจะป่วยได้
  • แฮมสเตอร์ Dwarf บางทีก็กัดได้กัดดี เพราะงั้นมือใหม่เริ่มจากเลี้ยงแฮมสเตอร์ Syrian ก่อนดีกว่า เว้นแต่คุณชอบอะไรที่มันท้าทาย ถ้าคิดว่าแฮมสเตอร์กัดสักแผลสองแผลไม่เห็นเป็นไรละก็ เชิญเลือกแฮมสเตอร์ dwarf ตามสะดวก แฮมสเตอร์บางตัวอาจกัดมากหน่อยช่วงแรกๆ แต่พอเริ่มชินกับคุณก็ไม่กัดแล้วล่ะ
  • แฮมสเตอร์ที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าวหงุดหงิดได้ ถ้าคุณว่างแค่วันละ 1 ชั่วโมงละก็ อย่าเสี่ยงเอาแฮมสเตอร์มาเลี้ยงจะดีกว่า
  • ถ้าคุณเลือกแฮมสเตอร์ dwarf ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงไว้ในกรงไหนก็ได้ คุณต้องหากรงสำหรับแฮมสเตอร์ dwarf โดยเฉพาะ จริงๆ แล้วทุกสายพันธุ์ก็ควรมีกรงที่แยกเฉพาะไปเลย
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • กรงแฮมสเตอร์ (จะเป็นกรงพลาสติก ตู้กระจกใส หรือเป็นลูกกรงซี่ๆ ก็ได้)
  • วัสดุทำรังและขี้เลื่อย (อย่าใช้ฟาง หญ้าแห้ง และไม้สนจำพวก cedar หรือ pine)
  • บ้านแฮมสเตอร์
  • ขวดน้ำ (อย่าใช้ชาม เดี๋ยวจะคว่ำเอาเปล่าๆ)
  • อาหารแฮมสเตอร์
  • ชามอาหาร
  • ท่อวิ่งเล่นและของเล่นไม้อื่นๆ
  • ลูกบอลแฮมสเตอร์ (ถ้าเป็นแฮมสเตอร์ dwarf ก็ต้องเลือกลูกจิ๋วๆ หน่อย)
  • Mineral stone หรือเกลือก้อน
  • วิตามินเสริม
  • วงล้อสำหรับวิ่งออกกำลังกาย
  • แท่งขบเคี้ยวสำหรับแฮมสเตอร์
  • ขนมแฮมสเตอร์
  • ยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดกรง
  • อาหารเสริม Probiotic (เฉพาะแฮมสเตอร์ dwarf)

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 20,249 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา