ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มี และเมื่อไหร่ที่คุณต้องการความช่วยเหลือ สามารถช่วยให้คุณรักษาเสถียรภาพในชีวิตส่วนตัว และทะนุบำรุงการปฏิสัมพันธ์อย่างมืออาชีพของคุณได้ การรู้จักตนเองเป็นเครื่องมือที่มีพลังอำนาจที่ผู้คนจำนวนมากละเลย เพราะว่ามันยาก หรือไม่สะดวก หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่ามันทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจ ทั้งนี้อะไรที่ดูเป็นจุดแข็งของใครคนหนึ่ง อาจไม่ได้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ซึ่งคุณสามารถพิจารณาได้ว่าคุณสมบัติเฉพาะตัวที่คุณมีเป็นจุดแข็งที่ขัดต่อจุดอ่อนที่ทำให้คุณสับสน หรือผิดหวังหรือไม่ ในขณะที่มันเป็นสิ่งที่คุณต้องพิจารณาทั้งหมดด้วยตัวคุณเอง มีแบบฝึกหัดที่คุณสามารถทำเพื่อแยกแยะจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณเพื่องาน หรือเพื่อเหตุผลส่วนตัว และยังมีเคล็ดลับบางอย่างที่ช่วยให้คุณสามารถใช้แนวทางเหล่านี้ในสถานการณ์จริง ที่อาจเป็นประโยชน์อย่างมากในการสัมภาษณ์งาน

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 6:

ทำความเข้าใจความสามารถของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพราะว่าคุณปรารถนาที่จะพิจารณาถึงจุดแข็งที่คุณมีอยู่แล้วอย่างถี่ถ้วน และส่วนไหนที่คุณสามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่เข้มแข็งอยู่แล้วก็ตาม มันต้องอาศัยความอดทนในการทำสิ่งนี้ จงแสดงความยินดีกับตัวเอง และจำไว้ว่าคุณเป็นคนที่น่าอัศจรรย์ใจ
  2. ในการแยกแยะจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ ให้คิดถึงกิจกรรมที่คุณอาจมีส่วนร่วม หรือหาความสุขได้จากกิจกรรมเหล่านั้นได้มากที่สุด ให้คุณเขียนกิจกรรมที่ทำในหนึ่งสัปดาห์ หรือตลอดระยะเวลาที่กำหนด และให้คะแนนกิจกรรมเหล่านั้นตั้งแต่ 1 ถึง 5 ตามลำดับของความเพลิดเพลินในกิจกรรมที่คุณทำ หรือมีส่วนร่วม
    • การศึกษาได้พบว่าการเขียนบันทึกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการเป็นคนที่รู้จักตนเอง และมีความพินิจพิเคราะห์มากขึ้นต่อจุดแข็ง และความปรารถนาของบุคคล [1] มันอาจเป็นการเขียนรายการแบบง่ายๆ สำหรับช่วงเวลาที่น่าจดจำมากที่สุดของวันที่กำหนด โดยเขียนรายละเอียดที่บอกเล่าเกี่ยวกับความนึกคิด และความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจ ยิ่งคุณรู้จักตนเองได้มากขึ้นเท่าไหร่ มันจะทำให้คุณแยกแยะจุดแข็งส่วนตัวของคุณได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น [2]
  3. บางครั้งมันสามารถเป็นเรื่องยากในการแยกแยะจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ เพราะว่าพวกเราไม่ได้ใช้เวลาในการทำความเข้าใจในค่านิยมของพวกเรา ซึ่งนี่คือ ความเชื่อที่เป็นตัวกำหนดวิธีคิดเกี่ยวกับตัวเอง ผู้อื่น และสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวคุณ พวกมันเป็นพื้นฐานของวิถีทางของการเข้าถึงชีวิตของคุณ การใช้เวลาในการแยกแยะคุณค่าของคุณจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า แง่มุมไหนของชีวิตคุณที่เป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อนสำหรับคุณ โดยไม่สนใจว่าคนอื่นอาจรู้สึกเกี่ยวกับพวกมันแบบไหน [3]
    • คิดถึงบุคคลสอง หรือสามคนที่คุณให้ความเคารพนับถือ อะไรที่คุณชื่นชอบในตัวพวกเขา? คุณสมบัติใดของพวกเขาที่คุณให้คุณค่า? คุณเห็นคุณสมบัติเหล่านี้ในชีวิตของคุณเองอย่างไหร่?
    • จินตนาการว่าหากคุณสามารถเปลี่ยนแปลงหนึ่งสิ่งในชุมชนของคุณ สิ่งนั้นจะคืออะไร? ทำไม? คุณคิดว่าอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ?
    • จดจำช่วงเวลาในชีวิตของคุณที่คุณรู้สึกพึงพอใจมากๆ หรือถูกเติมเต็มคืออะไร? เกิดอะไรขึ้น? ใครอยู่กับคุณในช่วงเวลานั้น? และทำไมคุณจึงรู้สึกแบบนั้น?
    • จินตนาการว่าบ้านของคุณถูกไฟไหม้ (แต่สัตว์เลี้ยง และคนทั้งหมดปลอดภัย) และคุณสามารถเก็บรักษาของได้เพียงแค่ 3 สิ่ง อะไรที่คุณเลือกจะรักษา และทำไม?
  4. พิจารณาการตอบสนองของคุณสำหรับสาระสำคัญ และรูปแบบ. ทันทีที่คุณได้ไตร่ตรองในคุณค่าของคุณ ให้คุณพิจารณาการตอบสนองต่อสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น บางทีคุณอาจชื่นชมบิล เกต และริชาร์ด แบรนสัน สำหรับความกล้าได้กล้าเสีย และความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา นี่แสดงให้เห็นว่า คุณอาจให้คุณค่ากับความทะเยอทะยาน การแข่งขัน และความเฉลียวฉลาด บางทีคุณจะเปลี่ยนแปลงความยากจนในชุมชนของคุณ เพื่อให้ทุกคนมีบ้าน และอาหาร นี่แสดงให้เห็นว่าคุณอาจให้คุณค่ากับ ชุมชน การช่วยเหลือสังคม หรือการทำให้เกิดความแตกต่าง ทั้งนี้คุณสามารถมีค่านิยมได้หลากหลาย
    • คุณสามารถหารายการของคำที่มีคุณค่าออนไลน์ หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการนิยามค่านิยมของตัวคุณเองออกมาเป็นคำพูด [4]
  5. ตัดสินใจว่าชีวิตของคุณตรงกับค่านิยมของคุณหรือไม่. บางครั้ง พวกเราอาจรู้สึกราวกับว่า พวกเรามีจุดอ่อนในบางด้านเป็นการเฉพาะ เมื่อชีวิตของพวกเราไม่ตรงกับค่านิยมของพวกเราไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การใช้ชีวิตให้ตรงกับคุณค่าของคุณ เรียกว่าการมีชีวิตอยู่แบบ “ประสานผลประโยชน์” และมันสามารถนำไปสู่ความพึงพอใจ และความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม [5]
    • ยกตัวอย่างเช่น บางทีคุณให้คุณค่ากับ ความทะเยอทะยาน และการแข่งขัน แต่คุณรู้สึกติดอยู่กับงานที่ไม่มีความก้าวหน้า ซึ่งคุณไม่เคยได้รับความท้าทาย หรือโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง คุณอาจรู้สึกว่า คุณมีจุดอ่อนในเรื่องนี้ เพราะว่าชีวิตของคุณในปัจจุบันไม่ได้เป็นไปตามความต้องการที่สำคัญมากที่สุดสำหรับคุณ
    • หรือบางทีคุณเป็นคุณแม่มือใหม่ คนที่ต้องการจะกลับไปสอนหนังสือเป็นอย่างมาก เพราะว่าคุณให้คุณค่าแก่สถานะทางสติปัญญา คุณอาจรู้สึกว่า “การเป็นแม่ที่ดี” เป็นจุดอ่อน เพราะว่าคุณค่าของคุณ (การบรรลุสถานะทางสติปัญญา) แสดงให้เห็นว่าขัดแย้งกับคุณค่าอื่น (ครอบครัวต้องมาก่อน) ในเรื่องนี้ คุณสามารถพิจารณาวิธีสร้างสมดุลให้กับคุณค่าของคุณ เพื่อที่คุณจะได้ให้ความสำคัญกับคุณค่าทั้งคู่ การต้องการกลับไปทำงานไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ได้ต้องการที่จะมีความสุขกับลูกน้อยของคุณด้วยเช่นกัน
  6. คิดเกี่ยวกับสิ่งที่ก่อให้เกิดจุดแข็ง หรือจุดอ่อนที่มีความสัมพันธ์กับธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมทางสังคมภายในบริบทท้องถิ่นของคุณ ธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมเป็นข้อกำหนดในการควบคุมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเป็นหน้าที่ภายในพื้นที่ หรือวัฒนธรรมทางธรณีวิทยาที่ใดที่หนึ่ง โดยหวังว่าจะช่วยรักษาขอบเขตทางสังคมให้เข้มแข็ง [6] การรู้ว่าความแตกต่างเหล่านี้มีผลกับสถานที่ที่คุณอาศัยอยู่อย่างไร สามารถช่วยคุณตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อนในสถานที่ทางธรณีวิทยานั้นๆ ได้ [7]
    • ยกตัวอย่างเช่น หากคุณอาศัยอยู่ในเขตชนบท ที่ทุกคนทำงานโดยใช้มือของพวกเขาเอง สมาชิกของชุมชนนี้จะให้คุณค่ากับแรงงานทางร่างกาย และการทำงานด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานในระหว่างวัน แต่หากคุณอาศัยอยู่ในเมืองที่มีขนาดใหญ่ คุณลักษณะดังกล่าวอาจไม่มีความสำคัญ ยกเว้นว่าคุณทำงานที่ต้องใช้แรงกาย และมือในการทำงาน
    • พิจารณาว่าสิ่งแวดล้อมที่คุณอาศัยอยู่ทำให้เกิดจุดแข็ง และคุณลักษณะส่วนตัวของคุณหรือไม่ หากไม่ใช่ ให้คุณคิดว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะ หรือย้ายไปสู่สิ่งแวดล้อมที่จุดแข็งของคุณอาจมีคุณค่าสูงขึ้นมากกว่านี้ได้อย่างไร [8]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 6:

ทำแบบฝึกหัดการสะท้อนตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อช่วยคุณในการพิจารณาว่าจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณคืออะไร คุณสามารถทำแบบฝึกหัดการสะท้อนตัวเอง (Reflective Best Self, RBS) ซึ่งช่วยให้คุณไตรตรองได้ว่าคนอื่นคิดกับคุณอย่างไร เพื่อทำให้คุณสามารถค้นหาจุดแข็งของคุณได้ เริ่มต้นด้วยการคิดถึงผู้คนในแง่มุมต่างๆ ของชีวิตคุณ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงาน ทั้งเก่า และใหม่ และครู อาจารย์ เพื่อน และครอบครัว
  2. ทันทีที่คุณมีตัวเลือก ให้ส่งอีเมล์ถึงพวกเขาเพื่อถามถึงจุดแข็งของคุณ ขอให้พวกเขายกตัวอย่างที่พวกเขาเห็นว่าคุณได้ใช้จุดแข็งของคุณ แน่ใจว่าคุณได้บอกพวกเขาว่า จุดแข็งเหล่านี้ว่าสามารถเป็นด้านทักษะ หรือบุคลิกลักษณะ โดยการตอบสนองทั้งสองรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญ
    • อีเมล์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำ เนื่องจากมันช่วยลดความกดดันได้ดี และเป็นการให้เวลาคนเหล่านั้นในการคิดผลตอบรับ และเปิดโอกาสให้พวกเขาให้คำตอบคุณอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้วิธีนี้ยังช่วยให้คุณเก็บผลตอบรับเหล่านั้นเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับการวิเคราะห์ของคุณในภายหลัง [10]
  3. ทันทีที่คุณได้รับผลตอบรับทั้งหมด คุณจำเป็นต้องหาความคล้ายคลึงกันของผลตอบรับดังกล่าว ให้อ่านผลตอบรับแต่ละเรื่อง และคิดว่ามันหมายความว่าอะไร พยายามดึงคุณสมบัติที่แต่ละคนชี้แนะ และอ่านผลตอบรับอื่นๆ เพื่อดูว่ามีคุณสมบัติอื่นๆ อีกบ้างไหม หลังจากคุณตีความพวกมันทั้งหมดแล้ว ให้เปรียบเทียบกับผลตอบรับอื่นๆ และหาคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน ที่หลายๆ คนพูดถึง
    • มันอาจช่วยได้โดยการสร้างตารางที่ประกอบไปด้วย คอลัมน์ที่ระบุชื่อของคุณสมบัติ คอลัมน์ที่ระบุผลตอบรับแต่ละเรื่อง และคอลัมน์สำหรับการตีความของคุณ [11]
    • ยกตัวอย่างเช่น มีหลายคนในชีวิตคุณบอกคุณว่า คุณรับมือกับสิ่งต่างๆ ภายใต้ความกดดันได้ดี คุณเก่งในการเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤต และสามารถช่วยบริหารคนในสถานการณ์ที่ตึงเครียด นี่หมายความว่า คุณสามารถอยู่ในความสงบภายใต้ความกดดัน และคุณค่อนข้างเป็นคนที่มีความเข้มแข็ง และเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ คุณสามารถตีความได้อีกว่า คุณเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเป็นคนของประชาชน
  4. ทันทีที่คุณมีผลตอบรับทั้งหมด เขียนการวิเคราะห์รูปเหมือนตัวเองของจุดแข็งของคุณ แน่ใจว่าได้รวมแง่มุมที่แตกต่างกัน ที่ผู้คนได้ชี้แนะในคำอธิบายของพวกเขาที่มีต่อคุณ และคุณลักษณะใดๆ ที่คุณได้ยกขึ้นมาในการวิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง
    • นี่ไม่ได้หมายถึงการทำให้เป็นโพรไฟล์ทางด้านจิตวิทยาที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นแค่รูปเหมือนที่เป็นตัวตนเชิงลึกของคุณ มันช่วยเตือนคุณ ถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่คุณใช้เมื่อคุณได้พยายามจนถึงที่สุด และสามารถช่วยชี้นำให้คุณมีความพยายามที่จะใช้มันให้มากขึ้นในอนาคต [12]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 6:

ทำรายการการกระทำของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พิจารณาวิธีในการตอบสนองของคุณต่อสถานการณ์ใดๆ ที่ต้องการการกระทำ ความคิด และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะทำสิ่งใดที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ให้ลองตรวจสอบการตอบสนองที่เกิดขึ้นเองของคุณต่อประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณแล้วเสียก่อน ซื้อ หรือหาสมุดบันทึกเพื่อจดความคิดของคุณ
    • เหตุผลสำหรับการทำสิ่งนี้ คือการตอบสนองที่เกิดขึ้นเองบอกคุณได้มากมายเกี่ยวกับวิธีการตอบสนองของคุณในสถานการณ์ธรรมดา และร้ายแรง คุณสามารถจดบันทึกสิ่งเหล่านั้นเพื่อช่วยคุณในการตีความการกระทำ และความสามารถของคุณ [13]
  2. คิดถึงสถานการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งมีบางอย่างเกิดขึ้น. บางทีอาจเป็นการประสบอุบัติเหตุรถชน หรือมีเด็กวิ่งมาหน้ารถคุณ ในขณะที่คุณต้องเหยียบเบรกอย่างแรง คุณจะตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้อย่างไร? คุณจะสงบสติอารมณ์ และหลีกหนี หรือคุณจะเผชิญหน้ากับความท้าทายตรงหน้า โดยการหาเครื่องมือ และทรัพยากรเพื่อจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?
    • หากคุณควบคุมสถานการณ์ได้ และแสดงความเป็นผู้นำ คุณอาจรู้สึกว่า ความกล้าหาญ และความสามารถในการรับมือสถานการณ์เหล่านี้เป็นจุดแข็ง หากคุณตอบสนองโดยการร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกไร้ที่พึ่งพา หรือใส่อารมณ์กับผู้อื่น แสดงว่าการควบคุมตัวเองในระหว่างสถานการณ์ที่มีความท้าทายอาจเป็นจุดอ่อน [14]
    • พึงพิจารณาสิ่งต่างๆ จากหลายๆ มุมมอง ยกตัวอย่างเช่น การรู้สึกไร้ที่พึ่งพา หลังจากประสบอุบัติเหตุรถชน เป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบต่อความเครียดจากประสบการณ์ที่ได้รับ แต่หากคุณขอความช่วยเหลือจากใครบางคน นี้แสดงให้เห็นว่าการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น (ความร่วมมือ) สามารถเป็นจุดแข็ง คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อให้ตัวเองเข้มแข็งเสมอไป
  3. ให้คิดถึงช่วงเวลาที่คุณเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยาก แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ยกตัวอย่างเช่น คุณตอบสนองอย่างไรเมื่อคุณเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน? คุณต้องการที่จะพูดคุยกับทุกคนที่คุณพบที่นั่น หรือคุณต้องการหามุมเงียบๆ เพื่อหลีกหนีจากเสียงรบกวน และไม่ต้องการที่จะปฏิสัมพันธ์กับใครในห้องนั้นแม้แต่คนเดียวใช่หรือไม่?
    • คนที่เข้าถึงผู้อื่นได้ง่าย มีจุดแข็งในเรื่องการเข้าสังคม และเป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะที่เปิดเผย ในขณะที่คนที่เงียบขรึม มีจุดแข็งในเรื่องความเป็นเอกเทศ และการฟัง จุดแข็งทั้งสองอย่างนี้สามารถถูกใช้กับประโยชน์โดยธรรมชาติของบุคคล [15]
  4. พิจารณาเวลาที่คุณเผชิญหน้ากับสถานการณ์ส่วนบุคคลที่ยากลำบาก. คิดถึงเวลาเมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และจำเป็นต้องตอบโต้โดยทันที คุณเรียนรู้ และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้เร็วแค่ไหน? คุณเป็นนักคิดที่รวดเร็ว และหาวิธีตอบโต้ได้อย่างสวยงาม เมื่อเพื่อนร่วมงานแสดงความคิดเห็นที่เป็นการเหยียดหยามใช่หรือไม่? หรือคุณมีแนวโน้มจะซึมซับ คิด แล้วจึงโต้ตอบในสถานการณ์เหล่านั้นใช่หรือไม่?
    • จำไว้ว่าจุดแข็งใดๆ ที่คุณได้พัฒนาขึ้น ในบางครั้งอาจต้องแลกกับบางอย่าง หากคุณใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของคุณไปกับการอ่าน และการเขียน ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจไม่ถนัดในการพูดจาไร้สาระเหมือนคนอื่นๆ แต่คุณอาจจะมีทักษะในการถอดโครงเรื่องของหนังสือ และเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟังได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้คุณอาจเติบโตมากับน้องสาว หรือน้องชาย ซึ่งหมายความว่าคุณอาจมีความเห็นอกเห็นใจ อดทน และเก่งในการแก้ไขสถานการณ์
    • มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะจำไว้ว่าโลกต้องการคนที่แตกต่าง มีจุดแข็ง และความสนใจที่แตกต่างกัน เพื่อให้มีความหลากหลายเหมือนที่เป็นอยู่ คุณไม่จำเป็นต้องเก่งในทุกเรื่อง แค่ในบางเรื่องที่คุณพิจารณาว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตัวคุณก็เพียงพอแล้ว
    • คนที่โต้ตอบได้อย่างชาญฉลาด หรือแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว อาจมีไหวพริบปฏิภาณเป็นจุดแข็ง และบางทีอาจมีจุดอ่อนในเรื่องการใส่ใจในรายละเอียด ในขณะที่คนที่ใช้เวลาในการคิดสามารถถูกอธิบายได้ว่า มีจุดแข็งในเรื่องการวางแผน และบางทีอาจมีจุดอ่อนในเรื่องข้อจำกัดด้านความรวดเร็วว่องไว [16]
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 6:

ทำรายการความปรารถนาของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความปรารถนา หรือความต้องการของคุณบอกสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับตัวคุณได้อย่างมากมาย แม้ว่าคุณอาจใช้เวลานานแค่ไหนในการปฏิเสธมันก็ตาม พิจารณาว่าทำไมคุณต้องการบรรลุกิจกรรม หรือเป้าหมายเหล่านั้น และต้องใช้ความพยายามแค่ไหนที่จะไปให้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น โอกาสคือ ความปรารถนาเหล่านี้เป็นความชอบ และความฝันในชีวิตของคุณ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญ [17] คนจำนวนมากติดอยู่ในหลุมพรางของการทำในสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาต้องการ และจำใจต้องประกอบอาชีพหมอ หรือทนายความ แทนที่จะเป็นนักเต้นบัลเล่ย์ หรือนักไต่เขาอย่างที่พวกเขาต้องการ ให้แยกหัวห้อในสมุดบันทึกของคุณ เพื่อเขียนความปรารถนา หรือความต้องการของชีวิตของคุณ
    • ถามตัวเองว่า “อะไรคือความปรารถนาในชีวิตของฉัน?” ไม่ว่าคุณกำลังประยุกต์เข้ากับงานแรกในชีวิตของคุณ หรือพึ่งเริ่มตัดสินใจได้ในช่วงวัยเกษียณก็ตาม คุณควรมีเป้าหมาย และความปรารถนาในชีวิตของคุณเสมอ ให้คุณตัดสินใจว่าอะไรที่ผลักดันคุณ และอะไรที่ทำให้คุณมีความสุข
  2. เริ่มถามตัวเองถึงสิ่งที่คุณรู้สึกเพลิดเพลินในชีวิตมากที่สุด จดบันทึกคำตอบจากคำถามที่ว่า “กิจกรรมรูปแบบไหนที่ฉันพบว่าน่าพึงพอใจ หรือดึงดูดใจ?” สำหรับคนบางคน การนั่งอยู่หน้ากองไฟกับสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่สำหรับคนอื่น พวกเขาอาจชื่นชอบการปีนเขา หรือขับรถท่องเที่ยวมากกว่า
    • ทำรายการของกิจกรรม หรือสิ่งที่คุณทำที่ทำให้คุณมีความสุข และพึงพอใจ มีความเป็นไปได้มากว่า คุณจะพบว่างานอดิเรกต่างๆ ของคุณ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลสำหรับคุณในเรื่องนี้
  3. ควบคู่ไปกับความปรารถนาของคุณ คุณจำเป็นต้องตัดสินใจว่าอะไรที่จูงใจคุณในชีวิต ในสมุดบันทึกของคุณ ให้เขียนคำตอบจากคำถามที่ว่า "เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกมีแรงกระตุ้น และพลัง?” พิจารณาเวลาในชีวิตของคุณเมื่อคุณรู้สึกพร้อมที่จะครอบครองโลกอย่างรวดเร็ว หรือมีแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ สิ่งที่ดลบันดาล หรือจูงใจคุณเป็นสิ่งที่เข้มแข็งที่สุดของคุณ
    • จดบันทึกว่าผู้คนจำนวนมากรู้สึกปรารถนาในช่วงต้นของชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการรู้จักตนเองในวัยเยาว์ ซึ่งอาจสูญเสียไปเมื่อครอบครัว เพื่อน และความคาดหวังทางสังคม หรือความกดดันด้านการเงินกดความปรารถนาให้จมลึก [18]
    โฆษณา
ส่วน 5
ส่วน 5 ของ 6:

การประเมินจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. “จุดอ่อน” ไม่ใช่วิธีที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในการคิดหาวิธีปรับปรุงแก้ไข ในความเป็นจริง ผู้คนไม่ได้อ่อนแอจริงๆ ถึงแม้ว่าพวกเราอาจรู้สึก หรือคิดแบบนั้นจริงๆ ในแต่ละช่วงเวลา อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าพวกเขาสามารถเข้มแข็งขึ้นได้ในด้านใดด้านหนึ่งในชีวิต หรือทักษะต่างๆ ได้ แต่เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่แข็งแรงในเรื่องเหล่านั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะกำหนดสิ่งที่ตรงกันข้ามเพื่ออธิบาย เมื่อพวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องลงมือทำเรื่องนั้นๆ เพื่อทำให้รู้สึกเข้มแข็ง และมีอำนาจมากขึ้น [19] แทนที่จะสนใจอยู่กับ “จุดอ่อน” ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ ให้คุณคิดเกี่ยวกับด้านที่คุณจะสามารถเติบโต หรือพัฒนาได้เพิ่มมากขึ้น – วิธีนี้จะช่วยให้คุณสนใจในอนาคต และสิ่งที่คุณสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
    • จุดอ่อนสามารถถูกเข้าใจได้ว่าเป็นบางสิ่งที่เกี่ยวกับตัวคุณเอง ซึ่งคุณมีอำนาจที่จะปรับปรุงตราบเท่าที่พวกมันเกี่ยวข้องกับความปรารถนาของคุณ หรือบางทีอาจไม่เกี่ยวข้องกับความปรารถนา หรือเป้าหมายใดๆ ในชีวิตของคุณก็ตามที การรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ จุดอ่อนไม่ได้เป็นลักษณะถาวรของพวกเรา แต่เป็นลักษณะที่ช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีทำสิ่งต่างๆ ให้ดีเยี่ยมมากขึ้น
  2. ขอบเขตที่คุณสามารถพัฒนาอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ ก็ได้ เช่น อาชีพใดอาชีพหนึ่ง หรือทักษะทางสังคม หรือการควบคุมอาหาร คุณสามารถอ้างอิงถึงการไร้ความสามารถในการรับลูกเบสบอล หรือแก้สมการคณิตศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว บ่อยครั้ง พื้นที่สำหรับการเติบโตถูกตีกรอบในรูปแบบของ “การเรียนรู้บทเรียนจากชีวิต” และการไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำซ้อน หรือบางครั้ง มันเป็นเรื่องของการพยายามเอาชนะการขาดทักษะที่คุณรับรู้ได้ด้วยตัวเอง
    • อย่างไรก็ตาม “จุดอ่อน” ที่ปรากฏอาจเป็นเพียงแค่การบ่งชี้ว่ากิจกรรมนั้นๆ ไม่ใช่สำหรับคุณเพียงแค่นั้น ซึ่งสามารถเป็นสิ่งสำคัญที่คุณเองต้องยอมรับ หากทุกคนมีทักษะความสามารถ หรือความเพลิดเพลินในกิจกรรมต่างๆ เหมือนๆ กัน โลกนี้คงเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อมากๆ [20]
  3. บางคนอาจพิจารณาเอาแต่ใส่ใจในจุดอ่อนส่วนตัวตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียเวลา หรือทำให้พลาดในการตีกรอบประเด็นปัญหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ให้คุณเอาใจใส่ในจุดแข็งของคุณเป็นหลัก และพยายามเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไปได้ นี่สามารถเป็นวิธีการเข้าถึงที่ดีกว่า จากนั้นจึงค่อยแยกแยะจุดอ่อนส่วนตัว เนื่องจากสิ่งที่ผู้คนอ้างว่าเป็นจุดอ่อนโดยทั่วไป จะเกี่ยวกับการขาดความสนใจ หรือความปรารถนาที่จะปรับปรุงแก้ไข ซึ่งมันอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณในการเอาใจใส่ในจุดแข็ง และความปรารถนาส่วนตัวทั้งหมดของคุณ และเริ่มต้นจากตรงนั้น เปิดใจให้กว้างเมื่อคุณกำลังรับรู้ถึงจุดแข็งของคุณ เพราะว่าคุณอาจมีอยู่มากมาย แม้แต่ในเรื่องที่คุณรู้สึก “อ่อนแอ” ให้มุ่งประเด็นไปที่เรื่องที่คุณรู้สึกว่าคุณสามารถมีประสิทธิภาพได้มากกว่าที่เป็นอยู่
    • ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการที่จะกล้าแสดงออกมากขึ้น อันดับแรกให้เริ่มต้นด้วยทักษะความกล้าแสดงออกอะไรที่คุณกำลังทำอยู่แล้ว บางทีคุณอาจมีความยากลำบากในการพูดว่าไม่ แต่คุณมีความสามารถในการกล่าวถึงความตั้งใจของคุณในวิถีที่ความตั้งใจของคุณถูกเข้าใจ และคุณสามารถสงวนความรู้สึกส่วนบุคคลไว้ [21]
    • คิดถึงแง่มุมของบุคลิกลักษณะของคุณที่คุณพิจารณาว่าเป็นจุดแข็ง การเป็นคนใจดี ใจกว้าง เปิดรับ หรือเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นจุดแข็งที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถโดยรวมของคุณที่อาจถูกมองข้าม พึงตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ และจงมีความภูมิใจ
    • อีกวิธีในการคิดถึงจุดแข็งคือ พิจารณาพวกมันว่าเป็นพรสวรรค์ หรือความสามารถโดยกำเนิด และความปรารถนา ที่เข้ากันกับความรู้สึกของตัวเอง และวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต หรืออีกนัยหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณสามารถพูดได้ว่า “มันไม่ใช่ความพยายาม แต่ฉันมีความสามารถที่จะทำกิจกรรมบางอย่างได้ดีอยู่เสมอ" [22]
  4. ทันทีที่คุณประเมินสิ่งที่คุณเขียนเกี่ยวกับการกระทำ และความปรารถนาของคุณทั้งหมด มันถึงเวลาที่คุณจะสนใจกับสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ ใช้รายการจากคนอื่นที่คุณได้รับก่อนหน้านี้ และสิ่งที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวคุณเองผ่านแบบฝึกหัดต่างๆ และเขียนขอบเขตของงาน และชีวิตของคุณ ที่คุณคิดว่าเป็นจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ โดยสนใจว่าในปัจจุบันคุณมองเห็นจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณเองต่อสิ่งที่คุณกำลังทำในชีวิตตอนนี้อย่างไร ทั้งเรื่องส่วนตัว และเรื่องงาน มากกว่าการมองไปที่อดีต หรือความปรารถนาของคุณ
    • จำไว้ว่า ไม่มีใครกำลังให้คะแนน หรือตัดสินคุณตามการตอบสนองของคุณ ดังนั้นจงซื่อสัตย์กับตัวเอง มันอาจช่วยได้หากคุณวาดตารางที่ประกอบไปด้วยสองคอลัมน์โดยเขียนหัวข้อหนึ่งว่า “จุดแข็ง” และอีกหัวข้อเป็น “จุดอ่อน” และเขียนรายการทั้งหมดลงตามหัวข้อที่มีเข้ามาถึงคุณ [23]
  5. ว่ามันเหมือนกัน และคุณพบสิ่งแปลกประหลาดใจใช่หรือไม่? คุณคิดว่าคุณเข้มแข็งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ในรายการการกระทำของคุณไม่มีเรื่องนั้นปรากฏให้เห็นใช่หรือไม่? รูปแบบของการไม่เข้ากันนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณกำลังบอกตัวคุณเองไปทางใดทางหนึ่ง แต่สถานการณ์ที่ท้าทายกลับแสดงถึงบุคลิกลักษณะที่แท้จริงของคุณ
    • จะเป็นอย่างไรหากเกิดการไม่เข้ากันระหว่างความปรารถนาของคุณ กับสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นจุดแข็งของคุณ? การไม่เข้ากันนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคุณพยายามทำสิ่งต่างๆ กับชีวิตของคุณตามความคาดหวังของผู้อื่น หรือตามความคิดของคุณเองที่คิดว่าควรถูกทำให้เป็นแบบนั้น ในขณะที่ความปรารถนาของคุณ และการตอบสนองจริงๆ นั้นแตกต่างกัน
  6. มองไปที่รายการที่แตกต่างกันที่คุณได้ทำขึ้น มองหาความแปลกประหลาดใจ หรือสถานที่ที่ไม่เข้ากัน สะท้อนความคิดว่าทำไมคุณถึงคิดว่าคุณสมบัติ และจุดอ่อนที่คุณเห็นได้กลายเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป มันเป็นไปได้ไหมว่าคุณคิดว่าคุณเพลิดเพลินกับบางสิ่งบางอย่าง หรือคุณรู้สึกจูงใจโดยบางสิ่งบางอย่าง แต่ในความเป็นจริงคุณไม่สามารถ หรือคุณไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่หรือไม่? รายการเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นว่า
    • คุณใส่ใจในประเด็นที่แตกต่างเหล่านั้น และพยายามแยกแยะสถานการณ์ที่บ่งชี้ประเด็น ยกตัวอย่างเช่น คุณได้เขียนว่าคุณมีความปรารถนาจะเป็นนักร้อง แต่ในรายการที่คุณเชื่อว่าเป็นจุดแข็งของคุณ คุณเขียนว่าคุณเก่งในด้านวิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์ใช่หรือไม่? ในขณะที่แพทย์ที่ร้องเพลงเพราะอาจเป็นความแปลก เนื่องจากทั้งสองอาชีพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พิจารณาว่าสิ่งไหนจูงใจคุณได้มากกว่ากันจริงๆ ในระยะยาว
  7. ให้เพื่อนสนิท หรือสมาชิกในครอบครัวให้ผลตอบรับเชิงสร้างสรรค์ ถึงแม้ว่าการทดสอบตัวเองสามารถนำคุณไปสู่คำตอบได้สองสามประการ การได้ความคิดเห็นภายนอกจะช่วยเสริมให้การสังเกตของคุณเข้มแข็งมากขึ้น หรือสามารถทำลายความเชื่อผิดๆ บางอย่างได้ด้วยเหมือนกัน การเรียนรู้วิธีรับผลตอบรับที่เป็นประโยชน์จากผู้อื่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มันเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะไม่ต่อต้าน หรือคิดว่ามันเป็นการรุกล้ำเรื่องส่วนตัว เพราะว่าพวกเขาแนะนำเพื่อให้คุณปรับปรุง การเรียนรู้เพื่อรวบรวมผลตอบรับที่เป็นประโยชน์จากผู้อื่นเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณสามารถเป็นจุดแข็งในตัวมันเอง
    • หากคุณไม่คิดว่าสมาชิกในครอบครัวสามารถซื่อสัตย์ต่อคุณได้ ให้เลือกใครบางคนที่จะบอกความจริง และไม่พูดบิดเบือนจุดอ่อนของคุณ หาคนนอก หรือคนกลาง อาจเป็นเพื่อน หรือผู้ให้คำปรึกษา เพื่อให้ผลตอบรับเชิงสร้างสรรค์ด้วยความซื่อสัตย์
    • ขอผลตอบรับจากรายการของคุณ ให้คนนอกของคุณอ่าน และติชมรายการของคุณ อาจรวมไปถึงคำติชม และคำถามที่เป็นประโยชน์ เช่น “อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติอย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน?” ผู้สังเกตภายนอกอาจระลึกได้ในทันทีว่าคุณเป็นวีรบุรุษของเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น แม้ว่าคุณอาจจะลืมไปแล้วก็ตาม
  8. หากคุณยังคงมีความยุ่งยาก หรืออาจรู้สึกสบายใจกับแหล่งข้อมูลภายนอก ให้คุณถามมืออาชีพเพื่อช่วยคุณตัดสินใจว่าอะไรเป็นจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ มีบริษัทที่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทางด้านจิตวิทยาแก่คุณ ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับหน่วยงานสรรหาบุคคล [24] คุณสามารถทำแบบทดสอบเพื่อให้นักจิตวิทยาอ่านบุคลิกลักษณะ และโพรไฟล์อาชีพของคุณโดยมีค่าใช้จ่าย
    • ในขณะที่การทดสอบเหล่านี้ไม่จำเป็นที่จะให้สาระสำคัญของบุคลิกลักษณะของคุณ พวกมันอาจเป็นการให้คะแนนเกี่ยวกับการคิดถึงจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ
    • จากจุดนี้ คุณควรพบสิ่งที่พวกเขาพิจารณาว่าเป็นจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ แบบทดสอบที่ดีควรจะยาว เพื่อดึงแง่มุมของบุคลิกลักษณะของคุณที่ซ้ำๆ กันออกมา หลังจากที่ลองทำแบบทดสอบประเภทนี้ แน่ใจว่าคุณได้พูดคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อแก้จุดอ่อน และเผยจุดแข็ง
    • มีแบบทดสอบออนไลน์ที่คุณสามารถทำเพื่อประเมินจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ หาแบบทดสอบจากเวปไซต์ที่มีชื่อเสียง และถูกรวบรวมโดยนักจิตวิทยาที่มีใบอนุญาต หรืออาชีพที่ผ่านการรับรองที่คล้ายคลึงกัน หากมีค่าใช้จ่าย ให้ลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่ออกแบบทดสอบก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามันคุ้มค่าที่จะยอมเสียเงิน
  9. หลังจากคุณได้ประเมินจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณแล้ว ให้ใช้เวลาในการสะท้อนความคิด และพิจารณาว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่คุณพบ ตัดสินใจหากคุณต้องการที่จะพัฒนาจุดอ่อนใดๆ ของคุณ และพิจารณาสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำเพื่อต่อกร หรือเปลี่ยนแปลงจุดอ่อนเหล่านั้น
    • เข้าร่วมชั้นเรียน หรือหากิจกรรมที่จะจัดการกับจุดอ่อนของคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าคุณมีอาการประหม่า เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้มีการวางแผนไว้ หรือคุณอยู่ในสถานการณ์ที่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น เข้าร่วมแสดงละครในชุมชน มีส่วนร่วมในทีมกีฬา หรือร้องคาราโอเกะในบาร์
    • พิจารณาการบำบัด หรือวิธีในการพูดถึงความกลัว หรือความกังวล หากการเข้าร่วมชั้นเรียน หรือการร่วมกลุ่มแสดงละครดูไม่ได้ผล หรือคุณมีความกลัว หรือความกังวลที่ฝังรากลึก ที่คอยขัดขวางคุณจากการเดินไปข้างหน้า ให้พิจารณาปรึกษานักบำบัด
  10. คุณต้องระมัดระวังตัวเองไม่ให้ยึดติดอยู่กับจุดอ่อนของคุณ รูปแบบนี้สามารถกลายเป็นรูปแบบที่ไม่สร้างสรรค์ของอุดมคตินิยมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถฉุดรั้งคุณไว้จากการประสบความสำเร็จ มันจะเป็นการดีกว่าในการเริ่มต้นกับสิ่งที่คุณทำได้ดีสำหรับชุดทักษะที่ให้ จากนั้นให้หารายละเอียดต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนทักษะดังกล่าว และค่อยๆ ปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไป [25]
    • ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการปรับปรุงทักษะในการสื่อสารของคุณ หลังจากคุณได้สะท้อนความคิดของคุณเองแล้ว คุณตัดสินใจว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งเป็นจุดแข็งของคุณ อย่างไรก็ตาม คุณสงบเสงี่ยมเมื่อถึงคราวที่คุณต้องพูด ซึ่งเป็นจุดอ่อนของคุณ คุณตัดสินใจว่าคุณต้องการจะพูดให้มากขึ้น ดังนั้นคุณพยายามที่จะพูดแทรกขึ้นมาให้บทสนทนาสักประโยค หรือสองประโยคเมื่อบทสนทนาถูกหยุดลง
    • แนวทางสำหรับผู้ยึดถืออุดมคตินิยมอาจพูดว่า เป็นเพราะคุณไม่ได้เก่งในการพูดในปัจจุบัน คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพยายามปรับปรุงแก้ไข เนื่องจากคุณจะทำความผิดพลาด พึงรับรู้ว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และการเติบโต และจงยอมให้มันเกิดขึ้นในขณะที่คุณพยายามปรับปรุงตัวเอง
  11. ทุกๆ คนมีสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่พวกเขาทำได้ดี มีเวลาที่คุณทำบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่เคยได้ทำมาก่อน แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ใช่ และคุณพบว่าคุณทำมันได้อย่างช่ำชอง
    • นั่นอาจเป็นกีฬา ศิลปะ งานอดิเรกที่สร้างสรรค์ การปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ หรือการทดแทนใครบางคน ที่ต้องไปที่อื่น และทำงานแทนใครคนนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะมีประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจได้เหมือนคุณ แต่เมื่อคุณมีช่วงเวลาดังกล่าว ให้ใช้มันในการทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น และเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของคุณ
    โฆษณา
ส่วน 6
ส่วน 6 ของ 6:

การใช้ทักษะในการสัมภาษณ์งาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พิจารณาความเกี่ยวเนื่องของจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ. คุณสามารถใช้ทุกสิ่งที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองเพื่อช่วยในการสัมภาษณ์งาน ให้คิดว่าจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณมีความสัมพันธ์กับงานที่คุณกำลังสมัครอย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมตัว ให้คิดถึงภาระหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับงานที่คุณกำลังสมัคร และพิจารณาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของคุณว่า คุณเคยเผชิญหน้ากับภาระหน้าที่ดังกล่าวหรือไม่ คุณสมบัติส่วนตัวที่เป็นจุดแข็ง หรือจุดอ่อนของคุณได้แสดงออกมา เมื่อคุณต้องเกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่ดังกล่าว? [26]
    • ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังสมัครงานในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ ให้พูดถึงจุดแข็งของคุณ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ หรือการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม มันอาจไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดถึงจุดแข็งของคุณ ยกเว้นมันเป็นความต้องการของนายจ้างที่อยากจะรับรู้อยู่แล้ว
  2. เมื่อคุณถูกถามถึงบุคลิกลักษณะส่วนตัวของคุณในการสัมภาษณ์ ให้คุณซื่อสัตย์เมื่อต้องอธิบายถึงจุดแข็งของคุณ เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามคุณถึงจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ พวกเขาอาจต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับทักษะของคุณ และยังต้องการที่จะรู้ด้วยว่าคุณมีความสามารถแค่ไหนในการที่ต้องพูดถึงตัวเอง ทักษะทางสังคม และความสามารถในการโฆษณาตัวเอง ได้กลายเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญมากในตลาดงาน โดยผู้สัมภาษณ์จะเริ่มสังเกตผู้ถูกสัมภาษณ์ว่าสามารถอธิบายถึงจุดแข็ง และจุดอ่อนของเขา หรือเธอได้ดีแค่ไหน และดูว่ามีความสบายใจมากแค่ไหนที่จะพูดถึง [27]
  3. เพื่อให้คุณไม่รู้สึกอึดอัด คุณอาจฝึกการสัมภาษณ์งานกับผู้อื่น ขอให้เพื่อนสัมภาษณ์คุณ และฝึกฝนการอธิบายถึงตัวคุณกับเพื่อนของคุณ ทำหลายๆ ครั้ง กับคนหลายๆ คน จนกระทั่งคุณรู้สึกสบายใจมากขึ้นในการอธิบายถึงจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณต่อพวกเขา ในตอนแรก มันอาจดูเหมือนเป็นการอ่านบท แต่ในไม่ช้ามันจะค่อยๆ ดูเป็นธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น
    • ก่อนที่จะเข้าสัมภาษณ์งาน ให้คิดถึงตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมหลายๆ เรื่องเพื่อพูดถึง ซึ่งทำให้จุดแข็งของคุณดูเด่นชัดขึ้น ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้ต้องการเพียงแค่จะรู้ว่าจุดแข็งของคุณคืออะไร แต่ใคร่ที่จะรู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมที่แสดงให้เห็นถึงจุดแข็งของคุณ ที่ถูกใช้ในการเผชิญหน้ากับปัญหา หรืออุปสรรคที่มีเข้ามา สะท้อนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกมา คุณอาจเขียนใส่กระดาษให้มากที่สุดเท่าที่คุณนึกได้ เพื่อที่คุณจะสามารถเข้าสัมภาษณ์งานได้อย่างมีความพร้อมมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ [28]
    • ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “จุดแข็งคือ ฉันเป็นคนที่รอบคอบในเรื่องรายละเอียด” ให้คุณยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น “ในงานก่อนหน้านี้ ฉันรับผิดชอบในการตรวจสอบตัวเลขในงบประมาณรายเดือนของบริษัท ในหลายๆ ครั้ง ฉันสามารถตรวจพบข้อผิดพลาด ที่อาจทำให้บริษัทต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก การใส่ใจในรายละเอียดนี้จะช่วยให้ฉันสามารถทำงานในตำแหน่งนี้ของบริษัทของคุณได้เป็นอย่างดี”
  4. ผู้ที่มีโอกาสจะเป็นนายจ้างไม่ได้โง่ และสามารถอ่านความพยายามของคุณออก พวกเขาอาจสัมภาษณ์ผู้สมัครเป็นร้อยๆ คนสำหรับตำแหน่งงานนี้ และสัญชาติญาณแรกของทุกคนคือ ใช้สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นจุดอ่อน และหลอกล่อว่าเป็นจุดแข็ง [29] อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณเห็นว่าเป็น “จุดแข็ง” นายจ้างอาจไม่ได้คิดว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งบ่อยครั้ง นายจ้างมักมองหาลูกจ้างผู้ที่ให้คุณค่ากับความยืดหยุ่น และการทำงานเป็นทีม ซึ่งการโต้ตอบในลักษณะนี้บ่อยครั้งทำให้คุณเหมือนเป็นคนที่ขาดการตระหนักในตนเอง [30] โดยการหลอกล่อโดยทั่วไป ได้แก่: [31]
    • "ฉันเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ และไม่สามารถทนได้หากทำสิ่งนี้ผิด" อุดมคตินิยม ไม่ได้ทำให้นายจ้างเห็นว่ามันเป็นจุดแข็งที่แท้จริง เนื่องจากมันแสดงให้เห็นว่า คุณยึดถือตัวเอง และผู้อื่นด้วยมาตรฐานที่ไม่มีเหตุผล และอาจมีปัญหากับการผัดวันประกันพรุ่ง [32]
    • "ฉันเป็นคนดึงดัน และไม่ยอมละทิ้งอะไรง่ายๆ" นี่อาจแสดงให้เห็นว่า คุณไม่มีความยืดหยุ่น และรู้จักปรับตัว
    • "ฉันพยายามอย่างมากที่จะรักษาสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตให้ดี เพราะว่าฉันทำงานหนักมาก" นี่อาจแสดงให้เห็นว่า คุณไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และอาจทำให้คุณดูเป็นคนน่าเบื่อหน่าย หรือเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่น่าอภิรมย์นัก
  5. เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามคำถามคุณเกี่ยวกับจุดอ่อนที่คุณมี ให้คุณซื่อสัตย์ มันไม่มีประโยชน์อะไรในการถามคำถาม หากคำตอบที่คุณให้แก่ผู้สัมภาษณ์ทั้งหมดเป็นการโต้ตอบแบบสำเร็จรูป ที่พูดถึงแต่เพียงว่าคุณสุดยอดมากแค่ไหน ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขากำลังมองหาคำอธิบายถึงสิ่งที่คุณสามารถทำได้ ตัวตนภายในของคุณ ซึ่งข้อเสียจริงอาจรวมถึง: [33]
    • ชอบจับผิดมากเกินไป
    • สงสัยอำนาจหน้าที่ ของพนักงานในระดับเดียวกัน
    • เรียกร้องมากเกินไป
    • ผัดวันประกันพรุ่ง
    • พูดมากเกินไป
    • อ่อนไหวมากเกินไป
    • แสดงให้เห็นถึงการขาดความกล้าแสดงออก
    • แสดงให้เห็นถึงการขาดการรู้จักกาลเทศะทางสังคม
  6. มีบางส่วนของจุดอ่อนเหล่านี้ที่คุณจำเป็นต้องจัดการ และพูดว่าพวกมันสามารถมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของคุณได้อย่างไร มันสามารถเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประทับใจในการที่คุณพูดว่าข้อเสียของคุณมีผลกระทบ หรือสามารถกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของคุณได้อย่างไร มันแสดงให้เห็นถึงตัวตนข้างใน และความซื่อสัตย์ อย่างไรก็ตามคุณยังจำเป็นต้องมีไหวพริบปฏิภาณที่ดีในสิ่งที่คุณพูด [34]
    • ยกตัวอย่างเช่น บอกพวกเขาว่า "ในตอนนี้ ฉันเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ฉันตระหนักดีว่า สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อปริมาณของงานที่ฉันสามารถทำให้เสร็จได้ รวมไปถึงงานที่เพื่อนร่วมงานของฉันสามารถทำให้สำเร็จลุล่วง ในมหาวิทยาลัย ฉันหาทางที่จะจัดการกับข้อเสียนี้ได้ เพราะว่าฉันรู้ระบบดี และหาวิธีในการจัดการ และทำให้งานของฉันสำเร็จลุล่วงได้ ฉันตระหนักดีว่าสิ่งนี้ใช้ไม่ได้ในโลกของการทำงาน เพราะว่ามันไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ในการทำงาน บรรลุเป้าหมาย และทำให้สิ่งต่างๆ สำเร็จลุล่วง"
  7. แสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าคุณพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะข้อเสียของคุณอย่างไร. เป็นอีกครั้งที่การพูดความจริงดีกว่าการยึดถืออุดมคติ การให้การโต้ตอบแบบการยึดถืออุดมคติดูไม่เป็นความจริง และทำให้คุณดูเหมือนว่าคุณกำลังพยายามยกย่องตัวเอง [35]
    • ยกตัวอย่างเช่น บอกผู้สัมภาษณ์ “ฉันกำลังพยายามอย่างจริงจังในการควบคุมนิสัยการผัดวันประกันพรุ่งของฉัน ฉันกำลังตั้งเส้นตายหลอกๆ สำหรับตัวฉัน และพยายามกระตุ้นตัวเองให้ทำให้ได้ทันตามเส้นตายดังกล่าว วิธีนี้ช่วยฉันแก้ไขปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี "
  8. คุณควรมีน้ำเสียงที่มั่นใจ แต่ไม่ใช่หยิ่งยโส พยายามมีความมั่นใจ ในขณะเดียวกันให้ถ่อมตัวในเรื่องการประสบความสำเร็จ และทักษะของคุณ แน่นอน พยายามซื่อสัตย์ในการเลือกจุดแข็ง ที่อาจเข้ากับตัวบุคคล ธุรกิจ หรือองค์ที่คุณกำลังสมัครงาน จุดแข็งจริงโดยทั่วไปมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท:
    • ทักษะเชิงความรู้ เช่น ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ภาษา หรือองค์ความรู้ทางเทคนิค
    • ทักษะที่โยกย้ายได้ เช่น การสื่อสาร และทักษะการบริหารคน หรือการแก้ไขปัญหา
    • คุณสมบัติส่วนตัว เช่น การชอบสังคม ความมั่นใจ หรือการตรงต่อเวลา [36]
  9. มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่าคุณมีทักษะเรื่องคนที่น่าอัศจรรย์ใจ แต่การแสดงให้ดูกลับเป็นคนละเรื่องกัน จงแสดงจุดแข็งของคุณคืออะไรในชีวิตจริง โดยการยกตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณ หรือจากประวัติการทำงานของคุณ ยกตัวอย่างเช่น:
    • "ฉันเป็นนักสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ฉันใส่ใจในถ้อยคำที่ฉันใช้ และหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือเมื่อฉันสื่อสาร ฉันไม่กลัวที่จะติดตามใครบางคนที่อาจจะรุ่นใหญ่กว่าฉัน หากฉันไม่เข้าใจเขา ฉันใช้เวลาในการจินตนาการคนที่แตกต่างกันอาจตีความคำถาม หรือคำพูดแตกต่างกันได้อย่างไร "
    • คุณสามารถสาธิตจุดแข็ง และทักษะของคุณ โดยการแบ่งปันสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และความสำเร็จจากความพยายามของคุณ
    • หากคุณเคยได้รับรางวัล หรือเป็นที่ยอมรับในเรื่องใดๆ คุณสามารถเอ่ยถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยเช่นกัน
    โฆษณา


เคล็ดลับ

  • พึงระวังเมื่อแยกแยะความปรารถนาของคุณ โดยไม่ได้รวมเอาความปรารถนาหลอกเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นความปรารถนาที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อที่ผิดพลาดว่า คุณถูกกำหนดให้ต้องทำงานในงานการต่างประเทศ เพราะว่าคุณจะได้อาศัยในปารีส ลอนดอน และริโอ หรือคุณต้องการเป็นดารา เพื่อที่คุณสามารถร่วมงานปาร์ตี้หรูหรา และได้พบกับคู่รักที่ร่ำรวย สิ่งที่กล่าวมาไม่ใช่ความปรารถนา เพราะพวกมันขาดสาระสำคัญของการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเติมเต็มชีวิตของคุณ และมันเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ พึงรู้ถึงความแตกต่าง หรือคุณสามารถทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงในการสร้างอาชีพจากความเพ้อฝันมากกว่าที่มาจากจุดแข็งโดยกำเนิด และอารมณ์ของความปรารถนาของคุณ
  • การเปลี่ยนแปลงจุดอ่อนต้องใช้เวลา ดังนั้นจงให้อภัยตัวเอง หากคุณไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนของคุณได้ในทันที นอกจากนี้อย่าใช้เวลาของคุณทั้งหมดในการพยายามเปลี่ยนแปลงจุดอ่อนให้กลายเป็นจุดแข็ง ให้ลองใช้วิธีอื่นก่อนโดยการสร้างทักษะของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จากนั้นจึงค่อยหาทางในการเพิ่มพูนจุดแข็งของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการทำให้โดดเด่น เพราะว่ามันเป็นตัวของคุณมากที่สุด


โฆษณา

คำเตือน

  • ในระหว่างทำการสัมภาษณ์ ห้ามคุยโอ้อวดเกี่ยวกับจุดแข็ง หรือคร่ำครวญถึงจุดอ่อนของคุณ ให้คุณพูดอย่างตรงๆ และเสนอแนะวิธีจัดการกับจุดอ่อนที่ว่าของคุณ สำหรับจุดแข็ง ให้พูดแต่เรื่องจริง และพยายามถ่อมตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการยกยอปอปั้นตัวเองจนเกินงาม
  • หลีกเลี่ยงการติดอยู่ในหลุมพรางทางความคิด ยกเว้นตัวคุณจะไม่มีจุดอ่อนใดๆ มนุษย์ทุกคนมีข้อเสียที่ต้องแก้ไข จินตนาการตัวเองว่าเป็นผู้สัมภาษณ์ และคุณจะรู้สึกอย่างไรหากใครบางคนเอาแต่โม้โอ้อวดว่าพวกเขาสมบูรณ์แบบอย่างไรบ้าง
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Hubbs, D. L., & Brand, C. F. (2005). The Paper Mirror: Understanding Reflective Journaling. Journal of Experiential Education, 28(1), 60–71. http://doi.org/10.1177/105382590502800107
  2. Hiemstra, R. (2001). Uses and benefits of journal writing. New Directions for Adult and Continuing Education, 2001(90), 19–26. http://doi.org/10.1002/ace.17
  3. http://www.wire.wisc.edu/yourself/selfreflectknowyourself/Yourpersonalvalues.aspx
  4. http://www.mindtools.com/pages/article/newTED_85.htm
  5. https://www.psychologytoday.com/blog/dont-delay/201004/are-your-goals-value-congruent
  6. Ille, S. (2014). The Dynamics of Norms and Conventions Under Local Interactions and Imitation. International Game Theory Review, 16(3), 1–23. http://doi.org/10.1142/S0219198914500017
  7. Akhtar, S. (2006). Interpersonal boundaries : variations and violations / edited by Salman Akhtar. Lanham, Md. : Jason Aronson, c2006.
  8. Buckingham, M., & Clifton, D. O. (2001). Now, Discover Your Strengths (Abridged edition). New York, NY: Simon & Schuster Audio.
  9. https://hbr.org/2005/01/how-to-play-to-your-strengths
  1. https://hbr.org/2005/01/how-to-play-to-your-strengths
  2. https://hbr.org/2005/01/how-to-play-to-your-strengths
  3. https://hbr.org/2005/01/how-to-play-to-your-strengths
  4. Hubbs, D. L., & Brand, C. F. (2005). The Paper Mirror: Understanding Reflective Journaling. Journal of Experiential Education, 28(1), 60–71. http://doi.org/10.1177/105382590502800107
  5. Hubbs, D. L., & Brand, C. F. (2005). The Paper Mirror: Understanding Reflective Journaling. Journal of Experiential Education, 28(1), 60–71. http://doi.org/10.1177/105382590502800107
  6. Hubbs, D. L., & Brand, C. F. (2005). The Paper Mirror: Understanding Reflective Journaling. Journal of Experiential Education, 28(1), 60–71. http://doi.org/10.1177/105382590502800107
  7. Hubbs, D. L., & Brand, C. F. (2005). The Paper Mirror: Understanding Reflective Journaling. Journal of Experiential Education, 28(1), 60–71. http://doi.org/10.1177/105382590502800107
  8. http://www.careerealism.com/career-happiness-identify-top-desires/
  9. http://www.careerealism.com/career-happiness-identify-top-desires/
  10. http://www.fastcompany.com/3026105/dialed/the-importance-of-finding-and-facing-your-weaknesses
  11. http://www.fastcompany.com/3026105/dialed/the-importance-of-finding-and-facing-your-weaknesses
  12. Buckingham, M., & Clifton, D. O. (2001). Now, Discover Your Strengths (Abridged edition). New York, NY: Simon & Schuster Audio.
  13. http://www.levo.com/articles/career/owning-it-identifying-strengths-weaknesses
  14. http://www.careerealism.com/career-happiness-identify-top-desires/
  15. http://www.myersbriggs.org/my-mbti-personality-type/mbti-basics/
  16. https://www.recruiter.com/i/describing-your-weaknesses-for-interviews/
  17. https://www.recruiter.com/i/describing-your-weaknesses-for-interviews/
  18. Wyatt, W. (2014). Job Interview: That Job Is MINE! - Proven Strategies to Ace Job Interviews & Get Hired In the Blink of an Eye.
  19. Wyatt, W. (2014). Job Interview: That Job Is MINE! - Proven Strategies to Ace Job Interviews & Get Hired In the Blink of an Eye.
  20. http://www.forbes.com/sites/learnvest/2013/04/24/8-tips-for-acing-a-tough-job-interview/3/
  21. http://money.usnews.com/money/blogs/outside-voices-careers/2015/01/05/ignore-this-common-and-awful-career-advice
  22. https://www.recruiter.com/i/describing-your-weaknesses-for-interviews/
  23. https://www.psychologytoday.com/blog/science-and-sensibility/201003/break-perfectionism-procrastination-connection
  24. https://www.recruiter.com/i/describing-your-weaknesses-for-interviews/
  25. http://career-advice.monster.com/job-interview/interview-questions/greatest-strengths-and-weaknesses/article.aspx
  26. http://career-advice.monster.com/job-interview/interview-questions/greatest-strengths-and-weaknesses/article.aspx
  27. http://career-advice.monster.com/job-interview/interview-questions/greatest-strengths-and-weaknesses/article.aspx

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 17,329 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา