ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
ความสัมพันธ์ที่ขาดความเชื่อใจกันเป็นมีแต่จะสร้างความทุกข์ใจ เมื่อไม่มีความเชื่อใจกัน จิตใจก็ยากที่จะมั่นคง และคุณอาจจะมัวแต่พะวงตลอดเวลาว่าคนอื่นๆ จะซื่อตรง ไม่โกหก หรือจริงใจต่อคุณมั้ย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบคนรัก โลกธุรกิจ หรือกับคนรอบตัว ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณมีปัญหาเรื่องดังกล่าว มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเรียนรู้วิธีดีๆ ที่จะช่วยให้คุณก้าวข้ามปัญหาเรื่องความเชื่อใจก่อนที่ความสัมพันธ์ของคุณจะมีปัญหา
ขั้นตอน
-
พิจารณาดูว่าอะไรเป็นเหตุทำให้คุณไม่เชื่อใจผู้อื่น. การจะเชื่อใจผู้อื่นเป็นสิ่งที่ยากกว่าสำหรับคนบางคน ซึ่งเหตุมักมาจากประสบการณ์ในอดีต ความผิดหวังที่เพิ่งเกิด หรืออาจจะเป็นวิธีที่คุณได้รับการเลี้ยงดูสมัยยังเป็นเด็ก หากมีคนทำให้คุณผิดหวัง ไม่สนับสนุนคุณ หรือไม่ให้ความช่วยเหลือยามที่คุณร้องขอ คุณอาจพบว่ามันยากที่จะเชื่อใจใคร อีกด้านหนึ่ง หากคุณมีคนที่คอยให้การสนับสนุน ที่ได้ช่วยพาคุณผ่านสถานการณ์ยากลำบาก และช่วยให้คุณรู้จักที่จะรับมือกับความผิดหวัง ก็เป็นไปได้มากที่คุณจะรู้จักเชื่อใจผู้อื่น หากคุณพบว่าการเชื่อใจคนอื่นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก นั่นอาจเป็นเพราะปัญหาบางข้อเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำหรับคุณ:
- คุณรู้สึกว่าผู้คนต่างไว้ใจไม่ได้ คุณเหมาว่าทุกคนเป็นเช่นนี้ แม้คนเหล่านั้นพยายามจะใช้คำพูดเพื่อสร้างความเชื่อใจแล้วก็ตาม
- คุณรู้สึกว่าคุณต้องกันตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่อาจเกิดกับคุณ ด้วยการสร้างเกาะกำบังโดยไม่ทันให้โอกาสพวกเขาเหล่านั้นดูเสียก่อน
- คุณไม่ชอบที่จะขอความช่วยเหลือและรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งเหล่านั้นได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว
- คุณตัดสินคนจากลักษณะภายนอกไม่เก่งนัก และดูเหมือนว่า สุดท้ายแล้ว จะมีแต่คนที่ดูไว้ใจไม่ได้เอาซะเลยอยู่รอบกายคุณ
- บางครั้งคุณก็เชื่อคนง่ายและดูเหมือนว่านั่นจะดึงดูดคนที่คิดจะตักตวงผลประโยชน์จากความมีน้ำใจ หรือความยินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่นของคุณ
-
ลองคิดดูว่าคุณคาดหวังอะไรจากผู้อื่น. คุณอาจมีความคาดหวังกับคนอื่นสูงมาก อาจจะมากเกินควร บางข้อต่อไปนี้อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเชื่อใจได้:
- คุณคาดหวังให้คนอื่น “รู้” ว่าคุณต้องการอะไร หรือให้พวกเขา “อ่านใจ” คุณได้บ้างมั้ย ความคิดเช่นนี้มักเป็นสาเหตุให้คุณไม่เชื่อใจผู้อื่น เพราะพวกเขาไม่ทำสิ่งที่คุณอยากให้ทำ แต่ตัวคุณเองก็ไม่เอ่ยความต้องการของตนให้เขารู้เช่นกัน
- เรื่องของการเป็นฝ่ายให้ในความสัมพันธ์ทั้งหลาย ไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องมาวัดกันว่าใครให้อะไรไปบ้าง หากคุณไม่ได้ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน คุณก็จะรู้สึกขาดความเชื่อใจเวลาที่อีกฝ่ายไม่สนองตอบ
- คุณมีความคาดหวังในตัวผู้อื่นต่ำตลอดเวลา ในกรณีนี้ มันยากที่จำทำให้คุณเชื่อใจ “ใครคนไหน” ได้เลย
- เมื่อเป็นเรื่องรักใคร่หรือความใกล้ชิด คุณอาจคาดหวังอะไรยากๆ ว่าคนรักของคุณจะต้องอยู่กับคุณตลอด นี่อาจทำให้เกิดพฤติกรรมการตามจิกหรือแม้แต่การแอบติดตามคนรัก หากมีคาดหวังกับคนรักสูงจนสุดโต่งไป
โฆษณา
-
ตัดสินใจดูว่าคุณพร้อมที่จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ. คิดให้รอบด้านมากขึ้นถึงผลที่จะตามจากการที่คุณจะไม่เชื่อใจคนอื่นได้ไปทั้งชีวิต คุณต้องใช้พลังอย่างมาก มันจะทำให้คุณแปลกแยก และทำให้คุณสงสัยในตัวผู้อื่นและต้องผิดหวังอยู่เรื่อยๆ นั่นเป็นวิถีชีวิตที่น่ารื่นรมย์แล้วหรือ แทบจะไม่เลยต่างหาก จงคิดถึงภาพใหญ่ และคิดดูว่าการเชื่อใจผู้อื่นมีแนวโน้มที่จะนำสิ่งดีๆ ซึ่งดีกว่าผลที่จะตามมาจากการไม่เชื่อใจคนอื่นอย่างไร
-
รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากกว่าคอยสงสัย. การเชื่อใจผู้อื่นไม่ได้แปลว่าเราหูเบา ความรู้สึกลึกๆ และการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ต่างเป็นส่วนสำคัญในการมองชีวิตของตนเอง มันจะต้องมีบ้างบางครั้งที่คุณคิดว่า มันมีเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่าง และเมื่อความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น ก็ถือเป็นการดีที่คุณจะลองเปลี่ยนวิธีการ และหาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ก่อนที่จะมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับใครสักคน หรือกับทำข้อตกลงใดๆ อย่างไรก็ตาม มันเป็นการดีที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจว่า คนส่วนมากต่างหวังดี และคาดหวังที่จะทำอะไรๆ ได้ในระดับเดียวกันกับที่คุณทำเช่นกัน
-
ให้พื้นที่ส่วนตัวแก่ผู้อื่นบ้าง. ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคนรัก หรือเป็นเรื่องธุรกิจ หรือคนรอบตัว ไม่มีใครชอบโดนใครตามทุกฝีก้าวให้รายงานตัวว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน สัตว์ที่ถูกต้อนจนมุมจะสู้ยิบตากลับเพื่อปกป้องตนเอง และคุณสามารถเดาได้เลยว่า คนที่รู้สึกว่าถูกติดตาม และถูกอีกฝ่ายตั้งแง่สงสัย จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับที่กล่าวมา การถอยออกมา และปล่อยให้คนอื่นรู้สึกว่าเค้ามีระยะห่างกับคุณบ้าง จะเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับความซื่อตรง และการแบ่งปันกันที่มากกว่าเดิมได้
- หากคุณมีพฤติกรรมรื้อค้นข้าวของคนอื่น เขียน(บันทึก)ถึง หรือติดตามคนอื่น จงเลิกเสียเดี๋ยวนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า คนอื่นจะรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ หรือไม่ก็อาจจะรู้ความจริงในไม่ช้า และมันเป็นอะไรที่ดูประหลาดอย่างน่ากลัว มันเป็นความพยายามที่จะควบคุมคนอื่น และเป็นไปได้ว่ามันจะทำลายความเชื่อใจที่ผู้อื่นมีต่อคุณ ความเชื่อใจที่มันแตกสลายไปแล้วไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
-
เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดในอดีต. ความรักที่ไม่สมหวัง ธุรกิจที่ล้มเหลว มิตรภาพที่ไม่ยังยืน - ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในความทรงจำ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมด เรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นได้ แต่วิธีที่คุณรับมือกับมันต่างหากที่สำคัญ พยายามเลิกคิดมากกับเรื่องไม่ดี และหันมามองสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะดีกว่า
- จงรู้ว่ายิ่งคุณมัวแต่ใส่ใจเรื่องแย่ๆ ในอดีต เรื่องราวเหล่านั้นก็ดูจะรุนแรงขึ้นทุกครั้งที่คุณตอกย้ำตัวเอง คุณจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรล่ะ บ่อยครั้ง มันกลับกลายเป็นเรื่องที่คุณใช้ตอกย้ำเพื่อความสบายใจของตนมากกว่าที่จะเป็นเงาสะท้อนความจริง เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวนั้นๆ กลับจะทำให้คนที่อาจจะช่วยคุณ และนำพาคุณไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ที่มอบความสุขให้ได้มากกว่า รำคาญเอาได้ พยายามทิ้งเรื่องแย่ๆ ที่คุณใช้ตอกย้ำตัวเองไปซะ
-
ตัดสินใจหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาความเชื่อใจที่ถูกทำลายไป. ชีวิตคนเราไม่มีอะไรรับประกันว่าความเชื่อใจที่เรามีจะไม่มีทางถูกทำลาย แต่คุณเลือกได้ที่จะรับมือกับมันด้วยวิธีต่างๆ ที่จะไม่ไปเพิ่มเรื่องแย่ๆ ให้กับชีวิตของคุณอีก ตัวอย่างเช่น:
- เข้าใจว่าคนบางคนเป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้น คุณจึงควรที่จะคอยมองหาคนดีๆ ไว้
- เรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมา อะไรคือสิ่งที่คุณทำให้ดีขึ้นได้ คุณได้ทำอะไรที่เป็นการทำลายความเชื่อใจหรือไม่ เช่น คุณอาจไม่ทันสังเกตเห็นหรือไม่ได้ทำการตรวจสอบสัญญาณของความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งถ้าทำก็อาจช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้เร็วกว่านี้
- ให้อภัยคนที่ทำลายความเชื่อใจของคุณ. หากทำไม่ได้ คุณจะต้องแบกความรู้สึกที่มีต่อใครคนนั้นอยู่ตลอด ไปจนถึงภายภาคหน้าด้วย ซึ่งนั้นเป็นอะไรที่เหนื่อยไม่น้อยเลย
-
เลิกหวังให้คนอื่นรู้ว่าคุณต้องการอะไร. ถ้าไม่พร้อมที่จะพูดสิ่งที่ตนต้องการออกมาอย่างชัดเจน คุณจะมาคาดหวังให้คนอื่นอ่านใจคุณไม่ได้หรอกนะ เรียนรู้ที่จะพูดชัดๆ กล้าพูดสิ่งที่ตนต้องการ และยืนหยัดเพื่อสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ มันไม่ยุติธรรมที่จะโทษว่าคนอื่นทำให้คุณผิดหวัง หากคุณเองไม่สามารถพูดให้คนเข้าใจชัดเจนว่าคุณอยากให้พวกเขาทำอะไรให้คุณได้มากกว่านี้
- วางกฎพื้นฐานสำหรับเรื่องธุรกิจและความรัก ซึ่งไม่ใช่แค่ดีต่อตัวคุณคนเดียว แต่ดีกับทั้งสองฝ่าย เมื่อคุณทั้งคู่ต่างรู้ความคาดหวังของกันและกัน คุณก็จะมีขอบเขตและความเข้าใจที่ชัดเจน
โฆษณา
โฆษณา