PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

เบื่อจะติดเคเบิลทีวี แต่ช่องฟรีก็มีแต่โฆษณา แล้วทำไงดี? ต้อง Apple TV เลย เพราะใช่เช่าหรือซื้อหนังมาดูได้แบบ HD หรือจะฟัง podcast สตรีมหนังผ่าน Netflix, Hulu และอื่นๆ ไปจนถึงดูกีฬา และเปิดรูปหรือเพลงจากในคอม ทั้งหมดนี้คุณทำได้แบบไม่ต้องโยกย้ายไปจากโซฟาตัวโปรดเลย บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการติดตั้งและใช้งาน Apple TV ให้คุณได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ในการดูทีวี

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ติดตั้ง Apple TV

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้จัดวางใกล้ๆ ทีวีและปลั๊กไฟ และถ้าใช้เน็ตแบบต่อสาย ก็ต้องอยู่ใกล้พอร์ท ethernet ด้วย
    • อย่าวาง Apple TV บนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น และกลับกันคืออย่าวางอย่างอื่นบน Apple TV เพราะอาจทำให้เครื่องร้อนจัดหรือไปขวางสัญญาณ Wi-Fi
  2. เสียบสายข้างหนึ่งที่พอร์ท HDMI หลัง Apple TV แล้วเสียบปลายอีกข้างที่พอร์ท HDMI ของทีวี
    • หมายเหตุ: บทความนี้จะอธิบายเฉพาะวิธีเสียบทีวีโดยตรง ถ้ามี receiver ต้องศึกษาวิธีการจากคู่มือของผู้ผลิต แต่ปกติ receiver จะคั่นกลางระหว่าง Apple TV กับทีวี
    • Apple TV มี TOSLink digital audio output ด้วย ถ้าจะใช้ ให้เสียบปลายสาย TOSLink ข้างหนึ่งกับ Apple TV แล้วเสียบปลายอีกข้างที่ TOSLink digital audio input ของทีวี
  3. ถ้าต่อเน็ตผ่านสาย ให้เสียบ Apple TV กับพอร์ท ethernet โดยใช้สายที่เกี่ยวข้อง
    • ปกติ Apple TV จะมี 802.11 Wi-Fi ในตัว คุณต่อเน็ตผ่าน Wi-Fi ได้เลยระหว่างติดตั้ง
  4. พอเสียบสายอื่นๆ ครบถ้วนแล้ว ก็เสียบสายไฟด้านหัวเล็กที่พอร์ท power ของ Apple TV แล้วเสียบปลายสายอีกข้างที่ปลั๊กได้เลย
  5. ได้เวลาสนุกกับ Apple TV แล้ว! รีบหยิบรีโมททีวีมาตั้ง input ไปที่พอร์ท HDMI ของ Apple TV เลย
    • ถ้าเพิ่งเคยใช้ Apple TV ครั้งแรก จะมีหน้า setup โผล่ขึ้นมา แต่ถ้าเคยเสียบและใช้งานแล้ว ก็ให้ตรวจทานความเรียบร้อยของสายต่างๆ รวมถึงเลือก input ให้ถูก
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ปรับแต่ง Apple TV

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพราะต้องใช้ทำทุกอย่างใน Apple TV
    • วงกลมสีดำตรงกลางใช้ขยับเคอร์เซอร์ขึ้น ลง ซ้าย และขวา
    • ส่วนปุ่มสีเงินกลางวงกลม คือปุ่ม "Select" เอาไว้เลือกตัวเลือกต่างๆ ในเมนู หรือเลือกตัวอักษรที่จะพิมพ์ และอื่นๆ
    • ปุ่ม Menu ใช้เรียกเมนู หรือกลับไปที่หน้าจอก่อนหน้า
      • กดปุ่ม Menu ค้างไว้ ถ้าจะกลับไปที่เมนูหลัก (main menu)
      • กดปุ่ม Menu ค้างไว้ตอนกำลังดูหนัง เพื่อเปิดซับไตเติ้ล (closed captioning)
    • หน้าที่ของปุ่ม Play/Pause ก็ตามชื่อเลย!
    • กดปุ่ม Menu กับลูกศรชี้ลงค้างไว้ ถ้าอยากรีเซ็ต Apple TV ถ้าเสร็จแล้ว ไฟบอกสถานะของ Apple TV จะกะพริบถี่ๆ
    • เวลาจะ pair หรือเชื่อมต่อรีโมทกับ Apple TV ให้กดปุ่ม Menu กับลูกศรชี้ขวาค้างไว้ 6 วินาที แบบนี้ก็จะใช้รีโมทอื่นบังคับ Apple TV ไม่ได้
    • มีแอพฟรีใน App Store (ชื่อก็แสนจะตรงตัวว่า "Remote") ให้โหลดกันด้วย ใช้ทำได้ทุกอย่างเหมือน Apple Remote ถ้าคุณใช้ iPhone หรือ iPad ลองดาวน์โหลดมาเถอะ แล้วคุณจะใช้ Apple TV ได้สุขและสนุกกว่าเดิม
    • แต่ Apple Remote ก็ ไม่ใช่ รีโมทแบบครอบจักรวาลนะ เวลาจะปรับ volume และอื่นๆ ก็ต้องใช้รีโมททีวีหรือ receiver อยู่ดี
  2. ทำตามขั้นตอนในหน้าจอได้เลย โดยเลือกสัญญาณ Wi-Fi ที่จะใช้จากในเมนู ถ้าชื่อสัญญาณซ่อนอยู่ ให้พิมพ์ชื่อสัญญาณ Wi-Fi ที่ต้องการ พอเลือก Wi-Fi แล้ว ก็พิมพ์รหัสผ่าน (ถ้ามี) แล้วคลิก Done ได้เลย
    • ถ้าเน็ตไม่ได้ใช้ DHCP ก็ต้องใส่ IP address, subnet mask, router address และ DNS address
  3. จะเข้าถึงและใช้งานไฟล์เพลงและวีดีโอในคอมของคุณผ่าน Apple TV ได้ ก็ต้องตั้งค่า Home Sharing ซะก่อน
    • ตั้งค่า Home Sharing ใน Apple TV ในเมนูหลักให้เลือก Settings แล้วเลือก Home Sharing จากนั้นพิมพ์ Apple ID กับรหัสผ่าน
    • ตั้งค่า Home Sharing ใน iTunes ในเมนู File ให้เลือก Home Sharing > Turn On Home Sharing จากนั้นพิมพ์ Apple ID และรหัสผ่านเดียวกับที่ใช้กับ Apple TV
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

รับชมตามสะดวก

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. แค่มี iTunes ใน Apple TV คุณก็ดูหนังล่ามาแรงได้ใน resolution 1080p (v3) หรือ 720p (v2) คุณใช้เบราว์เซอร์ในหน้าจอดูตัวอย่างหนัง ไปจนถึงเช่าหรือซื้อหนังเข้าคอลเลคชั่นส่วนตัวได้ [1]
    • ปกติคุณจะดูตัวอย่างได้ทุกเรื่องใน iTunes แต่หนังหลายเรื่องเลยที่เช่าไม่ได้ ต้องซื้อลูกเดียว โดยเฉพาะอาทิตย์แรกๆ ที่วางขายใน iTunes หลังจากนั้นถึงค่อยปล่อยให้เช่า มีเหมือนกันที่เป็นหนังแบบให้เช่า หรือ ให้ซื้ออย่างใดอย่างหนึ่ง
    • รายการทีวีใน iTunes จะเป็นแบบซื้ออย่างเดียว ไม่มีให้เช่า คุณ subscribe เพื่อดูทั้ง season ได้เลย ปกติซีรีส์ที่มีใน iTunes จะมาช้ากว่าเวลาที่ออนแอร์จริง 1 - 2 วัน
  2. บางทีคุณก็ใช้ AirPlay สตรีมหนังและรูปใน iPad, iPhone หรือ iPod Touch ผ่าน Wi-Fi ได้ รวมถึง "mirror" หรือเปลี่ยนทีวีเป็นจอยักษ์ แสดงภาพของ iPhone 4S หรือ iPad ซะเลย!
  3. แค่มี Home Sharing คุณก็ browse แล้วดูได้ทุกอย่างใน iTunes library รวมถึง playlist ที่คุณสร้างไว้ และฟีเจอร์ Genius นอกจากนี้จะดูรูปด้วย iPhoto ในคอม หย่อนรูปที่จะแชร์ไปที่ Apple TV ใส่โฟลเดอร์ หรือเชื่อมต่อกับโฟลเดอร์ผ่าน iTunes Home Sharing ก็ได้
    • ถ้าอยากเปิดเพลง หนัง รูป และวีดีโอในคอมผ่าน Apple TV ให้คลิกปุ่ม "Computers" สีเขียวในหน้า Main Menu จะเจอทุกไฟล์ในคอมที่เกี่ยวข้อง
    • ถ้าจะเปิดเพลง ทั้งหมด ใน iCloud โดยใช้ iTunes Match ให้กดปุ่ม "Music" สีส้มในหน้า Main Menu
  4. แน่นอนว่าต้องมีบัญชี Netflix และ/หรือ Hulu ก่อนถึงจะดูหนังได้ (อันไหนที่ไม่มีในไทยก็ต้องหาช่องทางลัดเลาะกัน ในเน็ตมีวิธีบอกเสร็จสรรพ) แต่ถ้าสมัครไว้ก็สตรีมได้ทั้งหนังเก่าหนังใหม่ สนุกกันทั้งผู้ใหญ่และเด็ก! เวลาจะดูหนังก็แค่คลิกปุ่ม Netflix หรือ Hulu ในเมนูหลัก จากนั้นเลือกตัวเลือกต่างๆ ได้เลย
    • ถ้าใช้อุปกรณ์ iOS อื่น ก็ต้องดาวน์โหลดแอพ Netflix ก่อน ถ้าดูหนังอยู่แล้วเพลีย อยากจะไปนอนดูต่อบนเตียง (อย่าเลือกเรื่องที่ยิงกันตูมตาม เดี๋ยวตาค้างไม่รู้ด้วย) ก็แค่ปิดทีวี (เท่ากับ pause Apple TV) แล้วเปิด Netflix ในอุปกรณ์ iOS อื่น เท่านี้ก็ดูต่อได้เลย! อย่าง Hulu+ เองก็มีฟีเจอร์คล้ายๆ กัน
  5. ถ้าเป็นคอกีฬา (นอก) ลอง subscribe พวกเว็บ MLB.TV, NBA.com และ NHL GameCenter ดู เพราะให้คุณดูถ่ายทอดกีฬาแบบสดๆ แถมเป็น HD แต่ถ้าอยากดูแมทช์ย้อนหลังก็เข้าคลัง (archives) "on demand" ได้เลย แต่ถึงไม่ได้สมัครเว็บพวกนี้ไว้ ก็ยังเช็คตารางการแข่งขัน คะแนน สถิติ standings และไฮไลต์ต่างๆ ของเกมก่อนหน้าได้ตามสะดวก
  6. คุณติดตามข่าวสารการเงินและเศรษฐกิจได้ที่ Wall Street Journal Live ฟังผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเขาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นกัน ไปจนถึงดูสรุปข่าวล่ามาแรง ทั้งหมดนี้มีให้ดูและฟังตลอด 24 ชั่วโมง!
  7. ลองเข้า YouTube, Vimeo และ Flickr จากใน Main Menu ดู บอกเลยว่ามีคลิปของผู้ใช้ด้วยกันรอให้เข้าชมอีกมหาศาล แถมเปิดง่ายในคลิกเดียว
  8. Radio ให้คุณเลือกฟังรายการวิทยุออนไลน์ (ของฝรั่ง) ได้มากมายหลายร้อยรายการ แบ่งตามหมวดหมู่ไป ถ้าชอบเพลงเพลงบลูส์แนวคลาสสิก เพลงคลาสสิก หรือรายการสนทนาทางวิทยุ ก็คลิกเลือกได้ตามใจชอบ มีทั้งแบบมีและไม่มีโฆษณา แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั้นฟรีแถมชัดแจ๋ว [2]
    โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • Apple TV
  • HDTV ที่มี HDMI input รองรับ resolution 720p หรือ 1080p
  • สาย HDMI ไว้เสียบทีวีโดยตรง หรือสาย HDMI 2 เส้น ถ้าต้องเสียบ receiver ก่อน
  • สัญญาณอินเทอร์เน็ต (แนะนำให้เป็น Wi-Fi อย่างน้อย 802.11g)
  • ชื่อสัญญาณและรหัสผ่าน Wi-Fi
  • สัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบ broadband
  • บัญชี iTunes เอาไว้เช่าหรือซื้อหนังและรายการทีวีมาดู
  • บัญชี Netflix และ/หรือ Hulu ไว้สตรีมหนังและรายการ

เคล็ดลับ

  • ถ้าสตรีมแล้วภาพหรือเสียงติดๆ ขัดๆ หรือขาดช่วง ให้ลองรีเซ็ต Apple TV ผ่านเมนู หรือโดยถอดปลั๊ก 2 - 3 วินาทีแล้วเสียบใหม่
  • คุณใช้ iTunes หรือ iPhoto สร้างโฟลเดอร์ทำสไลด์โชว์ได้
  • ถ้าเปิดทีวีแล้วไม่มีสัญญาณ ให้กดปุ่มไหนก็ได้ที่รีโมท Apple TV จะเข้า sleep mode จากนั้นให้กดปุ่มเพื่อปลุกให้เครื่องเปิดขึ้นมา
  • บอกเลิกแพ็คเกจเคเบิลทีวีที่ใช้อยู่ซะ แรกๆ อาจจะรำคาญบ้างเวลาสตรีมหนังผ่านเน็ตแล้วไม่ลื่นไหลเท่าหนังตามสาย แต่ไม่ทันรู้ตัว คุณจะเพลินกับหนังและรายการใหม่ๆ แบบไม่มีโฆษณา โดยเฉพาะหนังฮอลลีวู้ดดังๆ ที่รีรันได้เองตลอด 24 ชั่วโมง จนลืมการดูทีวีแบบเดิมๆ ไปเลย
โฆษณา

คำเตือน

  • คลื่นไมโครเวฟอาจรบกวนสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ เพราะงั้นแนะนำให้เวฟป๊อปคอร์น ก่อน เปิดหนังดู
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,719 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา