ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าวิธีของคุณคือวิธีที่ดีที่สุดมักจะยากเสมอ – โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมพวกเขาถึงปฏิเสธ การพลิกสถานการณ์ในบทสนทนาให้คนเชื่อในมุมมองของคุณ เคล็ดลับก็คือ การทำให้พวกเขารู้สึกสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงปฏิเสธ – และนั่นแหละ คือกลวิธีที่ถูกต้อง ที่คุณสามารถทำได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

ข้อพื้นฐาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การชักจูงใจคนไม่ได้เกี่ยวแค่การใช้คำพูดหรือภาษากายเท่านั้น – มันยังรวมไปถึงการรู้ว่าเมื่อไหร่คือเวลาที่เหมาะที่จะพูดออกไป ถ้าคุณเข้าไปคุยกับคนเวลาที่พวกเขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่าและพร้อมที่จะพูดคุยด้วย คุณจะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่าและเร็วกว่า
    • คนมักจะถูกชักจูงได้ทันทีหลังจากที่ขอบคุณใครสักคน – ที่พวกเขารู้สึกเป็นหนี้ ยิ่งกว่านั้นคนส่วนมากจะอยู่ในสถานะที่สามารถชักจูงคนได้มากที่สุดหลังได้รับการขอบคุณ – พวกเขาจะรู้สึกว่ามีสิทธิ์ ถ้าใครสักคนขอบคุณคุณ นั่นแหละคือเวลาที่เหมาะที่สุดในการขอร้องสักอย่าง เช่นเดียวกับที่ว่า ทำอะไรไป ก็จะได้คืนกลับมาเช่นนั้น คุณช่วยเขาเอาไว้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องตอบแทนคุณ [1]
  2. สิ่งสำคัญที่บอกว่าการโน้มน้าวนี่มีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์โดยทั่วไประหว่างคุณกับลูกค้า/ลูกชาย/เพื่อน/ลูกจ้างของคุณเช่นกัน ถ้าคุณไม่รู้จักคนๆ นั้นดี คุณจะต้องรีบสร้างมิตรภาพขึ้นทันที – หาเรื่องที่คุณชอบเหมือนๆ กันให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยปกติแล้ว คนเราจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่รอบๆ (รวมถึงยังมีความชอบมากกว่า) คนที่มีความเหมือนกันกับพวกเขา ดังนั้นให้หาเรื่องที่มีความคล้ายกัน และทำความรู้จักกับพวกเขาซะ
    • ก่อนอื่นให้คุยว่าอะไรที่พวกเขารู้สึกสนใจ วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะทำให้ผู้คนเปิดใจคือการพูดเกี่ยวกับอะไรที่พวกเขารู้สึกชอบ ถามคำถามที่ผ่านกระบวนการคิด และดูฉลาดเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสนใจ และอย่าลืมที่จะบอกว่าทำไมสิ่งเหล่านั้นจึงน่าสนใจสำหรับคุณเช่นกัน การเห็นว่าคุณเองก็มีจิตวิญญาณความชอบเช่นเดียวกันจะทำให้คนๆ นั้นรู้สึกว่ามันโอเคที่จะยอมรับและเปิดใจให้กับคุณ
      • บนโต๊ะนั่นใช่รูปตอนที่พวกเขากระโดดร่มกันหรือเปล่านะ? บ้าน่า! คุณเพิ่งจะกำลังมองหาที่กระโดดร่มครั้งแรกของคุณอยู่พอดี – แต่คุณควรจะเริ่มจาก 10,000 ฟุต หรือ 18,000 ฟุตก่อนดีนะ? พวกเขาจะมีความเห็นยังไงกันบ้างนะ?
  3. ถ้าหากคุณพูดกับลูกของคุณ “อย่าทำห้องรกนะ” เมื่อจริงๆ แล้วที่คุณต้องการสื่อก็คือ “จัดห้องด้วยนะ” มันก็คงจะไม่ได้เรื่องอะไร “อย่าลังเลที่จะติดต่อฉัน” ก็ไม่เหมือนกับ “โทรหาฉันวันพฤหัสนี้นะ!” ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครอยู่ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคุณหมายถึงอะไร ดังนั้นเขาอาจไม่สามารถที่จะให้ในสิ่งที่คุณต้องการได้
    • มันมีบางอย่างที่ต้องพูดออกมาให้กระจ่าง ถ้าคุณทำให้มันสับสน คนๆ นั้นอาจจะเห็นด้วยกับคุณ แต่ไม่ได้จำเป็นต้องรู้ว่าคุณกำลังมองหาอะไรอยู่ การพูดยืนยันออกมาให้ชัดเจนจะช่วยให้คุณคงความต้องการของคุณไว้ได้ และสามารถรักษาความตั้งใจของคุณให้ชัดเจน
  4. ใช้ภาพลักษณ์ (ethos) ความรู้สึกร่วม (pathos) และเหตุผล (logos). ยังจำสิ่งที่คุณร่ำเรียนมาเมื่อตอนมหาวิทยาลัยคอร์สวรรณคดีที่สอนเกี่ยวกับการจูงใจของอริสโตเติลได้อยู่รึเปล่า? ไม่หรอ? ไม่เป็นไร งั้นเรามาปัดฝุ่นกัน คนๆ นี้ฉลาดมาก และวิธีการจูงใจเหล่านี้เองที่มีความเป็นมนุษย์อย่างมากที่ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
    • ภาพลักษณ์ (ethos) – คิดให้ดูน่าเชื่อถือ เรามักจะเชื่อคนที่เราให้ความเคารพ คุณคิดว่าทำไมโฆษกถึงยังอยู่ได้ล่ะ? ก็เพื่อการร้องขอเช่นนี้ไงล่ะ ตัวอย่างเช่น: Hanes ชุดชั้นในดีๆ จากบริษัทที่น่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้คุณซื้อผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไหม? อาจจะใช่ แต่เดี๋ยวก่อน ไมเคิล จอร์แดนใส่มันมาเป็นเวลากว่า 20 ปีเลยหรือ? [2] Sold!
    • ความรู้สึกร่วม (pathos) – เชื่อมั่นในอารมณ์คุณ ทุกคนรู้จักโฆษณา SPCA ที่มีซาร่า แมคลาชแลน (Sarah McLachlan) เพลงเศร้าๆ กับลูกสุนัขเศร้าๆ นั่น โฆษณานั้นคือความผิดพลาดอย่างที่สุด รู้ไหมว่าทำไม? เพราะว่าเมื่อคุณดู คุณรู้สึกเศร้า และคุณก็จะรู้สึกว่าต้องช่วยลูกสุนัขเหล่านั้น เป็นความรู้สึกสงสารร่วมอย่างแท้จริง
    • เหตุผล (logos) – นี่เป็นรากศัพท์ของคำว่า “โลจิก (logic)” นี่อาจจะเป็นวิธีการจูงใจคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดแล้วก็เป็นได้ คุณแค่บอกคนๆ นั้นว่าทำไมเขาถึงควรเห็นด้วยกับคุณ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมสถิติถึงได้ถูกใช้อยู่บ่อยๆ ถ้ามีคนบอกคุณว่า “โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ตายเร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 14 ปี” (ซึ่งก็จริง [3] ) และคุณก็เชื่อว่าคุณอยากจะใช้ชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดี หลักตรรกะจะสั่งให้คุณหยุดสูบซะ บูม! โน้มน้าวสำเร็จ
  5. นี่เป็นกฎข้อที่ 1 เลยเมื่อพูดถึงการจูงใจ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หากมันไม่มีความจำเป็นสำหรับอะไรก็ตามที่คุณพยายามขาย/ได้มา/ทำ มันก็จะไม่เกิดขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็น บิล เกตส์ คนต่อไป (แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่สร้างความต้องการได้อย่างแท้จริง) – สิ่งที่คุณต้องทำคือการดูลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ คิดถึงขอบเขตของความต้องการต่างๆ --- ไม่ว่าจะเป็นความต้องการทางกาย ความปลอดภัยและมั่นคง ความรักและการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น ความต้องการการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น หรือ ความต้องการในการเข้าใจตนเอง คุณสามารถที่จะหาความต้องการสักด้านที่ยังขาดบางอย่างอยู่ บางอย่างที่มีแต่คุณเท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาได้ [4]
    • สร้างความขาดแคลน นอกเหนือไปจากสิ่งที่มนุษย์ต้องการเพื่อความอยู่รอดแล้ว เกือบจะทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในระดับที่ใกล้เคียงกัน บางครั้ง (หรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่) เราต้องการสิ่งต่างๆ เพียงเพราะแค่คนอื่นก็ต้องการ (หรือมี) สิ่งเหล่านั้น ถ้าคุณต้องการให้ใครสักคนต้องการในสิ่งที่คุณมี (หรือเป็น หรือทำ หรือถ้าพวกเขาแค่ต้องการคุณ) คุณก็จะต้องทำให้สิ่งๆ นั้นขาดแคลนก่อน แม้ว่าสิ่งๆ นั้นอาจจะหมายถึงตัวคุณเอง ท้ายที่สุดแล้ว คือเรื่องของการมีซัพพลายที่ตอบสนองดีมานด์ [5]
    • สร้างภาวะเร่งด่วน เพื่อที่จะให้คนอื่นลงมือทำในเดี๋ยวนั้น คุณจะต้องสามารถที่จะกระตุ้นความรู้สึกเร่งรีบขึ้นมาให้ได้ ถ้าพวกเขาไม่ถูกกระตุ้นให้มากพอที่จะต้องการอะไรก็ตามที่คุณมีเดี๋ยวนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนใจพวกเขาในอนาคต คุณจะต้องชักจูงคน ณ ตอนนั้น นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญ [5]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

ทักษะของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช่แล้ว – คนมักจะถูกชักจูงกับผู้พูดที่พูดด้วยความมั่นใจ รวดเร็วมากกว่าคนที่พูดเพื่อเน้นความถูกต้อง ก็เป็นไปได้ – ยิ่งคุณพูดเร็วเท่าไหร่ คนฟังก็จะยิ่งมีเวลาในการคิดน้อยเท่านั้นว่าคุณพูดอะไรและทำให้ไม่ทันได้สงสัยด้วย นั่นแหละ คุณจะสร้างความรู้สึกว่าคุณได้สรุปเรื่องอย่างแท้จริงโดยการพูดข้อเท็จจริงทั้งหมดด้วยความเร็วเสมือนวาร์ป และมั่นใจในคำพูดคุณ
    • ในเดือนตุลาคมปี 1967 ผลการวิจัยได้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Personality and Social Psychology วิเคราะห์ถึงทัศนคติ และระดับความเร็วในการพูด นักวิจัยพูดกับผู้เข้าร่วม พยายามที่จะชักจูงพวกเขาว่าคาเฟอีนนั้นส่งผลเสียต่อพวกเขา เมื่อพวกเขาพูดที่ความเร็วระดับเทอร์โบ 195 คำต่อนาที ผู้ฟังส่วนมากมักจะเห็นด้วย; ในทางกลับกัน คนที่บรรยายด้วยความเร็ว102 คำต่อนาทีสามารถชักจูงคนได้น้อยกว่า เชื่อกันว่ายิ่งพูดเร็วเท่าไหร่ (195 คำต่อนาที เกือบจะเป็นความเร็วที่เร็วที่สุดที่คนคุยกันในบทสนทนาทั่วไป) ข้อความที่สื่อสารออกไปจะดูมีความน่าเชื่อถือมากเท่านั้น – และจึงทำให้สามารถโน้มน้าวคนได้ การพูดเร็วยังบ่งบอกถึงความมั่นใจ ความมีสติปัญญา ข้อเท็จจริง และความรู้ที่เหนือระดับ การบรรยายที่ระดับความเร็ว 100 คำต่อนาที หรือระดับที่ช้าที่สุดของบทสนทนาทั่วไป จะให้ผลในด้านลบมากกว่า [6]
  2. ใครจะไปคิดว่าการทำตัวให้ดูหยิ่งจะเป็นสิ่งที่ดี (ในเวลาที่เหมาะ)? อันที่จริงแล้ว ผลการวิจัยล่าสุดเผยว่ามนุษย์ชอบความหยิ่งยโสในตัวผู้เชี่ยวชาญมากกว่า เคยสงสัยไหมว่าทำไมพวกนักการเมืองที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หรือพวกผู้มีอิทธิพลถึงได้เอาตัวรอดได้จากทุกอย่าง? ทำไมซาร่า พาลินถึงยังมีกิ๊กอยู่บนข่าว Fox มันก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากวิธีการทำงานของจิตใจมนุษย์นั่นแหละ ผลสืบเนื่อง จริงๆ
    • ผลการวิจัยที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ชอบคำแนะนำจากแหล่งที่ดูมีความมั่นใจ – แม้ว่าเราจะรู้ว่าแหล่งที่มานั้นไม่ได้มีบันทึกอะไรที่เลิศหรูก็ตาม ถ้าใครตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ (จากจิตใต้สำนึก หรืออย่างอื่น) มันสามารถที่จะผลักดันให้พวกเขาพูดเกินจริงว่าพวกเขามีความมั่นใจมากแค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ [7]
  3. ถ้าคุณดูไม่สามารถเข้าถึงได้ ปิดกั้น และไม่ยอมที่จะประนีประนอมแล้วล่ะก็ คนอื่นๆ ก็จะไม่ยอมฟังสิ่งที่คุณจะพูดเช่นกัน แม้ว่าสิ่งที่คุณพูดมันจะถูกทั้งหมด พวกเขาจะเลือกเก็บคำพูดจากท่าทางของคุณ ดังนั้นให้ระวังเรื่องการวางตัวของคุณเช่นเดียวกันกับระวังปากของคุณ
    • เปิดกว้าง อย่ากอดอก และหันตัวให้ไปหาทางคนที่คุณพูดด้วย มีการมองสบตากัน ยิ้ม และยืนให้นิ่ง ไม่ส่ายไปมา
    • เป็นกระจกสะท้อนอีกฝ่าย ย้ำอีกครั้งหนึ่ง คนเรามักชอบคนที่มีการรับรู้อะไรเหมือนๆ กัน – ด้วยการเป็นกระจกสะท้อนพวกเขา คุณก็จะอยู่ในท่าเดียวกันกับพวกเขา ถ้าหากพวกเขายืนพิงศอก ให้พิงศอกเหมือนเป็นกระจกเช่นเดียวกัน ถ้าหากพวกเขาเอนหลัง ก็ให้เอนหลังตาม อย่าทำโดยตั้งใจเกินไป เพราะมันจะดึงความสนใจไป – จริงๆ แล้ว ถ้าหากคุณรู้สึกเป็นมิตรด้วย คุณจะทำสิ่งเหล่านี้ไปเองโดยอัตโนมัติ
  4. ลองจินตนาการว่า มีนักการเมืองคนสำคัญคนหนึ่งใส่สูทยืนอยู่ที่โพเดี่ยมหน้าเวที นักข่าวยิงคำถามไปที่เขา ถามเกี่ยวกับการสนับสนุนตัวเขาที่ส่วนใหญ่มาจากคนอายุ 50 ขึ้นไป ปฏิกิริยาที่เขาตอบสนองคือ เขาส่ายหมัด ชี้นิ้ว และพูดอย่างดุดันว่า “ฉันรู้สึกเห็นใจสำหรับพวกคนรุ่นใหม่นะ” มีอะไรที่ผิดปกติกับภาพนี้บ้าง?
    • ทุกสิ่งล้วนผิดไปหมด ภาพลักษณ์ของเขาทั้งหมด – ท่าทาง การขยับตัวของเขา – ล้วนสวนทางกับคำพูดของเขา เขาอาจจะมีคำตอบที่ฟังดูนุ่มนวน เหมาะสม แต่ท่าทางที่เขาแสดงออกนั้นดูแข็งกร้าว น่าอึดอัด และดุดัน ผลก็คือ คนไม่เชื่อเขา ดังนั้นในการที่จะชักจูงคน คุณควรใช้ภาษากายและข้อความที่สื่อไปให้เหมาะสมกัน มิเช่นนั้น คุณจะดูเหมือนคนโกหกทันที
  5. โอเค คุณไม่ควรไปตามรังควานคนที่ปฏิเสธคุณตลอด แต่ก็อย่าให้มันมาหยุดคุณในการถามคนต่อไป คุณอาจไม่สามารถโน้มน้าวใจทุกคนได้ โดยเฉพาะถ้าก่อนหน้านี้คุณเพิ่งจะผ่านโค้งการเรียนรู้มา ความไม่ย่อท้อนี้เองจะได้รับการตอบแทนในระยะยาว
    • คนที่สามารถชักจูงคนได้มากที่สุดคือคนที่มีความตั้งใจไม่หยุดหย่อนในการถามหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ แม้ว่าพวกเขาจะถูกปฏิเสธมาตลอด ไม่มีผู้นำโลกคนใดที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้าพวกเขายอมแพ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาถูกปฏิเสธ อับราฮัม ลินคอล์น หนึ่งในประธานาธิบดีที่น่าเคารพในประวัติศาสตร์ได้สูญเสียแม่ของเขา ลูกชายสามคน พี่สาว และแฟนของเขา ธุรกิจล้มเหลว และพ่ายแพ้การเลือกตั้งแปดครั้งก่อนที่เขาจะได้รับการเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา [5]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

สิ่งจูงใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณอยากได้บางสิ่งบางอย่างจากบางคน นั่นคือสิ่งที่เรารู้ ทีนี้ มาดูว่าคุณสามารถให้อะไรพวกเขาได้บ้าง? คุณรู้จักอะไรที่พวกเขาอาจจะอยากได้บ้าง? คำตอบแรกคือ เงิน
    • สมมติว่า คุณกำลังทำบล็อก หรือเขียนบทความ และคุณอยากจะสัมภาษณ์นักเขียน แทนที่คุณจะบอกเขาว่า “สวัสดีครับ ผมชอบผลงานของคุณมาก!” จะมีอะไรที่ฟังดูดีกว่านั้นไหม? ตัวอย่างเช่น: “เรียน คุณ จอห์น ผมเห็นว่าคุณกำลังจะออกหนังสือใหม่ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ และผมเชื่อว่านักอ่านของผมที่ติดตามบล็อกของผมจะต้องชอบมากแน่ๆ คุณสนใจจะมาสัมภาษณ์สัก 20 นาทีไหมครับ? แน่นอนว่าผมจะบรรยายทุกสิ่งให้กับนักอ่านของผม เรายังสามารถจบการสัมภาษณ์ด้วยการกล่าวถึงหนังสือของคุณก็ได้” [8] ตอนนี้จอห์นก็รู้แล้วว่า ถ้าเขาตกลงทำบทความนี้ จะมีคนอีกมากที่รู้จักเขา ทำให้งานของเขาขายได้มากขึ้น และทำเงินได้มากขึ้นด้วย
  2. โอเค อาจไม่ใช่ทุกคนที่สนใจเรื่องเงิน ถ้าหากนั่นไม่ใช่ตัวเลือก ให้หาด้านสังคมแทน คนส่วนมากจะกังวลเรื่องภาพลักษณ์โดยรวมของเขา ถ้าคุณรู้จักเพื่อของพวกเขา จะยิ่งดี
    • นี่คือ เรื่องเดิม แต่ใช้การจูงใจทางสังคมแทน: “เรียน คุณจอห์น ผมเพิ่งจะได้อ่านผลงานวิจัยของคุณที่ตีพิมพ์ และอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ทำไมถึงไม่ใช่ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ล่ะ?” ผมกำลังคิดว่า คุณจะสนใจที่จะมาสัมภาษณ์สั้นๆ สัก 20 นาทีหน่อยไหม เพื่อที่เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับผลงานวิจัยชิ้นนี้? แต่ก่อนผมเคยเขียนบรรยายพิเศษผลงานวิจัยของ แม็กซ์ คนที่ผมรู้มาว่าคุณเคยทำงานด้วยกันมาก่อน และผมเชื่อว่างานวิจัยของคุณจะต้องโด่งดังในบล็อกของผมแน่นอน” [8] ตอนนี้จอห์นก็รู้แล้วว่าแม็กซ์ ก็มีส่วนร่วมด้วย (มีการอ้างถึงภาพลักษณ์) และคนๆ นี้ก็มีความหลงใหลในผลงานของเขา ในทางสังคมแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จอห์นจะไม่ทำ และยังมีเหตุผลมากมายที่จะทำอีกด้วย
  3. จริงๆ แล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุด แต่มันอาจจะใช้ได้ดีที่สุดกับบางคน ถ้าคุณคิดว่าคนๆ นั้นไม่สามารถที่จะใช้เงิน ภาพลักษณ์ทางสังคมเข้าล่อได้ ให้ลองใช้ศีลธรรมดู
    • "เรียน คุณจอห์น ผมเพิ่งจะได้อ่านผลงานวิจัยที่คุณตีพิมพ์ และอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ทำไมถึงไม่ใช่ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ล่ะ?” อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มทำการออกอากาศ “รายการกระตุ้นสังคม” เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของผมคือ การนำเสนอการหยั่งรู้ตนเองจากแผ่นกระดาษสู่สาธารณชน ผมกำลังคิดว่า คุณจะสนใจที่จะมาสัมภาษณ์สั้นๆ สัก 20 นาทีหน่อยไหม? เราอาจจะเน้นผลงานวิจัยของคุณให้ผู้ฟังของผมทุกคนได้ฟังกัน และหวังว่าเราทั้งคู่จะสามารถช่วยกันทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ทีละนิด" [8] บรรทัดสุดท้ายนั้นละเลยเรื่องของเงิน และภาพลักษณ์ไป และมุ่งตรงไปที่เรื่องของศีลธรรม การทำในสิ่งที่ถูกต้องแทน
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

กลยุทธ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิด และการตอบแทนกัน. คุณเคยได้ยินเพื่อนพูดไหมว่า “รอบแรกฉันเลี้ยงเอง!” และคุณก็คิดทันทีว่า “งั้นรอบสองก็ต้องฉันเลี้ยงสินะ?” นั่นเป็นเพราะว่าเราถูกสอนให้ตอบแทนบุญคุณ มันก็แค่ความยุติธรรม ดังนั้นถ้าคุณ “ทำสิ่งดีๆ” ให้ใครสักคน ให้คิดซะว่ามันคือการลงทุนสำหรับอนาคตของคุณ ผู้คนจะ “ต้องการ” ตอบแทนคุณ [1]
    • ถ้าคุณรู้สึกคลางแคลงใจ มันจะมีคนที่ใช้เทคนิคนี้อยู่รอบๆ ตัวคุณ ตลอดเวลา พวกผู้หญิงที่ชอบตามตื้อน่ารำคาญตามบูธขายของในห้างที่ยื่นโลชั่นให้คุณลอง? การตอบแทนกัน ลูกอมมิ้นท์ที่ให้มาพร้อมใบเสร็จหลังมื้ออาหารเย็น? [9] การตอบแทนกัน แก้วชอตเตกีล่า 1800 ที่คุณได้ที่บาร์? การตอบแทนกัน มันมีอยู่ในทุกที่ โลกของธุรกิจล้วนใช้กันตลอด
  2. เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากจะเป็นคนเจ๋งๆ และ “อยู่ในกลุ่มได้” เมื่อคุณบอกให้อีกฝ่ายทราบว่า คนอื่นๆ ก็ทำเช่นกัน (โดยหวังว่าจะเป็นกลุ่มหรือคนที่เขาเคารพ) มันจะเป็นการย้ำให้พวกเขามั่นใจว่าสิ่งที่คุณแนะนำนั้นดีแล้ว และทำให้สมองไม่ได้ต้องมานั่งพิจารณาบางอย่างว่ามันดีหรือไม่ การคิดอะไรตามกันเป็นกลุ่มจะทำให้เรามีความขี้เกียจทางความคิด แต่ก็ทำให้เราไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    • ตัวอย่างของความสำเร็จของวิธีนี้คือ การใช้บัตรข้อมูลในห้องน้ำโรงแรม ในงานวิจัยชิ้นหนึ่ง จำนวนลูกค้าที่ใช้ผ้าเช็ดตัวของพวกเขาซ้ำเพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อบัตรข้อมูลที่ห้องโรงแรมบอกว่า “75% ของลูกค้าที่มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ใช้ผ้าขนหนูของพวกเขาซ้ำ” ตามงานวิจัยที่ทำโดยบริษัท Influence at Work ที่เมืองเทมพี (Tempe) รัฐแอริโซน่า [9]
      • มันจะยิ่งมีความเข้มข้นมากกว่านี้อีก ถ้าหากคุณได้เข้าเรียนวิชาจิตวิทยา 101 ที่คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้มาแล้ว ย้อนกลับไปปีช่วงสมัยยุค 50 โซโลมอน แอช (Solomon Asch) ได้ทำการทดลองมากมายเกี่ยวกับการคล้อยตามกัน เขาได้ตั้งเรื่องขึ้นมาในกลุ่มสมาพันธ์กลุ่มหนึ่งที่ถูกบอกให้พูดคำตอบที่ผิด ตัวอย่างเช่น ให้บอกว่าเส้นที่เห็นด้วยตาว่าสั้นกว่านั้นยาวกว่าเส้นที่เห็นด้วยตาว่ายาวกว่า (อะไรที่เด็ก 3 ขวบก็สามารถทำได้) ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างมาก 75 % ของผู้เข้าร่วมบอกว่าเส้นที่สั้นกว่านั้นยาวกว่า และถูกชักจูงให้เชื่อตามที่พวกเขาเชื่ออย่างสิ้นเชิง แค่เพื่อที่จะได้อยู่ในกลุ่มได้ ฟังดูบ้านะ ว่าไหม?
  3. ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณคงเคยเห็นพฤติกรรมนี้แล้ว ลูกของคุณพูดว่า “แม่ แม่! ไปทะเลกันเถอะ!” แม่บอกว่าไม่ รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเธอได้ แต่แล้วเมื่อลูกพูดว่า “โอเค ก็ได้ งั้นไปว่ายน้ำกันมั้ย?” แม่ “ต้องการ” ที่จะบอกว่าใช่ และ "ทำ"
    • ดังนั้นให้ถามอะไรที่คุณอยากได้จริงๆ เป็นอย่างที่ “สอง” คนมักจะรู้สึกผิดในครั้งแรกที่ปฏิเสธโดยปกติแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าคำขอที่สอง (ที่เป็นสิ่งที่ต้องการขอจริงๆ) เป็นอะไรที่พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมทำตาม พวกเขาจะคว้าโอกาสนั้นไว้ การขอครั้งที่สองจะเป็นการปลดปล่อยพวกเขาจากความรู้สึกผิด เสมือนเป็นเส้นทางหลบหนี พวกเขาจะรู้สึกโล่ง และรู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง และคุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ [1] ถ้าคุณต้องการบริจาค 10 บาท ให้ขอสัก 25 บาท ถ้าคุณต้องการให้โปรเจคเสร็จภายในหนึ่งเดือน ให้ขอให้เสร็จใน 2 อาทิตย์ก่อนทีแรก
  4. ผลการวิจัยเผยว่าการรับรองโดยการใช้คำว่า “เรา” สามารถใช้ได้ผลในการโน้มน้าวคนดีกว่าวิธีอื่นที่ไม่ค่อยเป็นแง่บวก อย่างเช่นวิธีการข่มขู่ (“ถ้าคุณไม่ทำ ฉันจะทำเอง”) และวิธีการใช้เหตุผล (“คุณควรจะทำสิ่งนี้เพราะเหตุผลต่อไปนี้”) การใช้คำว่า “เรา” แสดงถึงการมีมิตรภาพที่ดี มีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน และความเข้าใจกัน
    • จำได้ไหมว่าเราเคยคุยกันอย่างไรก่อนหน้านี้ ว่ามันสำคัญมากที่จะสร้างมิตรภาพที่ดี เพื่อที่ผู้ฟังจะได้รู้สึกเหมือนคุณ และชอบคุณ? และที่ว่าให้ทำตัวเสมือนเป็นกระจก ใช้ภาษาท่าสะท้อนท่าของอีกฝ่ายเพี่อที่ผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนคุณและชอบคุณ? ทีนี้ คุณควรจะใช้ “เรา” เพื่อที่ผู้ฟังจะได้รู้สึกเหมือนกับคุณและชอบคุณ พนันได้เลยว่าคุณคงไม่คิดมาก่อน
  5. คุณคงจะพอรู้ว่าบางครั้งทีมก็ดูจะไม่สามารถเริ่มทำอะไรได้จริงจังจนกระทั่งมีสักคนที่ “เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง” คุณจะต้องเป็นบุคคลนั้น ถ้าหากคุณเป็นคนที่เริ่มก่อน ผู้ฟังของคุณก็จะมีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายทำให้เสร็จได้มากกว่า
    • คนมักจะชอบที่จะเป็นผู้ปิดงานมากกว่าที่จะให้ทำเองทั้งหมดทุกสิ่ง คราวหน้าเวลาที่จะต้องซักผ้า ให้ลองโยนเสื้อผ้าลงในถังซัก แล้วขอร้องให้คนอื่นช่วยเอากางเกงของคุณให้ [1] มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ที่พวกเขาจะไม่สามารถปฏิเสธได้
  6. คนต้องการที่จะมีความมั่นคงในตัวพวกเขาเอง ถ้าหากพวกเขาพูด “ตกลง” (ในทางใดทางหนึ่ง) พวกเขาก็จะยึดติดกับมัน ถ้าหากพวกเขายอมรับว่าพวกเขาอยากจะพูดถึงปัญหาบางอย่าง หรือทำอะไรสักวิธี และคุณมีทางออกให้กับพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกว่าต้องลองฟังดู ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร พยายามทำให้พวกเขาตกลงให้ได้
    • ในการศึกษางานวิจัยของ จิง ซู (Jing Xu) และโรเบิร์ต วายเออร์ (Robert Wyer) ผู้เข้าร่วมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถรับกับ “อะไรก็ได้” ถ้าเป็นอะไรที่แสดงออกมาครั้งแรกแล้วพวกเขาตกลง ในการประชุมหนึ่ง ผู้เข้าร่วมฟังคำปราศัยของจอห์น แมคเคน (John McCain) หรือบารัค โอบามา (Barack Obama) จากนั้นดูโฆษณาของโตโยต้า พรรครีพับลิคกัน (Republicans) ถูกครอบงำโดยโฆษณามากกว่าหลังจากดูจอห์น แมคเคน แล้วพรรคเดโมแครตล่ะ? คุณคิดว่ามันคงมีความเอนเอียงไปทางด้านโตโยต้ามากกว่านี้หลังจากที่ดูบารัค โอบามา ดังนั้นถ้าคุณพยายามที่จะขายอะไรสักอย่าง พยายามทำให้ลูกค้าเห็นด้วยกับคุณก่อน แม้ว่าเรื่องที่คุณพูดจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอะไรที่คุณขายเลยก็ตาม. [10]
  7. ไม่ว่ามันจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม แต่คนเราต่างก็มีความคิดที่เป็นอิสระ และพวกเขาไม่ได้โง่ ถ้าคุณไม่ได้พูดถึงทุกด้าน คนจะไม่ค่อยเชื่อหรือเห็นด้วยกับคุณ [11] ถ้าความอ่อนแอกำลังคืบคลานเข้าหาคุณ ให้พูดถึงมันก่อนด้วยตัวคุณเอง – โดยเฉพาะก่อนที่จะให้คนอื่นบอก
    • หลายปีที่ผ่านมามีงานวิจัยมากมายได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปรียบเทียบระหว่างการอ้างเหตุผลเพียงด้านเดียว และสองด้าน และความมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการโน้มน้าวในบริบทที่แตกต่างกัน แดเนียล โอคีฟ (Daniel O’Keefe) จากมหาวิทยาลัยอิลลินอย (University of Illinois) ได้ศึกษาผลของงานวิจัยที่แตกต่างกัน 107 ชิ้น (50 ปี ผู้เข้าร่วม 20,111 คน) และพัฒนาเป็นการวิเคราะห์ทางสถิติ เขาได้ข้อสรุปว่าการอ้างเหตุผลสองด้านสามารถที่จะโน้มน้าวคนได้มากกว่าเหตุผลด้านเดียว โดยเป็นเช่นเดียวกันกับทุกประเภทของข้อความที่ใช้โน้มน้าว และผู้ฟังคนละกลุ่ม [11]
  8. คุณเคยได้ยินเรื่องสุนัขของพาฟลอฟ (Pavlov’s dog) ไหม? ไม่ ไม่ใช่วงร็อคยุค 70 จากเซนต์หลุยส์ [12] การทดลองจากการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค เช่นเดียวกัน คุณทำอะไรบางอย่างที่ไปกระตุ้นการตอบสนองจิตใต้สำนึกในส่วนอื่น – ที่พวกเขาไม่ทันจะรู้ตัวด้วยซ้ำ แต่จำไว้ว่ามันใช้เวลาและความขยันอย่างมาก
    • ถ้าทุกๆ ครั้งที่เพื่อนของคุณพูดถึงเป๊ปซี่แล้วคุณคราง นั่นก็จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค ท้ายที่สุดแล้ว เวลาคุณคราง เพื่อนของคุณก็จะคิดถึงเป๊ปซี่ (คุณอาจจะอยากให้พวกเขาดื่มโค้กแทน?) ตัวอย่างที่มีประโยชน์กว่าคงจะเป็น ถ้าหัวหน้าของคุณพูดประโยคเดิมๆ ในการชื่นชมทุกคน เมื่อคุณได้ยินหัวหน้าคุณแสดงความยินดีกับคนอื่น มันจะทำให้คุณนึกถึงเมื่อตอนที่เขาพูดกับคุณ – และคุณก็จะทำงานให้มากขึ้นอีกนิดด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ยกระดับอารมณ์คุณ
  9. ถ้าหากคุณอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ วิธีนี้นับเป็นวิธีที่ดีเลย – เป็นวิธีที่ต้องใช้เลยล่ะ ทำให้คนรู้ว่าคุณมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมถึงลักษณะที่ดีของคนที่อยู่ภายใต้อำนาจคุณ (ลูกจ้าง, เด็กๆ, ฯลฯ) และพวกเขาจะยอมทำตามอย่างดี.
    • ถ้าคุณบอกลูกของคุณว่าเขาฉลาดและคุณรู้ว่าเขาจะต้องได้เกรดที่ดีแน่นอน เขาจะไม่อยากทำให้คุณผิดหวัง (ถ้าเขาสามารถหลีกเลี่ยงได้) บอกให้เขารู้ว่าคุณมั่นใจในตัวเขา นี่จะทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
    • ถ้าหากคุณเป็นหัวหน้าบริษัท ให้ทำตัวเป็นเสมือนกำลังใจให้กับพนักงานของคุณ ถ้าคุณมอบหมายโปรเจ็คที่ยากเป็นพิเศษ ให้บอกเขาว่าคุณมอบหมายให้เขาเพราะรู้ว่าเขาสามารถทำได้ เธอได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัตินี่ นั่น โน่นที่พิสูจน์แล้ว ด้วยคำพูดนี้เอง งานของเธอจะออกมาดียิ่งขึ้น
  10. ถ้าคุณสามารถให้บางอย่างกับบางคนได้ ถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว แต่ถ้าคุณสามารถที่จะป้องกันบางอย่างไม่ให้ถูกเอาไปได้ จะยิ่งดี คุณสามารถที่จะช่วยพวกเขาให้หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดในชีวิตของพวกเขาได้ – ทำไมพวกเขาจะต้องปฏิเสธล่ะ?
    • มีการวิจัยที่กลุ่มผู้บริหารจะต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างโครงการที่เกี่ยวข้องกับกำไรขาดทุน ความแตกต่างมีจำนวนที่มาก: ผู้บริหารที่ตอบตกลงกับร่างโครงการถ้าบริษัทคาดการณ์ว่าจะสูญเสียเงิน 500,000 ดอลล่าถ้าไม่ยอมรับโครงการนี้มากเป็นสองเท่าเทียบกับจำนวนที่ตอบตกลงกับโครงการที่จะสร้างผลกำไรให้ 500,000 ดอลล่า คุณจะสามารถโน้มน้าวใครได้มากกว่านี้เพียงแค่ การร่างค่าใช้จ่ายและรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับผลประโยชน์? อาจจะ [9]
    • นี่สามารถใช้ได้ดีเช่นเดียวกันที่บ้าน ไม่สามารถลากสามีให้ห่างจากทีวีได้จากการออกไปดินเนอร์ข้างนอกในคืนที่สวยงามหรอ? ง่ายมาก แทนที่จะมาทำให้เขารู้สึกผิด พูดเหน็บแนมเกี่ยวกับความต้องการ “เวลาที่มีค่า” ให้พูดเตือนเขาว่านี่เป็นคืนสุดท้ายแล้วนะที่จะได้อยู่ด้วยกันก่อนที่เด็กๆ จะกลับมา ด้วยวิธีนี้คุณจะชักจูงเขาได้มากกว่า ทำให้เขารู้ว่าเขาอาจจะกำลังพลาดบางอย่างอยู่ [1]
      • วิธีนี้อาจไม่สามารถใช้ได้เสมอไป มีการคัดค้านการวิจัยที่บอกว่าผู้คนไม่ชอบที่จะถูกทำให้นึกถึงเรื่องไม่ดี อย่างน้อยก็เรื่องส่วนตัว เมื่อไปโดนเรื่องที่ใกล้บ้านมากเกินไป พวกเขาจะรู้สึกกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องร้ายที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น พวกเขาอยากจะมี “ผิวที่น่าหลงใหล” มากกว่า “หลีกเลี่ยงมะเร็งผิวหนัง” [13] ดังนั้น ให้นึกเสมอว่าคุณกำลังขอเรื่องอะไรก่อนที่คุณจะทำการล้อมกรอบด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

ในฐานะคนขาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รักษาความสุภาพ ร่างเริง และความมีเสน่ห์ ทัศนคติที่ดีจะช่วยคุณได้มากกว่าที่คิด คนจะอยากฟังอะไรก็ตามที่คุณพูด – ท้ายที่สุดสิ่งที่ยากที่สุดคือการเข้าไปในใจคนฟังให้ได้
    • คุณคงไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าคุณพยายามบังคับให้พวกเขาเชื่อมุมมองของคุณ รักษาความสุภาพ และมั่นใจเข้าไว้ – เขาจะเชื่อทุกคำที่คุณพูดมากกว่า
  2. แสดงให้เขาเห็นถึงผลประโยชน์ของไอเดียของคุณ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่สำหรับคุณ! บอกพวกเขาว่ามันจะมีประโยชน์ต่อ พวกเขา อย่างไร นั่นแหละจะดึงความสนใจของพวกเขาได้
    • ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา. ถ้าหากคุณมีผลิตภัณฑ์หรือความคิดดีๆ ที่ไม่ได้จำเป็นสำหรับพวกเขา พวกเขาจะรู้ มันจะทำให้เกิดความอึกอัก และพวกเขาจะหยุดเชื่อคำพูดของคุณ แม้ว่าหลายๆ อย่างมันอาจจะจริงสำหรับพวกเขาก็ตาม ให้บอกถึงทั้งข้อดีข้อเสียของสิ่งนั้นที่จะรับรองพวกเขาได้ว่าคุณกำลังพูดจริง และมีเหตุผลอยู่ และใส่ใจในความต้องการของพวกเขาจริงๆ
  3. และเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่คุณอาจคาดไม่ถึง! ถ้าหากคุณฝึกฝนที่จะพูดนำเสนอมา และได้นั่งลงคิดพิจารณาถี่ถ้วนดีแล้ว นี่ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับคุณ
    • คนมักจะหาอะไรสักอย่างเพื่อมาใช้ในการปฏิเสธ ถ้าเขารู้สึกว่าคุณได้ผลประโยชน์มากกว่าในการทำธุรกรรมนั้น ลดปริมาณผลประโยชน์ซะ ผู้ฟังควรจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ – ไม่ใช่คุณ
  4. การเจรจาต่อรองเป็นเรื่องใหญ่ในการโน้มน้าวใจคน แค่เพียงเพราะคุณต้องต่อรองกัน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ชนะในตอนจบ อันที่จริงแล้ว ผลการวิจัยมากมายชี้ให้เห็นว่า คำง่ายๆว่า “ใช่” มีพลังการโน้มน้าวใจคนอย่างมาก
    • ขณะที่ “ใช่” อาจจะฟังดูเหมือนแปลกๆ สำหรับคำที่ใช้จูงใจคน แต่มันก็มีพลังเพราะมันทำให้คุณดูเหมือนคนที่สามารถตกลงด้วยได้ และดูเป็นมิตร และอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งของการร้องขอด้วย การใส่กรอบจำกัดว่าคุณต้องการอะไร ให้เหมือนกับว่ามันคือข้อตกลง แทนที่จะเป็นการขอร้อง อาจทำให้อีกฝ่าย “ช่วย” คุณได้ [14]
  5. ถ้าหากคุณกำลังพูดกับหัวหน้า หรือใครก็ตามที่มีอำนาจมากกว่า คุณอาจจะต้องหลีกเลี่ยงการพูดตรงๆ เกินไป เช่นเดียวกันถ้าหากข้อเสนอของคุณดูมักใหญ่ใฝ่สูง กับคนที่เป็นผู้นำนั้น คุณจะต้องใช้วิธีแนะแนวทางความคิดเขา ให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาคิดสิ่งเหล่านี้มาได้เอง พวกเขาจะต้องรู้สึกว่าเขายังมีอำนาจอยู่จึงจะพอใจ เล่นเกมกับพวกเขาและค่อยๆ ใส่ไอเดียของคุณเข้าไปทีละนิด
    • เริ่มด้วยการทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกมั่นใจน้อยลงสักนิดหนึ่งก่อน พูดเกี่ยวกับอะไรที่เขา/เธอไม่ได้รู้เกี่ยวกับมันมาก – ถ้าเป็นไปได้ให้พูดเรื่องนอกออฟฟิศของเขา ที่มันดูเป็นเรื่องกลางๆ หลังจากที่คุณเริ่มดึงความสนใจเขาได้แล้ว ให้เตือนว่าใครที่เป็นหัวหน้า (ก็เขานั่นแหละ!) – นี่จะทำให้เขารู้สึกมีอำนาจอีกครั้ง – ซึ่งจะทำให้เขายอมทำบางอย่างให้กับคำขอของคุณได้ [11]
  6. ค่อยๆ ถอนตัวและอยู่นิ่งไว้เวลาที่มีการขัดแย้งกัน. การเอาตัวไปผูกกับอารมณ์ไม่เคยทำให้ใครชักจูงคนได้มากขึ้น ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งกันอยู่ หรืออีกฝ่ายอารมณ์ขุ่นมัว ให้อยู่นิ่งๆ ไว้ก่อน ค่อยๆ ถอนตัวออกมา และอย่าใช้อารมณ์ มันจะเป็นประโยชน์กับคุณมากที่สุดตอนนี้ ถ้ามีคนที่กำลังสูญเสียบางอย่าง พวกเขาจะหันมาหาคุณที่ดูยังมีความมั่นคงมากกว่า สุดท้ายคุณสามารถที่จะควบคุมอารมณ์คุณได้ พวกเขาก็จะเชื่อถือคุณในตอนนั้นให้นำพวกเขาได้
    • ใช้อารมณ์อย่างมีเป้าหมาย การทะเลาะขัดแย้งกันทำให้คนส่วนใหญ่อึดอัด ถ้าคุณตั้งใจที่จะ “ไปอยู่จุดนั้น” ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเพื่อที่คนอื่นจะยอมทำตาม อย่างไรก็ตาม อย่าใช้วิธีนี้บ่อย และอย่าทำเด็ดขาดถ้าหากคุณกำลังรู้สึกเดือด หรือคุณกำลังสูญเสียการควบคุมอารมณ์ของคุณ ให้ใช้เทคนิคนี้อย่างมีทักษะ และมีจุดประสงค์ [5]
  7. มันไม่สามารถเครียดได้มากพอ: ความแน่นอน เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี ทำให้เมา และดึงดูด ไม่เหมือนกับคุณภาพอื่นๆ คนที่อยู่ในห้องที่พูดอะไรมากมายออกไปภายในหนึ่งนาทีพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ นั่นแหละคือคนที่สามารถชักจูงทุกคนให้มาเป็นทีมของเขาได้ ถ้าคุณเชื่อในสิ่งที่คุณทำจริงๆ คนอื่นๆ ก็จะเห็นและตอบสนอง พวกเขาแค่ต้องการที่จะมีความมั่นใจอย่างที่คุณมี [9]
    • ถ้าคุณไม่ได้มั่นใจ คุณจำเป็นที่จะต้องแสร้งทำเป็นว่าคุณมั่นใจจริงๆ ถ้าคุณเดินเข้าไปในภัตตาคาร 5 ดาว ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณใส่สูทที่ไปเช่ามา ตราบเท่าที่คุณไม่ได้เดินเข้าไปด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ไม่มีใครมานั่งถามคุณหรอก เมื่อคุณดึงความมั่นใจได้ ให้คิดไปในทางเดียวกันด้วย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าคุณเป็นคนที่เป็นมิตร เข้าสังคมเก่ง และมีอารมณ์ขัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณได้; ถ้าคุณเป็นคนที่ผู้คนชอบที่จะอยู่ด้วยแล้ว จะทำให้คุณมีอิทธิพลต่อพวกเขามากขึ้น
  • ระวังคำพูดของคุณ ทุกสิ่งที่คุณพูดออกไปควรให้ฟังดูดี ส่งเสริม เยินยอ; การมองโลกแง่ร้าย และการวิพากย์วิจารณ์จะเป็นการปิดโอกาส เช่น นักการเมืองที่ขึ้นไปกล่าวปราศัยเกี่ยวกับเรื่อง “ความหวัง” จะมีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งมากกว่าการพูดถึงเรื่อง “ความทุกข์ยาก”
  • เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีการโต้เถียง ให้ตกลงกับคนๆ นั้นไปก่อน และพูดถึงสิ่งที่ดีๆ ในมุมมองของเขา อย่างเช่น ถ้าหากคุณต้องการจะขายรถบรรทุกให้กับร้านขายเฟอร์นิเจอร์เจ้าหนึ่ง และผู้จัดการร้านก็พูดใส่หน้าคุณว่า " ไม่ ผมไม่คิดจะซื้อรถบรรทุกของคุณหรอกนะ! ผมชอบรถบรรทุกแบรนด์ (อะไรก็ตาม) มากกว่า เพราะนู่นนั่นนี่" คุณจะต้องทำเป็นเห็นด้วยไปก่อน และตอบไปประมาณว่า " แน่นอนว่า แบรนด์ (อะไรก็ตาม) นี้ก็ดี อันที่จริงผมได้ยินมาว่าเขาทำมาโด่งดังกว่า 30 ปีแล้วด้วย" เชื่อเถอะว่า เขาจะไม่พยายามเปรียบเทียบแข่งขันอีก จากนั้นคุณจึงค่อยนำเสนอข้อดีของคุณกับรถบรรทุกของคุณ เช่น " ...อย่างไรก็ตาม คุณรู้หรือไม่ว่าถ้าหากรถบรรทุกของคุณสตาร์ทไม่ติดในอากาศที่หนาวจัด บริษัทนั้นคงไม่ช่วยคุณ และคุณก็จะต้องโทรเรียกคนมาลากและซ่อมรถบรรทุกด้วยตัวคุณเอง" นี่จะช่วยให้เขาพิจารณาความเห็นของคุณ
  • บางครั้ง การทำให้ผู้ฟังทราบว่าสิ่งๆ นั้นมีความสำคัญกับคุณมากๆ ก็ช่วยได้ แต่บางครั้งก็ไม่ ให้ใช้ดุลยพินิจ
  • อย่าไปเจรจาต่อรองกับคนอื่นถ้าหากคุณกำลังรู้สึกเหนื่อย รีบ หรือมีอะไรกวนใจ หรือแค่ “ไม่มีสมาธิอยู่กับเรื่องนั้น” เพราะคุณอาจจะทำอะไรที่คุณอาจเสียใจได้ภายหลัง
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่ายอมแพ้ทันที – มันจะทำให้พวกเขาคิดว่าเขาชนะแล้ว และยิ่งทำให้ยากต่อการชักจูงในอนาคต
  • การโกหก และการพูดเกินจริง ไม่เคยเป็นตัวเลือกที่ดีในมุมมองของศีลธรรมและผู้ยึดถือผลประโยชน์ คนฟังไม่ได้โง่ และถ้าคุณคิดว่าคุณจะสามารถหลอกพวกเขาได้โดยไม่ถูกจับแล้วละก็ คุณก็สมควรจะได้รับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นแล้วล่ะ
  • อย่าเทศนามากเกินไป มิฉะนั้นพวกเขาจะปิดตัวเลือกอย่างสิ้นเชิง และทำให้คุณเสียอิทธิพลที่มีต่อพวกเขา
  • อย่า วิพากษ์วิจารณ์ หรือสร้างความขัดแย้งกับกลุ่มผู้ฟังที่เป็นเป้าหมายของคุณ นี่อาจจะดูยากในหลายๆ ครั้ง แต่คุณจะไม่มีทางชักจูงได้สำเร็จด้วยวิธีนี้ อันที่จริงแล้ว หากคุณเพียงแค่กวนใจพวกเขาหรือทำให้พวกเขาโมโหเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถที่จะจับได้ และต่อต้านทันที ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือรอให้ผ่านไปก่อน นานๆ ได้ยิ่งดี


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,405 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา