ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

วันดีคืนดีเกิดปวดหัวขึ้นมา ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะปวดแค่พอรำคาญ หรือปวดเหมือนหัวจะแตกก็ตาม คุณแก้ปวดหัวได้หลายวิธี แล้วแต่ลักษณะการปวด บทความวิกิฮาวนี้มีแนะนำทั้งวิธีแก้ปวดหัวเฉพาะหน้า และวิธีป้องกันไม่ให้ปวดหัวในระยะยาว ก่อนที่อาการปวดของคุณจะรุนแรงจนทนไม่ไหว เกินควบคุม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

แก้ปวดหัวเฉพาะหน้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาการปวดหัวมีหลายแบบ สำคัญมากว่าต้องหาให้ได้ ว่าคุณปวดหัวแบบไหน จะได้เลือกวิธีแก้ไขหรือรักษาถูกต้อง ให้พิจารณาจากความรุนแรงและระยะเวลาที่ปวดหัว รวมถึงสังเกตว่าปวดตรงไหน ถึงจะบอกได้ว่าเป็นการปวดหัวชนิดใด ลักษณะการปวดหัวที่พบบ่อยก็คือ
    • ปวดหัวเครียด : ลักษณะอาการคือปวดหัวอ่อนๆ ถึงปานกลางทั้งหัว เน้นหนักแถวหน้าผากหรือท้ายทอย ปวดหัวเครียดมักมีอาการนานหลายชั่วโมง
    • ปวดไซนัส : ลักษณะอาการคือปวดลึกๆ ในหน้า แถวสันจมูกหรือแก้มตรงใต้ตา มักควบคู่ไปกับอาการคัดจมูก ปวดหัวไซนัสมักเป็นนานหลายชั่วโมง ตามฤดูกาลที่เกิดอาการแพ้
    • ปวดไมเกรน : ลักษณะอาการคือปวดปานกลางไปจนถึงปวดมาก ควบคู่ไปกับอาการคลื่นไส้และไวต่อแสง/เสียง เน้นหนักที่ขมับ ดวงตา และท้ายทอย โดยจะปวดนานเป็นวันๆ หรือนานกว่านั้น [1]
    • ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache) : ลักษณะอาการคือปวดแปลบรอบดวงตาข้างหนึ่ง หรือที่หัวข้างใดข้างหนึ่ง ปวดหัวแบบคลัสเตอร์จะปวดเรื่อยๆ ในระยะเวลาหลายอาทิตย์หรือเป็นเดือนๆ
  2. ยาแก้ปวดส่วนใหญ่กว่าจะออกฤทธิ์ต้องรอ 1 - 2 ชั่วโมง เพราะงั้นให้รีบกินทันทีที่เริ่มปวดหัว [2] การแก้ปวดหัวต้องลงมือเร็วที่สุด ถึงจะปวดหัวแทบระเบิด แต่ยาอย่างไอบูโพรเฟน อะเซตามิโนเฟน นาพรอกเซน แอสไพริน กระทั่งสเปรย์แคปไซซินฉีดจมูก ถ้ากินหรือใช้เร็วพอ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้
    • ถ้ามีโรคประจำตัวหรืออยู่ระหว่างการรักษาตัว จะกินยาอะไรต้องปรึกษาคุณหมอซะก่อน และถ้าซื้อยากินเอง ห้ามกินเกินขนาดหรือกินบ่อยกว่าที่ฉลากแนะนำ
    • ถ้ากินยาแก้ปวดเองทุกวัน จะเกิด Medication Overuse Syndrome หรืออาการจากการกินยาเกินขนาดได้ คือกินยาทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะกลัวจะปวดหัว เลยกินกันไว้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด จนเกิด ผลเสีย คือปวดหัวถี่กว่าเดิม เรียกว่า "rebound headaches" ถ้ารู้ตัวว่ากินยาแก้ปวดเกินอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ให้รีบไปหาหมอจะดีกว่า
  3. ถ้าปวดหัวควบคู่ไปกับอาการอื่นๆ เป็นไปได้ว่าเป็นสัญญาณบอกโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ไข้สมองอักเสบ (encephalitis) และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ต้องรีบไปหาหมอ ตรงไปแผนกฉุกเฉิน หรือเรียกรถพยาบาล ถ้าปวดหัวแล้วมีอาการดังต่อไปนี้ [3]
    • มีปัญหาทางการมอง เดิน หรือพูดคุย
    • คอแข็ง
    • คลื่นไส้และ/หรืออาเจียน
    • มีไข้สูง (38 - 40 องศาเซลเซียส)
    • คล้ายจะเป็นลม
    • เหมือนจะเป็นอัมพาตครึ่งซีก
    • อ่อนแรงผิดปกติ มีอาการชา หรือขยับตัวไม่ได้
    • และต้องไปหาหมอเช่นกัน ถ้าปวดหัวบ่อย หรือปวดหัวรุนแรง กินยาแล้วไม่หาย หรือร่างกายเกิดอาการผิดปกติใดๆ
  4. ถึงคาเฟอีน (รวมถึงในยาแก้ปวดที่ขายกัน) จะช่วยแก้ปวดหัวได้ในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นอาจทำให้ปวดหัวหนักกว่าเดิม เพราะทำให้เกิดอาการร่างกายต้องการคาเฟอีนหรือต้องการหนักกว่าเดิม ช่วงที่กำลังปวดหัว ระดับ adenosine ในกระแสเลือดจะสูงขึ้น และคาเฟอีนจะไปบล็อกตัวรับ adenosine
    • ถ้าปวดหัวบ่อยๆ แนะนำให้งดคาเฟอีนไปเลยจะดีที่สุด
    • ถ้าปกติค่อนข้างติดคาเฟอีน (มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณกาแฟ 2 แก้ว) แล้วอยู่ๆ ก็หักดิบ มักมีผลข้างเคียงคือปวดหัว [4] ให้ค่อยๆ เอาชนะภาวะถอนคาเฟอีนไป ถ้าดื่มคาเฟอีนเยอะแล้วกลัวจะเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว

    คำเตือน: พยายามใช้คาเฟอีนแก้ปวดหัว ไม่เกินอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ถ้าบ่อยกว่านั้น ร่างกายจะเริ่มติดคาเฟอีน โดยเฉพาะคนที่ปวดหัวไมเกรน

  5. ถ้าร่างกายขาดน้ำ ก็เปิดอาการปวดหัวได้ โดยเฉพาะถ้าหมู่นี้มีอาการอาเจียนหรือเมาค้างด้วย [5] ให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ ทันทีที่เริ่มปวดหัว และจิบต่อไปเรื่อยๆ ตลอดวัน น่าจะช่วยคลายปวดได้ในที่สุด
    • ผู้ชายให้ดื่มน้ำวันละ 13 แก้ว (3 ลิตร) ขึ้นไป ส่วนผู้หญิงให้ดื่มน้ำวันละ 9 แก้ว (2 ลิตรกว่าๆ) ขึ้นไป ถ้าปกติอยู่ไม่นิ่ง ออกกำลังกายบ่อย อากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา มีโรคที่ทำให้อาเจียนหรือท้องเสีย หรือกำลังอยู่ในช่วงให้นม ก็ต้องดื่มมากกว่านั้น [6]
    • อีกวิธีช่วยคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน ก็คืออ้างอิงจากน้ำหนักตัว ทุกวันให้ดื่มน้ำประมาณ 15 - 30 มล. (0.5 - 1 ออนซ์) ต่อน้ำหนักตัว 0.5 กก. (1 ปอนด์) [7]
    • อย่าดื่มน้ำเย็นจัดเกินไปถ้าปวดหัวอยู่ เพราะน้ำเย็นจัดหรือน้ำใส่น้ำแข็ง จะไปกระตุ้นให้ปวดหัวไมเกรนได้ในบางคน โดยเฉพาะถ้าปกติปวดหัวไมเกรนอยู่เรื่อยๆ [8] ถ้าดื่มน้ำอุณหภูมิห้องได้จะดีที่สุด
  6. ถ้าเป็นไปได้ ให้นอนพักผ่อนสัก 30 นาที ปิดม่าน มู่ลี่ ปิดไฟ และทำสมาธิ จดจ่อที่ลมหายใจ [9] เป็นการลดสิ่งเร้า ให้รู้สึกผ่อนคลาย ฟื้นตัว จะนอนเฉยๆ หลับไปเลย หรือแค่งีบครู่สั้นๆ ก็ได้
    • ถ้าจำเป็นต้องพักผ่อนโดยที่มีคนอื่นอยู่รอบข้าง ก็อธิบายไปว่าคุณปวดหัว ขอพักสักครู่ ให้เขาช่วยเงียบเสียง ขอความเป็นส่วนตัวสักพัก จะได้เข้าใจตรงกัน ไม่ถูกปลุกหรือรบกวนระหว่างพักผ่อน
    • เตียงหรือโซฟาต้องนอนสบาย มีอะไรรองหัวไว้ในท่าที่ไม่ทำให้คอตึงเกร็ง ถ้าคอเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งจนตึงหรือปวด ให้ปรับท่าทางให้คอและหัวอยู่ในระนาบเดียวกัน
    • หลีกเลี่ยงการพักผ่อนในห้องที่มีแสงไฟจ้าๆ ที่ไม่ใช่แสงธรรมชาติ เพราะอาจทำให้ปวดหัวหนักกว่าเดิม ถึงจะเป็นคนตาบอดก็ไม่แนะนำ [10] อาจจะต้องใส่ผ้าปิดตากันแสงไว้แทน
    • บางคนจะผ่อนคลายได้ต่อเมื่ออยู่ในห้องที่อากาศเย็นๆ บางคนก็ชอบห่มผ้าหนาๆ หรือชอบห้องที่อุ่นๆ หน่อย ไม่เปิดแอร์ ก็ต้องลองดูว่าบรรยากาศแบบไหนทำให้คุณผ่อนคลายได้มากที่สุด โดยเฉพาะตอนนอนหลับในแต่ละคืน
  7. การเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ [11] หรือจะออกกำลังกายแบบอื่น ที่เน้นการผ่อนคลาย คลายกล้ามเนื้อ เช่น โยคะท่าไม่ยาก หรือการทำสมาธิ ก็ช่วยได้เหมือนกัน
    • เริ่มฝึกการเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อ โดยเอนตัวลงนอนในท่าสบายๆ หลับตา แล้วหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ เริ่มฝึกกล้ามเนื้อจากบริเวณหน้าผาก ให้เกร็งกล้ามเนื้อกลุ่มนั้น 5 วินาที จากนั้นผ่อนคลาย จับความรู้สึกที่กล้ามเนื้อคลายตัวออก แล้วขยับขยายไปยังกล้ามเนื้อกลุ่มถัดไป
    • กลุ่มกล้ามเนื้อที่แนะนำให้เกร็งแล้วคลาย คือหน้าผาก, ดวงตาและจมูก, ริมฝีปาก แก้ม ขากรรไกร, มือ, แขน, ไหล่, หลัง, หน้าท้อง, สะโพกและบั้นท้าย, ต้นขา, เท้า และนิ้วเท้า
  8. ประคบเย็นที่หน้าผากและดวงตา ช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ลดการอักเสบและแก้ปวดหัวได้ โดยเฉพาะถ้าปวดบริเวณขมับหรือปวดไซนัส
    • เวลาประคบเย็น ให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น ใช้ประคบหน้าผาก ถ้าผ้าเริ่มอุ่น ให้เอากลับไปชุบน้ำเย็นจัดใหม่ทันที
    • หรือเอาผ้าขนหนูเปียกๆ ใส่ในถุงซิปล็อค แล้วเอาไปแช่ช่องฟรีซ 30 นาที เสร็จแล้วเอาออกมาประคบเย็นที่หน้าผากได้นานๆ ไม่ต้องชุบน้ำเพิ่มบ่อยๆ [12]

    เคล็ดลับ: ถ้า ปวดหัวเครียด จากความเครียด วิตกกังวล หรือปวดกล้ามเนื้อ ให้ ประคบร้อน จะแก้ปวดได้เห็นผลกว่าประคบเย็น [13]

  9. เหมาะกับคนปวดหัวเครียด การนวดช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี คลายความตึงเครียด เลยบรรเทาอาการปวดหัวได้ นอกจากนี้ปวดหัวเครียด ยังเกิดได้เพราะหลายสาเหตุ ไม่ใช่แค่ความเครียด เช่น ผิดท่าทาง กัดกราม ไปจนถึงกล้ามเนื้อฉีก ความวิตกกังวลและซึมเศร้าก็กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ด้วย [14]
    • ถ้าจะนวดขมับ ให้เอานิ้วโป้งกดจุดที่นิ่มๆ ตรงกลางระหว่างใบหูกับหางตา เอานิ้วโป้งแตะขมับแล้วออกแรงกดลงไปตรงๆ จากนั้นนวดวนเป็นวงเล็กๆ จากขมับไปจนถึงกลางหน้าผาก [15]
    • ค่อยๆ นวดสันจมูก ก็ช่วยแก้ปวดหัวไซนัสและไมเกรนได้
    • อาบน้ำร้อน แล้วนวดหนังศีรษะนาวๆ ตอนสระผม หรือเทน้ำมันมะพร้าวหรืออาร์แกนออยล์ใส่นิ้วเล็กน้อย ใช้นวดหนังศีรษะได้เลย
  10. คอและไหล่ที่ตึงเกร็ง ทำให้ปวดหัวได้เหมือนกัน [16] อาการปวดหัวเครียดเป็นอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด แต่ก็แก้ได้ง่ายที่สุดเช่นกัน
    • เวลาจะนวดคอและไหล่ ให้นั่งลง เอามือจับไหล่ โดยที่ปลายนิ้วชี้ไปทางสะบัก หายใจออก อย่าเกร็งคอ ปล่อยตามสบาย ถ่ายน้ำหนักหัวไปด้านหลัง
    • ใช้นิ้วบีบนวด ออกแรงกดที่กล้ามเนื้อไหล่ โดยกดลงไปลึกๆ นวดวนเป็นวงเล็กๆ ขยับไปเรื่อยๆ ทางท้ายทอย
    • ประสานมือที่ท้ายทอย ก้มหน้าเล็กน้อย ใช้น้ำหนักของแขนถ่วงเล็กน้อย ค่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อคอและไหล่

    วิธีทางเลือก: แทนที่จะนวดคอกับไหล่ ลองหาลูกเทนนิส หรือลูกแร็กเกตมาสัก 2 ลูก เอาใส่ถุงเท้า จากนั้น นอนราบบนพื้น ใช้ลูกบอล 2 ลูกที่ว่า รองที่ท้ายทอย แล้วผ่อนคลาย ตอนแรกอาจจะรู้สึกแน่นไซนัสหรือนอนไม่สบาย แต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง

  11. ปกติการยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อคอ ใช้บรรเทาอาการปวดหัวเรื้อรังในระยะยาว [17] แต่จริงๆ ก็ช่วยแก้ปวดเฉพาะหน้าได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อคอง่ายๆ ให้ได้ลองทำกัน [18]
    • ค่อยๆ ก้มหน้า เอาคางชิดอก อย่างอไหล่ จะรู้สึกตึงๆ ที่ต้นคอด้านหลัง เสร็จแล้วเงยหน้ากลับมาท่าตั้งต้น
    • ค่อยๆ หันหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง ค้างไว้ 15 - 30 วินาที กลับไปหน้าตรง แล้วทำซ้ำ คราวนี้หันไปอีกทาง แล้วกลับไปท่าตั้งต้น
    • ค่อยๆ เอียงคอ เหมือนจะให้หูแตะไหล่ (ระวังอย่ายกไหล่) ค้างไว้ 15 - 30 วินาที กลับมาหน้าตรง แล้วเอียงคอไปหาไหล่อีกข้าง ค้างไว้ 15 - 30 วินาทีตามเดิม
    • ระวังอย่ายืดเหยียดเกินองศาจนเจ็บ และทำซ้ำตามสมควร
  12. กดจุดแล้วส่วนใหญ่ช่วยคลายเส้น แก้ปวดหัวได้ โดยเฉพาะคนที่ปวดหัวเพราะกล้ามเนื้อตึงเกร็งหรือความเครียด [19] ถ้ากดถูกจุด ที่คอ ไหล่ และมือ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้
    • หลังหู: หากระดูก mastoid หลังหู แล้วคลำไปตามแนวโค้งของคอ จนถึงจุดที่กล้ามเนื้อยึดกับกะโหลก ให้กดจุดนี้ลึกลงไปตรงๆ 4 - 5 วินาที ระหว่างนั้นหายใจเข้า-ออกลึกๆ [20]
    • ไหล่: หาจุดที่กล้ามเนื้อไหล่ ตรงกลางระหว่างคอกับขอบไหล่ แล้วใช้มือฝั่งตรงข้าม (มือขวาจับไหล่ซ้าย มือซ้ายจับไหล่ขวา) บีบกล้ามเนื้อไหล่ ใช้นิ้วชี้กดค้างไว้ 4 - 5 วินาที [21]
    • มือ: นวดส่วนที่นุ่มๆ ของมือ ตรงกลางระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง โดยกดหนักๆ แล้วนวดวน 4 - 5 วินาที แต่ไม่ควรทำระหว่างตั้งครรภ์ เพราะกระตุ้นให้คลอดก่อนกำหนดได้ [22]
    • หลัง: เอาลูกปิงปองใส่ในถุงเท้า แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ (หรือเบาะนั่งในรถ) ให้ลูกปิงปองอยู่ระหว่างหลังกับพนักพิง เพื่อใช้กดจุด
  13. คนทั่วโลกต่างก็มีเทคนิคดีๆ ไว้เบี่ยงเบนความสนใจตัวเองไปจากความเจ็บปวด ถ้ากำลังปวดหัวได้ที่ ก็ไม่เสียหายที่จะลองใช้ทางแก้ใหม่ๆ ดู ขอแค่เลือกวิธีที่ไม่แหวกแนวเกินไปสำหรับคุณ วิธีผ่อนคลายที่คนนิยมกันก็เช่น
    • นั่งสมาธิ
    • สวดมนต์
    • หายใจเข้า-ออกลึกๆ
    • จินตนาการที่สถานที่หรือเรื่องที่ชอบ
    • บำบัดด้วย binaural beats คือฟัง 2 คลื่นที่มีความถี่แตกต่างกัน
    • ทำใจให้สงบ ถ้าผ่อนคลายจนหลับไปได้ยิ่งดี
  14. ถึงจะเป็นแค่การหายใจเข้า-ออก แต่ถ้าทำถูกวิธีก็ช่วยได้ บางคนอาจจะมองว่าแค่หายใจจะช่วยอะไร แต่การผ่อนคลาย หายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ จริงๆ แล้วเป็นการฝึกสมาธิจดจ่อ แค่หายใจเข้า-ออกลึกๆ ก็คลายความตึงเครียด ให้คุณสบายตัว ให้ปวดหัวได้ในไม่กี่นาที [23]
    • ก่อนจะฝึกหายใจ ให้หาที่มืด เงียบๆ อากาศเย็นสบาย ทำตัวให้สบายที่สุด จากนั้นนอนราบหรือนั่งในท่าสบายๆ เสื้อผ้าคับแน่นให้คลายออก หายใจเข้าช้าๆ ทางจมูก จะรู้สึกว่าท้องป่องขึ้น ตอนสูดลมเข้าปอด ค้างไว้ 2 - 3 วินาที จากนั้นหายใจออกช้าๆ ทางปาก จนลมหมดปอด [24]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ใช้วิธีธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีบางวิธีธรรมชาติที่ช่วยแก้ปวดหัวได้ แต่ต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ ที่สำคัญคือพิจารณาจากสุขภาพของคุณเองด้วย (เช่น ห้ามใช้วิธีธรรมชาติโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ถ้าตั้งครรภ์หรือเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรอยู่)
    • วิธีธรรมชาติต่างๆ ยังไม่ค่อยผ่านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ องค์การอาหารและยารวมยังไม่รองรับ และขาดใบอนุญาตต่างๆ
  2. เลือกสมุนไพรในรูปอาหารเสริมที่รับรองมาตรฐานแล้ว โดยมี active ingredient เพียงพอในแต่ละโดส มีสมุนไพรหลายตัวที่มีสรรพคุณแก้ปวดหัวได้ [25] แต่บางตัวก็ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มารับรองผลแน่ชัด ยังต้องรอการวิจัยเพิ่มเติมต่อไป ถ้าจะใช้แก้ปวดหัว ต้องใช้อย่างมีวิจารณญาณ และหยุดใช้ทันที ถ้ามีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ [26]

    สมุนไพรแนะนำ
    Butterbur: ใช้ลดความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรน ถ้ากินบัตเตอร์เบอร์ในรูปของอาหารเสริม (เพราะตัวพืชเองมีส่วนที่เป็นพิษ ซึ่งถูกกำจัดไปตอนแปรรูปเป็นแคปซูล) [27]
    ขิง: นอกจากแก้ปวดหัวแล้ว ขิงยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยเวลาปวดหัวรุนแรง [28]
    ผักชี: เมล็ดผักชีใช้บรรเทาอาการอักเสบอันเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวได้ [29]
    ชา: ชงชาสักถ้วยจาก passion flower (ดอกกะทกรก), โรสแมรี่ หลิว หรือลาเวนเดอร์ ก็ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ [30]

  3. วิธีเตรียมอโรมาเธอราพีจะต่างกันไปพอสมควร แต่น้ำมันหอมระเหยส่วนใหญ่ที่ใช้แก้ปวดหัวจะเป็น น้ำมันลาเวนเดอร์ สวีทมาร์จอรัม และคาโมไมล์ โดยใช้นวดคอ ผสมน้ำอาบ หรือสูดดม [31]
    • สำหรับแก้ปวด ให้ผสมน้ำมันโรสแมรี่ 5 หยด น้ำมันจันทน์เทศ 5 หยด น้ำมันลาเวนเดอร์ 5 หยดในน้ำมันตัวพา (carrier oil) อย่างน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว จากนั้นใช้นวดคอและหลังส่วนบน
  4. ขาดอาหารก็ทำให้ปวดหัวได้ ต้องกินอาหารเป็นเวลาในปริมาณที่เพียงพอ อาหารและเครื่องดื่มบางอย่างกระตุ้นให้ปวดหัวได้ (ตัวการที่พบบ่อยคือไวน์แดง ผงชูรส และช็อคโกแลต) [32] จะกินอะไรต้องระวัง อย่ากินอาหารที่รู้ว่าทำคุณปวดหัวบ่อยๆ และอาหารบางอย่าง กินแล้วแก้ปวดหัวได้เช่นกัน

    เคล็ดลับ: คุณแก้ปวดหัวได้โดย กินอาหารที่มีแมกนีเซียม เช่น อัลมอนด์ กล้วย มะม่วงหิมพานต์ และอะโวคาโด อาหารเผ็ดร้อน เช่น พริกหวาน พริกขี้หนู และ อาหารที่อุดมสารอาหาร อย่างผักใบเขียวเข้ม เช่น ปวยเล้ง [33]

    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ให้กลับมาปวดหัว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้ามี "กิจวัตรการนอน" ที่ดี นอนหลับสนิทเพียงพอ ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นโดยรวม ไม่ปวดหัวบ่อยๆ เหมือนเดิม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ แนะนำให้นอนหลับวันละ 7 - 8 ชั่วโมงขึ้นไป [34] ถ้ามีปัญหาการนอน ให้ลองใช้เทคนิคต่อไปนี้ดู
    • ลด "การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" ก่อนเข้านอน
    • เตียงเอาไว้จู๋จี๋กับคนรู้ใจ และนอนหลับพักผ่อนเท่านั้น
    • พยายามงดคาเฟอีนหลังเที่ยงเป็นต้นไป
    • ลดแสงในห้องเหลือแค่สลัวๆ ให้ร่างกายได้ "ค่อยๆ ผ่อนคลาย" เตรียมตัวเข้านอน
  2. [35] ถึงน้ำหอมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่แต่งกลิ่น เช่น สบู่ และโลชั่น จะช่วยให้ตัวเราหอมสะอาด แต่ก็อาจทำคุณปวดหัวได้ ให้ลองเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่แต่งกลิ่นหรือผสมน้ำหอม รวมถึงขอให้คนใกล้ตัวทำแบบเดียวกัน อาจถึงขั้นเอาน้ำหอมปรับอากาศออกจากห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน หรือในรถด้วย
  3. ถึงจะไม่ได้แก้ปวดหัวเฉพาะหน้า แต่ถ้าปรับเปลี่ยนอาหารการกินในระยะยาว จะช่วยแก้ต้นตอของอาการปวดหัวได้ ถ้าไม่แน่ใจว่าควรเริ่มตรงไหน ลองปรึกษาคุณหมอหรือนักโภชนาการดู [36]
    • เช็คว่าตัวเองมีอาการแพ้อาหารไหม ถ้ามี ให้ตัดอาหารชนิดนั้นออกจากแต่ละมื้อของวัน
    • ลดปริมาณคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนไปกระตุ้นให้ปวดหัวได้ งดคาเฟอีนแรกๆ อาจจะดูไม่ค่อยเห็นผล เพราะบางคนก็ปวดหัว แต่จะเป็นแค่ชั่วคราว พอผ่านระยะนี้ไปได้ จะอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    • พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่กระตุ้นให้ปวดหัว โดยเฉพาะอาหารที่มีผงชูรส ไนไตรต์ และไนเตรท (เนื้อหมัก) ไทรามีน (ชีสบ่ม ไวน์ เบียร์ และเนื้อแปรรูป) ซัลไฟต์ (ผลไม้อบแห้ง ซอสต่างๆ และไวน์) และซาลิไซเลต (ชา น้ำส้มสายชู และผลไม้) [37]
  4. ถ้ากระดูกหลังและคอคด หรือมีปัญหาเรื่องร่างกายผิดรูป กล้ามเนื้อตึงเกร็ง ก็ต้องแก้ไขก่อน เพราะเป็นต้นตอของอาการเจ็บปวด ถึงปกติเราจะบรรเทาอาการผิดปกติในระบบกล้ามเนื้อและกระดูกได้บางส่วน โดยออกกำลังกาย เช่น ยืดเหยียด โยคะ และพิลาทิส แต่แนะนำให้ไปหาคุณหมอเฉพาะทางร่วมด้วย หรือนักกายภาพบำบัด และนักจัดกระดูก (chiropractor) เพื่อประเมินสภาพร่างกายให้รักษาอาการได้เห็นผล
  5. โยคะเน้นลดอาการตึงเกร็ง เลยแก้หรือบรรเทาอาการปวดหัวได้ และป้องกันไม่ให้กลับมาปวดหัวอีกบ่อยๆ ไม่ต้องเล่นท่ายาก แค่หมุนคอหรือทำโยคะผ่อนคลายก็เพียงพอแล้ว
  6. บางทีท่านั่งทำงานหรือใช้คอมของคุณ ก็เป็นตัวการทำคุณปวดหัวได้ ต้องปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสม รวมถึงระยะห่างระหว่างตัวคุณและโต๊ะ โดยอ้างอิงจากสรีระของคุณ [38]
    • คอต้องไม่ก้มหรือเงยตอนนั่งทำงาน เรามักจะเผลอตัวห่อไหล่ หลังงอ จนคอยื่นไปข้างหน้าเหมือนเต่า ตอนนั่งทำงานหน้าคอมหรือใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นานๆ ถ้ารู้ตัวว่าชอบนั่งคอยื่น ให้ขยับหน้าจอคอม เพื่อให้หน้ามองตรง
    • พักจากการทำงานหรือใช้คอมเป็นระยะ บริหารสายตาโดยมองใกล้-ไกลสลับกันไปสัก 2 - 3 นาที ต่อการทำงานทุกชั่วโมง รวมถึงยืดเหยียดร่างกายด้วยท่าง่ายๆ
  7. มีหลายโรคที่ทำให้คุณปวดหัวได้ ถ้ายังปวดหัวจนเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แนะนำให้คุณหมอตรวจวินิจฉัยว่าอะไรเป็นต้นตออาการปวดหัวของคุณ เพื่อทำการรักษาต่อไป

    คุณหมอเฉพาะทาง:
    หมอฟัน ถ้าปกตินอนกัดฟัน หรือขากรรไกรไม่สบกัน ฟันผุ มีฝี หรือติดเชื้อหลังถอนฟัน ก็ทำให้ปวดหัวได้ทั้งนั้น
    หมอตา ถ้าตาสั้น เอียง ยาวแล้วไม่ได้ใส่แว่น หรือแว่นที่ใส่ไม่ตรงตามค่าสายตา ก็ทำให้ตาล้าจนปวดหัวได้เหมือนกัน
    หมอหู คอ จมูก ถ้ามีอาการติดเชื้อ เยื่อแก้วหูทะลุ หรือโรคอื่นๆ เกี่ยวกับหู คอ จมูก ที่ไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด ก็ทำให้ปวดหัวได้

  8. ใจเย็นๆ . ถ้าโมโห หงุดหงิด รำคาญใจ เท่ากับกล้ามเนื้อตึงเกร็งสะสม จนถึงจุดที่คลี่คลายเองไม่ได้ เกิดอาการปวดหัว ทั้งความวิตกกังวล ความเครียด และซึมเศร้า ต่างก็ทำให้คุณปวดหัวได้ทั้งนั้น บางทีอาจจะต้องเข้ารับการบำบัด ปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด เพื่อหาทางจัดการอารมณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของคุณ [39]
    • ถ้าปกติชอบเผลอกัดกรามหรือเคี้ยวฟัน ต้องพยายามผ่อนคลายใบหน้า อาจจะหาวเพื่อลดกล้ามเนื้อใบหน้าตึงเกร็งก็ได้
    • ฝึกเทคนิคคลายกล้ามเนื้อก่อนเรื่องเครียด เช่น การสอบ เข้าพิธีแต่งงาน สอบใบขับขี่ และอื่นๆ
  9. เพื่อให้เห็นรูปแบบของพฤติกรรมทำคุณปวดหัว เช่น หลังทำงานเครียดมาทั้งวัน สื่อสารกับใครไม่เข้าใจ หลังกินอาหารบางอย่าง ช่วงเริ่มเป็นเมนส์ และอื่นๆ พอรู้แล้วว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้คุณปวดหัว ก็หาทางแก้ไขป้องกันได้ก่อนจะทันปวดหัว
    • แถมบันทึกนี้ยังเป็นประโยชน์มากต่อการวินิจฉัยของคุณหมอ กรณีที่คุณปวดหัวบ่อยๆ ไปหาหมอเมื่อไหร่ก็อย่าลืมเอาบันทึกนี้ไปด้วย
  10. ถ้าปกติสูบจัด ก็เท่ากับกระตุ้นให้ปวดหัวบ่อย เพราะควันบุหรี่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการปวดหัว เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ ส่วนตัวบุหรี่เองก็มีสารอย่างนิโคติน ที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว จนเกิดอาการปวดหัว แถมทำให้ตับย่อยยาแก้ปวดหัวไม่ได้ด้วย [40]
    • เลิกสูบบุหรี่ แล้วทำให้ปวดหัวน้อยลงได้ โดยเฉพาะถ้าปกติ “ปวดหัวแบบคลัสเตอร์” คือปวดรุนแรงเป็นชุดๆ ตลอดวัน [41] มีหลายงานวิจัยชี้ว่าคนที่สูบบุหรี่น้อยลง จะช่วยให้ความถี่ในการปวดหัว น้อยลงไปครึ่งหนึ่งเลย
    • บางทีก็ปวดหัวเพราะควันบุหรี่มือสอง โดยเฉพาะถ้าแพ้หรือไวต่อควันบุหรี่ ถ้าคุณเป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่ต้องอยู่ท่ามกลางคนสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็อาจจะปวดหัวเพราะสาเหตุนี้
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ป้องกันอาการปวดหัวแบบต่างๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ส่วนใหญ่คนจะ ปวดหัวเครียด หรือเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่อันตรายอะไร ถึงบางทีจะปวดมากจนทำอะไรลำบากก็ตาม แต่ถ้าปวดหัวถี่มาก ปวดหัวรุนแรง ปวดหัวแบบกินยาก็ไม่หาย หรือปวดหัวแล้วมีอาการอื่นร่วมด้วย ต้องรีบไปหาหมอทันที เพื่อหาสาเหตุและรักษาต่อไป
    • สาเหตุของอาการปวดหัวกว้างมาก เลยสำคัญว่าต้องหาให้ได้ว่าปวดหัวเพราะอะไร เพื่อให้รักษาถูกจุดจนหายขาดต่อไป
  2. ปวดหัวเครียดเป็นลักษณะอาการที่พบบ่อยที่สุด จะปวดหัวไม่รุนแรงเท่าแบบอื่น แต่ปวดทีเป็นชั่วโมงกระทั่งเป็นวันๆ ปวดหัวเครียดมักเกิดจากอาการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ เหมือนมีอะไรคาดรัดที่ตาและหน้าผาก [42]
    • อาจจะปวดหัวตื้อๆ หรือปวดเป็นระยะ ถ้าไม่แก้ที่ต้นตอ ตามมาด้วยรู้สึกไม่ค่อยดี โดยเฉพาะถ้ามีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าด้วย อาการปวดหัวลักษณะนี้ ถ้ากินยาแก้ปวด พักผ่อน และแก้ที่ต้นตอ แล้วส่วนใหญ่จะหาย [43]
    • การนวด นวดกดจุด โยคะ และเทคนิคคลายเครียดต่างๆ ช่วยป้องกันอาการปวดหัวเครียดได้ [44]
    • "ปรึกษานักจิตบำบัด" พูดคุยกันเรื่องที่คุณเครียดและวิตกกังวล ก็ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหัวเครียดได้ [45]
  3. ป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนด้วยการออกกำลังกาย. ไมเกรนอาจเกิดเพราะพันธุกรรม แม้ว่านักวิจัยจะยังชี้ชัดไม่ได้ก็ตาม ว่าอะไรทำให้เกิดไมเกรน [46] เวลาคุณปวดหัวไมเกรน จะปวดตุบๆ บางทีก็คลื่นไส้รุนแรง และ อาเจียน แถมอาจมีปัญหาทางการมองที่เรียกว่า "ออร่า" คือเห็นดาว แสงกะพริบ หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน
    • บางทีก็ปวดหัวไมเกรนแล้วเกิดอาการชาหรืออ่อนแรง ไมเกรนเกิดได้ทั้งจากอาหาร ตัวก่อความเครียด ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อุบัติเหตุ การใช้ยา กระทั่งสิ่งเร้าอื่นๆ ที่ระบุไม่ได้ ถ้าปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ ต้องหาหมอเพื่อรับยาหรือการรักษาต่อไป [47]
    • การออกกำลังกายทั่วไป โดยเฉพาะแอโรบิก ช่วยป้องกันการปวดหัวไมเกรนได้ เพราะไปคลายความตึงเครียดของร่างกาย บางทีก็ปวดหัวไมเกรนเพราะโรคอ้วน เพราะงั้นถ้าออกกำลังกายก็ช่วยป้องกันไมเกรนได้ เพราะผอมลง หรือคงน้ำหนักไว้ไม่ให้เกินเกณฑ์ [48]
    • ค่อยๆ วอร์มร่างกายไปก่อนออกกำลังกาย ถ้าอยู่ๆ มาออกแรงหนักๆ ออกท่าทางเยอะๆ โดยไม่วอร์มร่างกาย ก็เป็นสาเหตุของไมเกรนได้ กระทั่งกิจกรรมเข้าจังหวะบนเตียง ถ้าฉุกละหุกรุนแรง ก็อาจทำคุณปวดหัวไมเกรนได้เช่นกัน [49]
    • ปวดหัวไมเกรนจะดีขึ้นได้ ถ้าดื่มน้ำให้มากขึ้น และกินอาหารครบหมู่ในปริมาณที่เหมาะสม
  4. แก้ปวดหัวคลัสเตอร์โดยงดแอลกอฮอล์และนิโคติน. จริงๆ แล้วนักวิจัยก็ยังไม่รู้แน่ชัด ว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ เพราะงั้นเราทำได้แค่แก้ไขหลังปวดหัวคลัสเตอร์ขึ้นมาครั้งแรก [50] ปวดหัวแบบคลัสเตอร์เป็นหนึ่งในอาการปวดหัวที่ทรมานที่สุด โดยจะปวดรุนแรงบริเวณดวงตา (ที่หัวข้างใดข้างหนึ่ง) รวมถึงหนังตาตก มีน้ำมูก และตาฉ่ำ [51]
    • ถ้าปวดหัวแบบนี้บ่อยๆ อย่านิ่งนอนใจ ให้รีบไปหาหมอเพื่อตรวจรักษาโดยด่วน ต่อไปนี้คือยาและการรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการได้ [52]
    • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และนิโคติน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการปวดหัวคลัสเตอร์ในอนาคตได้ แต่ใช้ตอนกำลังปวดหัวคลัสเตอร์ไม่ได้ [53]
    • เขาวิจัยกันมาแล้ว ว่าการบำบัดด้วยออกซิเจน คือสูดดมออกซิเจนผ่านหน้ากาก ช่วยเรื่องปวดหัวคลัสเตอร์ได้ [54]
    • มีหลายงานวิจัยชี้ว่า ถ้าร่างกายได้รับเมลาโทนิน 10 มิลลิกรัมก่อนเข้านอน จะช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัวคลัสเตอร์ได้ [55] อาจเพราะอาการปวดหัวคลัสเตอร์จะเกิดตอนวงจรการนอนหลับของคุณถูกรบกวน [56]
  5. ป้องกันอาการปวดหัวเพราะใช้ยาเกินขนาด (medication overuse headache (MOH)) โดยใช้ยาแก้ปวดอย่างระวัง. อาการปวดหัวเพราะใช้ยาเกินขนาด (medication overuse headache (MOH)) หรือ "rebound headache" เกิดจาก withdrawal symptoms หรืออาการถอนยา จากการกินยาแก้ปวดต่อเนื่องนานๆ (โดยเฉพาะกินยาเพราะปวดหัวเครียด) ทั้งนี้อาการปวดหัวแบบ MOH นั้นรักษาหายขาดได้แน่นอน
  6. ป้องกันอาการปวดหัวเพราะ เมาค้าง โดยดื่มน้ำ. ปวดหัวเพราะเมาค้างเป็นหนึ่งในอาการปวดหัวที่พบบ่อยมาก เรียกว่าในแต่ละปี หลายบริษัทสูญเสียรายได้ไปเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เพราะพนักงานปวดหัวด้วยสาเหตุนี้นี่แหละ (แฮงก์แล้วก็ปวดหัว ปวดหัวก็โทรลางาน ที่ร้ายกว่าคือฝืนมาทำงานแบบลวกๆ) [61] อาการปวดหัวชนิดนี้จะปวดตุบๆ คลื่นไส้ และรู้สึกไม่สบาย เหมือนจะทำอะไรไม่ไหว
    • วิธีเดียวที่รับประกันว่าป้องกันอาการปวดหัวเมาค้างได้ ก็คืออย่าดื่มแอลกอฮอล์แต่แรก แต่ถ้าอยากได้ทางแก้ ไม่ให้ปวดหัวเมาค้างในวันรุ่งขึ้น ก็คือต้องดื่มน้ำเยอะๆ
    • หรือจะดื่มน้ำอื่นๆ เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ หรือน้ำซุปแทนก็ได้ แน่นอนว่าต้องงดแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

    เคล็ดลับ: จำง่ายๆ ว่าให้ ดื่มน้ำเป็น 4 เท่าของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ปกติคอกเทลจะมีเหล้าผสมอยู่ 1 - 2 ออนซ์ ก็แนะนำให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ ต่อแอลกอฮอล์ 1 แก้ว [62]

  7. ป้องกันอาการปวดหัวเพราะอาการแพ้หรือเพราะอาหาร โดยหาสาเหตุซะก่อน. อาการแพ้และอาการไวต่อบางอย่าง กระตุ้นให้ปวดหัวรุนแรงได้ ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น น้ำมูกไหล ตาฉ่ำ และคันหรือแสบตามตัว บางคนก็แพ้ตามฤดู เช่น แพ้เกสรดอกไม้ พวกนี้แก้ได้โดยกินยาแก้แพ้ [63]
    • บางคนก็แพ้อาหารหรือไวต่อบางอย่าง จนกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว ถ้าปวดหัวบ่อยๆ และมีอาการคันหรือตาฉ่ำร่วมด้วย ให้ลองไปทดสอบอาการแพ้ที่ผิวหนังที่โรงพยาบาลดู คุณหมอจะทดสอบ (รับรองปลอดภัย!) อาการแพ้หลายๆ อย่างที่ผิวคุณ เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดหัว และหาทางรักษาให้ถูกจุดต่อไป
    • บางคนก็ปวดหัวเพราะผงชูรส โดยเฉพาะคนที่ไวต่อผงชูรส จนรู้สึกหน้าตึง แน่นหน้าอก แสบร้อนที่ลำตัว คอ และไหล่ รวมถึงปวดหัวตุบๆ ไนไตรต์และไนเตรตที่อยู่ในเนื้อสัตว์ ก็กระตุ้นให้ปวดหัวปานกลางถึงรุนแรงได้เช่นกัน [64]
    • ถ้ากินไอศครีมหรือดื่มอะไรเย็นๆ รวดเดียวเยอะๆ ก็ทำให้ "ปวดหัวจี๊ด (brain freeze)" หรือ "ไอศครีมจี๊ดขึ้นหัว" ชั่วขณะได้ ส่วนมากจะรุนแรงแต่หายเร็ว
  8. บางทีคุณก็ปวดหัวเพราะ ตาล้า หิวจัด กล้ามเนื้อคอหรือหลังฉีก กระทั่งเพราะทรงผม (เช่น มัดหางม้าสูง หรือใช้ผ้าคาดหัวคับแน่น กดทับหลังหู) อาการปวดหัวลักษณะนี้มักมีอาการเหมือนปวดหัวเครียด [65]
    • ถ้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง เช่น จัดโต๊ะและเก้าอี้ที่ใช้ทำงานอ้างอิงตามหลัก ergonomics หรือการยศาสตร์ หรือไม่รวบผมตึงๆ สูงๆ ก็ช่วยป้องกันอาการปวดหัวได้
    • กินอาหารให้ตรงเวลา ก็ช่วยป้องกันอาการปวดหัวระหว่างวันได้ ถ้ากินไม่เป็นเวลา ระดับน้ำตาลในเลือดจะตก กระตุ้นให้ปวดหัวรุนแรงและคลื่นไส้ได้ [66] ให้หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น่าจะช่วยให้ปวดหัวน้อยลง รู้สึกดีขึ้นได้โดยรวม
    • พยายามเข้านอนและตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน นอนหลับให้ได้วันละ 7 - 8 ชั่วโมงขึ้นไป [67]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าตอนแรกมัดผมอยู่ เช่น มัดหางม้าสูง หรือถักเปียแน่นๆ ให้ปล่อยผมก่อน
  • เอาผ้าห่อถุงน้ำแข็งหรือถุงผักแช่แข็งก่อน แล้วค่อยเอามาประคบเย็นบริเวณที่ปวด (หน้าผาก หลังคอ และอื่นๆ) ห้ามเอาอะไรเย็นจัดมาแนบผิวหนังโดยตรง
  • ลองหลับตา หายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ ทำสมาธิดู
  • อาการปวดหัวส่วนใหญ่เกิดเพราะร่างกายขาดน้ำ เพราะงั้นทันทีที่ปวดหัว ลองดื่มน้ำดู จะได้คืนความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
  • พักผ่อนเยอะๆ การงีบหลับระหว่างวันก็แก้ปวดหัวได้ ให้หลบมุมไปพักผ่อนในที่เงียบสงบ สบายๆ
  • ดื่มน้ำเย็นช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
  • ถ้าปวดหัวเป็นประจำทุกวัน ต้องรีบไปตรวจเช็คร่างกายกับคุณหมอ
  • บางทีก็แก้ปวดหัวได้ ถ้านอนหงายราบไปกับพื้น โดยยกสองขาขึ้นแนบผนังห้อง เพราะดึงเลือดจากขากลับมาเลี้ยงสมอง
  • ลองเปิดเพลงฟังจนหลับไป เพราะช่วยให้ผ่อนคลาย รู้สึกดีตอนตื่นขึ้นมา
  • ถ้าติดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แนะนำให้ลดเวลาใช้งานลง ใช้แล้วหยุดพักเป็นระยะน่าจะช่วยได้ เพราะบางทีอุปกรณ์พวกนี้ก็ทำให้ปวดหัวได้ถ้าจดจ่อเป็นเวลานาน
โฆษณา

คำเตือน

  • เนื้องอกก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ แม้การปวดหัวจะไม่ได้หมายความว่าคุณมีเนื้องอกเสมอไป ถ้าเป็นเนื้องอก นอกจากอาการปวดหัวแล้ว ต้องมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แขนขาชา อ่อนแรง พูดไม่ชัดเพราะลิ้นแข็ง มองเห็นภาพเบลอ เกิดลมชัก บุคลิกภาพเปลี่ยนไป ทรงตัวไม่ดี หรือเดินลำบาก ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ให้รีบหาหมอทันที
  • ยาบางตัวก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ เช่น ยาคุมกำเนิด หรือยาต้านเศร้า แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอ ถ้าต้องกินยาเหล่านี้เป็นประจำ แล้วเกิดปวดหัวขึ้นมา เพราะบางทีที่ปวดหัวเพราะเป็นอาการข้างเคียง หรือบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติบางอย่าง
  • ถ้าจะดูแลตัวเองด้วย "วิธีธรรมชาติ" ต้องใช้วิจารณญาณ ถ้าดูแล้วได้ผลไม่คุ้มเสี่ยง ก็ไม่ควรทำ หรือปรึกษาคุณหมอซะก่อน หรือใช้ไปแล้วทำให้ปวดหัวมากขึ้น มีอาการอื่นๆ เพิ่มมา ให้หยุดใช้วิธีนั้นทันที แล้วไปหาหมอ
  • ถ้าเคยประสบอุบัติเหตุ กระทบกระเทือนบริเวณหัว ก็อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวได้ อาจเป็นอาการปวดหัวจากเลือดคั่ง กะโหลกร้าว ตกเลือดภายใน เป็นต้น ต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที
  • อาการปวดหัวหลังกระทบกระเทือน มักเป็นผลจากอุบัติเหตุหรือสถานการณ์ที่หัวกระทบกระเทือน แบบนี้รักษายาก บางทีก็ต้องเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ และใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวหรือหายขาด
  • ผนังหลอดเลือดแดงโป่งพอง (aneurysm) ก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวแบบ "สายฟ้าฟาด (thunderclap)" ได้ คือปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน มักเกิดควบคู่ไปกับอาการคอแข็ง เห็นภาพซ้อน และหมดสติ แบบนี้ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน หลักๆ คือผ่าตัด และปรับความดันเลือดให้สมดุล [68]
  • ถ้าซื้อยามาใช้เองต้องระวัง เพราะยาแก้ปวดตามร้านขายยา ถ้าใช้ผิดวิธี ก็เป็นอันตรายได้ ย้ำว่าต้องกินยาตามคำแนะนำที่ฉลากอย่างเคร่งครัด พยายามกินยาโดสน้อยที่สุดเท่าที่จะเห็นผล [69]
  • ถ้ามีแผลในกระเพาะ มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร มีปัญหาการย่อยอาหาร หรือหอบหืด อย่ากินยา NSAID (nonsteroidal anti-inflammatory drug) คือยาแก้ปวดแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน (Aleve) และคีโตโปรเฟน (Actron, Orudis) [70]
โฆษณา
  1. http://www.webmd.com/migraines-headaches/news/20100112/why-light-worsens-migraine-headaches
  2. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/migraine-headache/basics/lifestyle-home-remedies/con-20026358
  3. http://www.everydayhealth.com/columns/paging-dr-gupta/how-do-you-know-when-to-apply-heat-or-cold-to-relieve-pain/
  4. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000421.htm
  5. http://www.amtamassage.org/approved_position_statements/Massage-Can-Be-Effective-for-Tension-Headaches.html
  6. http://www.webmd.com/balance/stress-management/features/massage-therapy-stress-relief-much-more?page=2
  7. http://www.webmd.com/balance/stress-management/features/massage-therapy-stress-relief-much-more?page=2
  8. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20461336
  9. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/adult-health/multimedia/neck-stretches/vid-20084697
  10. http://exploreim.ucla.edu/wellness/acupressure-for-headache-or-neck-and-shoulder-tension/
  11. http://exploreim.ucla.edu/chinese-medicine/acupressure-point-gb20/
  12. http://exploreim.ucla.edu/chinese-medicine/acupressure-point-gb21/
  13. http://exploreim.ucla.edu/chinese-medicine/acupressure-point-li4/
  14. http://my.clevelandclinic.org/health/diseases_conditions/hic_Overview_of_Headaches_in_Adults/hic_Relaxation_and_Other_Alternative_Approaches_for_Managing_Headaches
  15. http://www.womenshealthmag.com/health/breathing-therapy
  16. http://www.healthline.com/health/migraine-herbal-home-remedies-from-around-the-world#14
  17. http://health.nih.gov/topic/HeadacheandMigraine
  18. http://www.webmd.com/migraines-headaches/tc/butterbur-for-migraines-topic-overview
  19. http://migraine.com/migraine-treatment/natural-remedies/ginger-for-migraine-headaches/
  20. http://homeremedieslog.com/natural-products/medicinal-plants/coriander/
  21. http://www.rd.com/slideshows/home-remedies-for-headaches/
  22. http://www.everydayhealth.com/headache-migraine-pictures/soothing-scents-to-ease-headache-pain.aspx
  23. http://www.webmd.com/migraines-headaches/guide/food-related-headaches
  24. http://www.womansday.com/food-recipes/advice/a1662/9-foods-that-can-help-soothe-a-headache-108253/
  25. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/adult-health/expert-answers/how-many-hours-of-sleep-are-enough/faq-20057898
  26. http://www.webmd.com/allergies/features/fragrance-allergies-a-sensory-assault
  27. http://www.webmd.com/migraines-headaches/guide/food-related-headaches?page=2
  28. http://www.webmd.com/migraines-headaches/guide/food-related-headaches?page=2
  29. http://www.webmd.com/pain-management/tc/office-ergonomics-using-ergonomics-at-the-workstation-to-prevent-injury
  30. http://www.webmd.com/balance/nontraditional-headache-treatments
  31. http://www.webmd.com/migraines-headaches/guide/triggers-smoking
  32. http://www.webmd.com/migraines-headaches/guide/cluster-headaches
  33. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/tension-headache/basics/definition/con-20014295
  34. http://www.webmd.com/content/article/46/1826_50695.htm
  35. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/tension-headache/basics/alternative-medicine/con-20014295
  36. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/tension-headache/basics/treatment/con-20014295
  37. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/migraine-headache/basics/causes/con-20026358
  38. http://www.webmd.com/content/article/46/1826_50692.htm
  39. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/migraine-headache/basics/prevention/con-20026358
  40. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/migraine-headache/basics/causes/con-20026358
  41. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cluster-headache/symptoms-causes/syc-20352080
  42. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cluster-headache/basics/definition/con-20031706
  43. http://www.webmd.com/content/article/46/1826_50688.htm
  44. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cluster-headache/basics/prevention/con-20031706
  45. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/medicines-for-cluster-headaches-topic-overview
  46. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cluster-headache/basics/treatment/con-20031706
  47. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cluster-headache/diagnosis-treatment/drc-20352084
  48. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22547100
  49. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/rebound-headaches/basics/definition/con-20024096
  50. http://www.webmd.com/pain-management/guide/narcotic-pain-medications
  51. http://www.mayoclinic.org/drugs-supplements/butalbital-and-acetaminophen-combination-oral-route/description/drg-20070042
  52. http://www.hopkinsmedicine.org/neurology_neurosurgery/centers_clinics/headache/conditions/hangover_headache.html
  53. http://www.webmd.com/balance/features/how-to-hold-your-liquor
  54. http://www.mayoclinic.org/tests-procedures/allergy-tests/basics/definition/prc-20014505
  55. http://www.webmd.com/migraines-headaches/guide/food-related-headaches?page=2
  56. http://www.webmd.com/content/article/46/1826_50689.htm
  57. http://www.migrainetrust.org/factsheet-hypoglycaemia-and-migraine-10907
  58. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/adult-health/expert-answers/how-many-hours-of-sleep-are-enough/faq-20057898
  59. http://www.uptodate.com/contents/thunderclap-headache
  60. http://www.webmd.com/pain-management/features/safe-use-otc-pain-relievers
  61. http://www.webmd.com/arthritis/features/pain-relief-how-nsaids-work

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 39,072 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา