ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตมาจากหนังแท้จะมีความต่างจากหนังสังเคราะห์ด้วยความเป็นธรรมชาติของหนัง, มูลค่า, ตลอดจนความหรูหรา ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์จากหนังสังเคราะห์ที่ดูคล้ายหนังแท้จำหน่ายทั่วไปอยู่เป็นจำนวนมากด้วยราคาที่ถูกกว่าหนังแท้ค่อนข้างมาก และยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิดที่ผลิตจากหนังแท้แค่บางส่วนแต่โฆษณาเสียว่าเป็นหนังแท้หรือผลิตจากหนังแท้ทั้งหมด ซึ่งเป็นคำคลุมเครือที่มักเอาไว้ใช้ในทางการตลาดเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภค หากคุณวางแผนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์จากหนังแท้คุณภาพดีซึ่งราคาจะค่อนข้างสูงหน่อย คุณจะต้องแยกให้ได้เองว่าอันไหนหนังแท้อันไหนหนังเทียม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

แยกหนังแท้กับหนังเทียมให้ออก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ระมัดระวังผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าเป็นหนังแท้. หากมีฉลากระบุว่าเป็นวัสดุที่มนุษย์ผลิตขึ้น ก็หมายความว่าเป็นหนังเทียมอย่างแน่นอน หากไม่มีระบุอะไรก็มีโอกาสที่ผู้ผลิตจะต้องการปิดบังว่าจริงๆ แล้วสินค้าไม่ได้ผลิตจากหนังแท้ ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าดังกล่าวมักจะไม่มีป้ายบอก เพราะโรงงานผู้ผลิตโดยส่วนมากแล้วจะภูมิใจนำเสนอถ้าสินค้าผลิตจากหนังแท้ ซึ่งมักจะมีข้อความเขียนไว้ว่า:
    • Real leather (หนังแท้)
    • Genuine leather (หนังวัวแท้)
    • Top/Full grain leather (หนังแท้คุณภาพสูง)
    • Made with animal products (ทำจากหนังสัตว์)
  2. เช็คจากการมีพื้นผิวสัมผัสที่ขรุขระ ซึ่งจะมีความขรุขระและรูขุมขนแสดงถึงความไม่สมบูรณ์และเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นหนังแท้. ความไม่สมบูรณ์ สำหรับหนังสัตว์แล้ว นับเป็นสิ่งที่ดี เพราะหนังแท้ทำมาจากผิวหนังของสัตว์ จะมีราคาแตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์และชนิดของสัตว์ที่นำมาทำ การที่พื้นผิวเรียบเป็นปกติ เหมือนกันหมด และขรุขระแบบสม่ำเสมอกันมากๆ มักบ่งบอกได้ว่าเป็นหนังเทียม
    • หนังแท้อาจจะมีรอยขีดข่วน, รอยพับ, และรอยย่นอยู่ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
    • ปัจจุบันโรงงานผลิตหลายแห่งมีความสามารถในการออกแบบเลียนแบบหนังแท้ได้เป็นอย่างดี โดยจะผลิตออกมาขายทางออนไลน์ ซึ่งเป็นที่ที่คุณสามารถเห็นได้แค่ภาพเท่านั้น ซึ่งยากต่อการแยกมากว่าเป็นหนังแท้หรือหนังเทียม
  3. ใช้นิ้วกดลงบนผิวของหนังนั้น เพื่อหารอยพับและรอยย่น. หนังแท้เมื่อถูกกดจะเกิดรอยย่นภายใต้ความเหนียว ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผิวหนังจริงๆ ส่วนหนังเทียมมักจะกดบุ๋มลงไปใต้นิ้วมือแล้วรู้สึกแข็งทื่อและเป็นรูปตามนิ้วที่กด [1]
  4. ดมกลิ่นหนัง หากลิ่นความเป็นธรรมชาติ โดยจะพบว่ามีกลิ่นอับหนัง แทนที่จะมีกลิ่นของพลาสติกหรือสารเคมี. หากดมแล้วก็ยังไม่รู้ว่ากลิ่นควรจะเป็นแบบไหน ให้ไปที่ร้านที่ทราบว่าจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนังแท้แน่ๆ และลองดมกระเป๋า รองเท้า สักสองสามใบ จากนั้นลองถามหาผลิตภัณฑ์จากหนังเทียมแล้วดมเทียบกัน เมื่อรู้ว่ากลิ่นควรเป็นแบบไหนแล้ว ก็จะแยกความแตกต่างของกลิ่นได้อย่างไม่ผิดพลาด
    • หนังแท้จะทำมาจากผิวของหนังสัตว์ ส่วนหนังเทียมจะทำจากพลาสติก ภายนอกอาจจะมองดูเหมือนๆ กัน แต่หนังแท้จะกลิ่นคล้ายผิวหนัง ส่วนหนังเทียมจะกลิ่นคล้ายพลาสติก
  5. ใช้การเผาด้วยไฟ,แต่วิธีนี้จะทำลายผลิตภัณฑ์ไปบางส่วน. ทำการเผาโดยเลือกวางไว้ให้ไกลจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ การทดลองนี้จะได้ผลเมื่อคุณเริ่มได้กลิ่น เลือกบริเวณที่ไม่มีคนเห็นขณะเผา อย่างเช่นใต้เก้าอี้ โดยจุดไฟไปที่บริเวณที่ต้องการทดสอบ 5-10 วินาที
    • หนังแท้จะไหม้เกรียมเพียงเล็กน้อย กลิ่นคล้ายเส้นผมไหม้
    • หนังเทียมจะทำให้ไฟลุกเป็นวงกว้าง และกลิ่นคล้ายพลาสติกไหม้ [2]
  6. สังเกตที่ขอบ หนังแท้จะมีขอบขรุขระส่วนหนังเทียมขอบจะราบเรียบสม่ำเสมอและสวยงามไม่มีที่ติ. เครื่องจักรจะทำให้หนังดูเหมือนถูกตัดโดยเครื่อง ส่วนหนังแท้จะมีรอยหลุดรุ่ยอยู่มาก ซึ่งรอยขอบหลุดรุ่ยรอบๆ นี้จะเกิดเองตามธรรมชาติ หนังเทียมที่ทำจากพลาสติกจะไม่มีรอยหลุดรุ่ยเลย ซึ่งหมายความว่าขอบก็จะดูเนี้ยบและเป๊ะมาก [3]
  7. ลองพับส่วนที่เป็นหนัง แล้วสังเกตดูจะพบว่ามีสีเปลี่ยนไปเล็กน้อยถ้าเป็นหนังแท้. คล้ายกับการทดสอบดูรอยย่น หนังแท้จะมีคุณสมบัติเฉพาะในด้านความยืดหยุ่นเมื่อมีการพับงอ การเปลี่ยนสีหรือเกิดรอยย่นตามธรรมชาติ ซึ่งหนังเทียมจะมีความแข็งและเรียบๆ มากกว่า ทำให้มักจะพับงอได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับหนังแท้ [4]
  8. หนังแท้จะมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้น หากเป็นหนังเทียม น้ำจะยังคงอยู่บนผิวผลิตภัณฑ์นั้น ส่วนหนังแท้จะดูดซับหยดน้ำเล็กๆ ลงไปภายในไม่กี่วินาที ซึ่งจะบ่งบอกได้อย่างรวดเร็วเลยว่าเป็นหนังแท้ [5]
  9. ผลิตภัณฑ์จากหนังแท้นั้นยากมากที่จะพบว่ามีราคาถูก. ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากหนังแท้จะราคาค่อนข้างสูง โดยปกติมักขายในราคาที่สูง ในร้านค้าโดยทั่วไปจะพบว่ามีราคาของหนังแท้, หนังผสม และหนังเทียมที่มีช่วงราคาต่างกันค่อนข้างชัด สำหรับหนังแท้แล้ว หนังวัวจะมีราคาสูงที่สุดเนื่องจากคุณสมบัติเรื่องความทนทานและนำไปฟอกสีได้ง่าย หนังกลับจะเป็นผิวหนังชั้นด้านใต้ต่อผิวด้านบน ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าผิวหนังส่วนบนหรือส่วนที่นำมาทำเข็มขัด
  10. อย่าไปสนใจเรื่องสีสัน ว่าสีหนังจะเป็นหนังแท้. สีฟ้าโทนสว่างของเฟอร์นิเจอร์หนังอาจดูเหมือนไม่ใช่หนังแท้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ทำมาจากหนังแท้ สีสันต่างๆ ละการย้อมสีสามารถทำได้ทั้งกับหนังเทียมและหนังแท้ ดังนั้นเลิกสนใจเรื่องสีสันและหันมาสนใจเรื่องกลิ่นและพื้นผิวจากการคลำดูเพื่อแยกว่าเป็นหนังแท้หรือหนังเทียมจะดีกว่า
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

รู้ความต่างของหนังแท้แต่ละชนิด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ต้องเข้าใจก่อนว่า Genuine Leather คือหนังชนิดเดียวที่เป็นหนังแท้และถูกกฎหมายที่ขายอยู่ทั่วไป. ผู้คนส่วนมากมักกังวลเรื่องความแตกต่างของหนังแท้กับหนังเทียมหรือหนังปลอม แต่สำหรับผู้ที่เป็นคอหนังอย่างแท้จริงล้วนรู้กันดีอยู่แล้วว่าหนังแท้นั้นมีหลายเกรด ซึ่ง genuine leather นั้นเป็นเกรดที่รองจากเกรดต่ำสุด โดยเรียงลำดับจากเกรดที่หรูหรามากที่สุดไปน้อยที่สุด ก็จะได้ออกมาดังนี้:
    • หนังผิวแท้ เป็นหนังสภาพจริง ไม่ผ่านการขัดหรือเจียร
    • หนังที่ผ่านการขัดหรือเจียรเพียงเล็กน้อย
    • หนังกลับที่เป็นชั้นในของผิวหนัง
    • หนังบดอัด เกิดจากการนำเศษหนังมาป่นบดมาอัดรวมกัน
  2. เลือกซื้อหนังชนิด full grain เฉพาะจากแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่านั้น. เพราะหนังชนิด full grain จะใช้เฉพาะส่วนบนสุดของผิว ชั้นที่สัมผัสกับอากาศเท่านั้น ซึ่งจะมีความเหนียว ทนทาน และสวยงามมากที่สุด โดยจะมีร่องรอยของความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ ซึ่งจะมีลักษณะพิเศษ รอยย่น และสีสันที่ไม่เหมือนชนิดอื่น เนื่องจากมีหนังชนิดนี้อยู่น้อยในสัตว์แต่ละตัวและยากต่อการนำมาแปรรูปด้วยเหตุผลของความเหนียว ทำให้มีราคาสูงอย่างที่ทราบกัน
    • ระวังบางโรงงานผลิตที่ระบุไว้ว่า “ผลิตจากหนังผิวแท้” แม้จะมีบางส่วนของเก้าอี้หรือโซฟาเท่านั้นที่เป็นหนังผิวแท้ แต่นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งทำให้เราไม่ได้ดูว่าจริงๆ แล้วสินค้าชิ้นนี้ไม่ได้น่าซื้อ
  3. หากตามหาหนัง top grain ที่มีคุณภาพสูงก็ต้องมาคู่กับราคาที่สมเหตุสมผล. หนังชนิดที่หรูหราที่พบได้มากที่สุดคือหนังชนิด top grain ซึ่งทำจากผิวหนังชั้นใต้ต่อ full grain ที่มีการขัดและเจียรความไม่สมบูรณ์ออกไปบ้างแล้ว ทำให้มีผิวสัมผัสที่เรียบเนียนและสม่ำเสมอกว่า full grain แต่ด้วยความที่นำมาแปรรูปได้ง่ายกว่าจึงทำให้มีราคาที่ต่ำลงมา
    • แม้จะไม่ทนทานเท่ากับ full grain แต่ก็ยังเป็นหนังชนิดที่ทนทานและสวยงาม
  4. ส่วนหนังชนิด genuine มักเป็นหนังกลับหรือให้ความรู้สึกแบบหนังกลับ โดยหนัง genuine นี้จะผ่านการลอกส่วนที่แข็งซึ่งเป็นส่วนที่แพงกว่าด้านบนออกไปแล้ว แล้วนำส่วนที่นิ่มกว่ามาใช้ โดยยิ่งส่วนที่อยู่ด้านใต้มากเท่าไรยิ่งทำมาแปรรูปได้เท่านั้น ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ไม่ทนทานเท่ากันชนิด full หรือ top grain แต่ด้วยความที่มีราคาถูกกว่าจึงทำให้โณงงานผู้ผลิต ผลิตสินค้าออกมาได้หลากหลายรูปแบบ
    • หนังชนิด genuine เป็นหนังเกรดเฉพาะ ไม่สามารถใช้แทนคำว่า real leather ได้ หากคุณถามหา genuine ทางร้านก็จะเลือกชนิดนี้มาให้คุณ
  5. หลีกเลี่ยง bonded leather ซึ่งทำมาจากเศษหนังและนำมาอัดกาว. แม้หนังอัดจะยังคงเป็นหนังแท้อยู่ แต่มันไม่ใช้ชิ้นส่วนแท้ๆ จากผิวหนังสัตว์ หากแต่เกิดจากเศษของการขัดเจียจากหนังชนิดอื่นมารวมกัน แล้วนำมาอัดกาวเชื่อมกันให้เป็นชิ้นหนังใหม่ ทำให้มีราคาถูก แต่คุณภาพไม่ดีเลย
    • เนื่องจากคุณภาพไม่เป็นที่น่าประทับใจ หนังชนิดอัดนี้จึงมักใช้มาเป็นปกหนังสือและผลิตภัณฑ์ชิ้นเล็กอื่นๆ ที่เสียหายได้น้อย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ซื้อผลิตภัณฑ์หนังแท้จากผู้จำหน่ายที่มีชื่อเสียง และหลักเลี่ยงการซื้อหนังเทียม หากคุณไม่ใช่ชาวมังสวิรัติ
โฆษณา

คำเตือน

  • หากซื้อทางออนไลน์ ให้เลือกผู้แทนหรือผู้จำหน่ายที่มีชื่อเสียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกขาย
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,205 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา