ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการค้นหาและโทรกลับ blocked number ให้คุณเอง โดย blocked number ก็คือสายเข้าที่ไม่โชว์เบอร์เหมือนสายเข้าทั่วไป เลยทำให้ถ้ารับไม่ทัน ก็ติดต่อกลับได้ยาก ถ้ามี ก็ให้ใช้ call-return code ของประเทศที่อยู่ ก็จะโทรกลับ blocked number ได้ทันทีหลังจากที่เขาโทรมา แต่ส่วนใหญ่จะโทรกลับได้ก็ต่อเมื่อใช้แอพในสมาร์ทโฟน อย่าง TrapCall หรือ Truecaller ช่วยระบุเบอร์โทร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้ Call-Return Code

ดาวน์โหลดบทความ
  1. call-return code ใช้ได้เฉพาะกรณีที่เบอร์ส่วนตัว (private number) หรือสายเข้าไม่โชว์เบอร์ (blocked number) เป็นสายล่าสุดที่โทรเข้าเครื่องคุณ และจะไม่ได้ผลเช่นกัน ถ้าสายเข้าที่ไม่โชว์เบอร์นั้นเป็นของบริษัท ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าใช้ call-return code แล้วไม่ได้ผล ให้ลอง แกะรอยค้นหาเบอร์โทร เพื่อแจ้งไปยังค่ายมือถือที่ใช้
    • หลายเบอร์ที่เป็น private หรือ restricted number คือเบอร์ไม่ขึ้น มักเป็นสายเข้าแบบ "robo-calls" หรือสายอัตโนมัติ เพื่อเช็คว่าเจ้าของเบอร์ยังใช้งานอยู่หรือเปล่า ถ้าโทรกลับไป เบอร์ต้นทางจะรู้ ว่าเราใช้เบอร์ของเราอยู่ ทำให้เริ่มสแปมหรือโทรมาก่อกวน ขายของ เป็นต้น
    • ถ้ามีคนโทรมาตอนรับสายที่เป็น private number หรือตอนใช้ call-return code ก็จะโทรกลับ private number ไม่ได้
  2. ต่อไปนี้คือ call-return code ที่คนนิยมใช้กัน ส่วนของประเทศไทย ลองสอบถามค่ายโทรศัพท์ที่ใช้ดู
    • อเมริกา - *69 หรือ *82
    • แคนาดา - *69
    • ออสเตรเลีย - *69 หรือ 1832
    • ฝรั่งเศส - 3131
    • อิสราเอล - *42
    • ญี่ปุ่น - 1361 สำหรับหาเบอร์ และ *1363 สำหรับโทรย้อนไปที่เบอร์หลังค้นเจอ
    • อังกฤษ - 1471 สำหรับหาเบอร์ และ 3 สำหรับโทรย้อนไปที่เบอร์หลังค้นเจอ
    • ไอร์แลนด์ - 142
    • ฟิลิปปินส์ - *999
  3. กดโค้ดที่แป้นตัวเลข ตาม call-return code ที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม "Call"
    • ถ้าใช้สมาร์ทโฟน ให้เปิดแอพ Phone แล้วเลือก tab แป้นตัวเลข (dial pad) ถ้ายังไม่เปิดขึ้นมา
  4. ส่วนใหญ่บริการ call-return จะแจ้งเบอร์ที่โทรมา ก่อนโทรกลับไปยังเบอร์นั้น ถ้าบริการของคุณเป็นแบบนี้ ก็อย่าลืมฟังเบอร์ด้วย
    • ถ้าใช้ call-return code แล้วแค่โทรกลับ ก็ไม่ทำขั้นตอนนี้หรือขั้นตอนที่เหลือในวิธีการนี้
    • ถ้าบริการ call-return แจ้งว่าเบอร์นั้นถูกบล็อกหรือไม่พบเบอร์นั้น ให้ ใช้ TrapCall ถ้าคุณใช้สมาร์ทโฟน ถ้าเป็นโทรศัพท์บ้านหรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน ที่ทำได้มีแค่ แกะรอยหมายเลข แล้วแจ้งค่ายมือถือที่ใช้
  5. ถ้าต้องโทรกลับในอนาคต ก็ควรมีเบอร์จริงๆ ไว้ แถมยังเอาไปร้องเรียนกับค่ายมือถือหรือแจ้งตำรวจได้ด้วย ถ้าจำเป็น
  6. พอรู้เบอร์คนที่โทรมาแล้ว ก็โทรไปที่เบอร์นั้นได้ตามปกติเลย
    • สายเข้าที่ไม่โชว์เบอร์ส่วนใหญ่จะเป็นการโทรอัตโนมัติ ถ้ามีข้อความว่าติดต่อเบอร์นั้นไม่ได้ หรืออะไรที่ใกล้เคียง แสดงว่าไม่ใช่เบอร์ของคนธรรมดา เป็นบริษัทหรือองค์กร
  7. ถ้าค้นหาเบอร์หรือโทรกลับไม่ได้ และไม่มีสมาร์ทโฟน ให้ trace หรือติดตามเบอร์โทรแล้วแจ้งค่ายมือถือ ด้วยโค้ดตามประเทศ เช่น กด *57 ในอเมริกา แต่จะได้ผล ตอนเบอร์นั้นโทรมาต้องรับสายก่อน และอาจมีเรื่องกระบวนการทางกฎหมายตามมาด้วย
    • ถ้าอยากได้โค้ดของประเทศเรา ต้องลองติดต่อค่ายโทรศัพท์ที่ใช้ ว่า trace code คืออะไร
    • ขั้นตอนนี้ปกติจะสงวนไว้ใช้กรณีที่ร้ายแรงจริงๆ (เช่น ถูกคุกคามหรือหลอกลวง)
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใช้ TrapCall ในสมาร์ทโฟน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. TrapCall จะรับสายที่ไม่โชว์เบอร์ใน iPhone หรือ Android ให้คุณเอง
    • คุณใช้ TrapCall ได้ฟรี 7 วัน หลังจากนั้นต้องเสียค่าบริการประมาณ 180 บาท ($5.95) ต่อเดือน (และมีค่าแรกเข้าประมาณ 150 บาท ($4.95) ชำระครั้งเดียว)
  2. เปิด App Store ใน iPhone หรือ Google Play Store ใน Android แล้วทำขั้นตอนต่อไปนี้
    • iPhone — แตะ Search แตะแถบค้นหา พิมพ์ trapcall แตะ Search แตะ GET ทางขวาของ "TrapCall: Stop Block..." แล้วใช้ Touch ID หรือใส่รหัสผ่าน Apple ID ตอนที่ขึ้น
    • Android — แตะแถบค้นหา พิมพ์ trapcall แตะ TrapCall: Unmask Blocked & Private แตะ INSTALL แล้วแตะ ACCEPT
  3. แตะ OPEN ใน app store หรือแตะไอคอนแอพ TrapCall ในหนึ่งในหน้า home
  4. ที่เป็นปุ่มสีเขียว ทางด้านล่างของหน้าจอ
    • ถ้าใช้ Android ให้แตะ Sign Up ตรงนี้
  5. ในช่องต่อไปนี้
    • Phone — พิมพ์เบอร์โทร
    • PIN — ใส่โค้ด 4 หลักที่ใช้ล็อกอิน TrapCall
    • Email — ใส่อีเมลที่จะพ่วงกับ TrapCall
    • Plan — แตะช่องนี้ ปัดหน้าจอจากซ้ายไปขวา เพื่อเลือกแพ็คเกจ "Basic" แล้วแตะ Select Basic ทางด้านล่างของหน้าจอ
  6. ทางด้านล่างของหน้าจอ
  7. แตะหนึ่งในช่องทางการชำระเงิน ทางด้านบนของหน้าจอ ปกติตัวเลือกก็จะมีบัตรเครดิต/เดบิต และ PayPal
  8. เช่น หมายเลขบัตร, security code, วันหมดอายุ และข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น
    • ถ้าใช้ PayPal แทนบัตรเครดิต/เดบิต ให้ล็อกอินบัญชี PayPal ตอนที่ขึ้น และยอมรับเงื่อนไขการใช้งานในหน้าจอก่อน หลังจากนั้นจะกลับไปที่แอพ TrapCall
    • ถ้าใช้ PayPal อาจจะต้องทำขั้นตอนซ้ำ 2 - 3 ครั้ง กว่า TrapCall จะรู้ว่าเป็นข้อมูลการชำระเงิน
  9. ที่เป็นปุ่มสีเขียว ทางด้านล่างของหน้าจอ เพื่อไปยังหน้า "Permissions"
  10. TrapCall จะขอเข้าถึง contacts, call blocking และ notifications ถ้าจะอนุญาตการเข้าถึงข้อมูลตามที่ว่า ให้แตะสวิตช์ทางขวาของแต่ละหมวดหมู่ แล้วยืนยันตัวเลือกตอนที่ขึ้น
    • ถ้าใช้ Android อาจจะไม่มีตัวเลือกนี้
  11. ทางด้านล่างของหน้า
  12. ผ่านไปไม่กี่วินาที TrapCall จะให้คุณอนุญาตการโทรโดยใช้ blocked number เสร็จแล้วจะมีขั้นตอนการตั้งค่าในหน้าจอ ก็ทำไป เพื่อ optimize TrapCall ในเครื่องคุณ
  13. ข้อจำกัดคือ TrapCall จะเปิดเผย blocked number เก่าๆ ที่เคยโทรหาคุณไม่ได้
  14. พอสายเข้า ให้แตะปุ่ม "Decline" หรือ "Hang Up" ในหน้าจอ เพื่อเพิ่มเบอร์นั้นเข้าหัวข้อ "Unmasked" ของ TrapCall
    • ถ้าปล่อยให้โทรศัพท์ดังไปเรื่อยๆ หรือรับสาย TrapCall จะดักจับข้อมูลไม่ได้
  15. พอกดตัดสายแล้ว ให้เปิด TrapCall โดยแตะไอคอนของแอพ
    • อาจจะมีให้ล็อกอินก่อน แบบนั้นให้ใส่เบอร์โทรกับ PIN ซะก่อน
  16. ทางด้านบนของหน้าจอ เพื่อเปิดรายการเบอร์ที่ถูกเปิดเผยไปล่าสุด ก็จะเห็นเบอร์ที่เพิ่งกดตัดสายไปด้วย
  17. ตอนนี้จะเห็นเบอร์โทร รวมถึงข้อมูลสาธารณะอื่นๆ ของเบอร์นั้นด้วย (เช่น ชื่อคนหรือบริษัทที่โทรมา) ตอนนี้ก็โทรกลับได้เลยโดยแตะที่เบอร์ (หรือจะกดเบอร์เองในแอพ Phone หรือ Ringer ก็ได้)
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ใช้ Truecaller ในสมาร์ทโฟน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. Truecaller เป็นแอพฟรี ทั้งของ iPhone และ Android เอาไว้ใช้ระบุและโชว์เบอร์ของสายเรียกเข้าที่ไม่โชว์เบอร์ โดยเฉพาะพวกสแปมทั้งหลาย คุณดาวน์โหลดแอพนี้ได้โดยเปิด App Store ของ iPhone หรือ Google Play Store ของ Android แล้วทำขั้นตอนต่อไปนี้
    • iPhone — แตะ Search แตะแถบค้นหา พิมพ์ truecaller แล้วแตะ Search แตะ GET ข้างหัวข้อ "Truecaller" แล้วสแกน Touch ID หรือใส่รหัสผ่าน Apple ID ตอนที่ขึ้น
    • Android — แตะแถบค้นหา พิมพ์ truecaller แตะ Truecaller: Caller ID, SMS spam blocking & Dialer ในเมนูที่ขยายลงมา แตะ INSTALL แล้วแตะ ACCEPT ตอนที่ขึ้น
    • Truecaller ให้คุณอัพเกรดเป็นบัญชีแบบเสียเงินได้ด้วย ซึ่งจะทำให้โชว์เบอร์ได้มากขึ้นในแต่ละเดือน รวมถึงไม่มีโฆษณามากวนใจ
  2. โดยแตะ OPEN ในหน้าของแอพ Truecaller
  3. แตะช่อง "Your phone number" แล้วพิมพ์เบอร์โทร (รวม area code ด้วย)
  4. ทางด้านล่างของหน้าจอ
  5. เพื่อให้ Truecaller ส่งข้อความแจ้งเตือนมาให้
  6. เปิดแอพ Messages ในเครื่อง รับโค้ด 6 หลักทาง SMS แล้วใส่โค้ดในช่องพิมพ์ของ Truecaller
  7. โดยกรอกข้อมูลตามช่องต่อไปนี้
    • First Name — พิมพ์ชื่อ
    • Last Name — พิมพ์นามสกุล
    • จะพิมพ์อีเมลในช่อง "Email" ด้วยก็ได้ ไม่บังคับ
  8. ทางด้านล่างของหน้า
  9. โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
    • iPhone — แตะ Open Settings แล้วแตะปุ่ม "Back" มุมซ้ายบนของหน้าจอ แตะ Phone แตะ Call Blocking & Identification แล้วแตะสวิตช์ "Truecaller" สีขาว จากนั้นกลับไปที่ Truecaller โดยกดปุ่ม Home 2 ครั้งติดกัน และแตะหน้าต่าง Truecaller
    • Android — ขั้นตอนจะต่างกันไปตามยี่ห้อและรุ่นอุปกรณ์ Android ของคุณ เพราะงั้นให้ทำตามคำแนะนำใน Truecaller
  10. มุมขวาบนของหน้าจอ
  11. แตะ Allow Permissions แล้วแตะ OK หรือ Allow ตอนที่ขึ้น
  12. แตะ tab Spam ID แล้วแตะ Update now แถวๆ กลางหน้าจอ เพื่อให้แน่ใจว่า spam list จะอัพเดทล่าสุด ไม่พลาดเบอร์ spam ใหม่ๆ
  13. Truecaller จะโชว์เบอร์ที่ก่อกวนหรือหลอกลวงโดยอัตโนมัติ คุณก็เช็คเบอร์นั้นๆ ได้เลย ถ้าอยากจะโทรกลับไป
    • ถ้ามี private number โทรมา (เช่น เบอร์มือถือคนอื่น) Truecaller อาจไม่โชว์เบอร์ ถ้าพบปัญหานี้ ให้ลอง ใช้ TrapCall แทน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าสงสัยว่าจะเป็น spam ห้ามโทรกลับ เพราะจะเปิดช่องให้โดนโทรมาก่อกวนบ่อยๆ ได้
โฆษณา

คำเตือน

  • เบอร์ spam ที่โทรมาส่วนใหญ่เป็น robo-call คือเป็นสายเข้าอัตโนมัติ เสียงพูดจะเป็นเสียงที่อัดไว้ ไม่ใช่คนจริงๆ โทรมา ถึงเจอเบอร์และโทรกลับไปได้ก็ไม่มีประโยชน์ แถมอาจทำให้เบอร์คุณถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของพวกก่อกวน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,293 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา