ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การมีชีวิตที่สงบสุขเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของสังคมสมัยใหม่ เมืองที่แออัด เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น รวมถึงความกดดันจากการทำงานและชีวิตประจำวันอาจทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตที่รื่นรมย์นั้นไม่มีอยู่จริง แต่ความสงบนั้นแท้จริงแล้วหาง่ายกว่าที่คุณคิด

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบสุข

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้บ้านของคุณเป็นแหล่งรวมความสงบ แม้ว่าชีวิตครอบครัวของคุณจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม ใช้การออกแบบภายในและการจัดระเบียบข้าวของให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้คุณมีพื้นที่หายใจหายคอสักเล็กน้อยในบ้าน
    • จัดระเบียบทางเดินเข้าบ้านไม่ให้ระเกะระกะ การเดินเข้าบ้านมาแล้วต้องเจอกับของที่วางอยู่เรี่ยราดกระตุ้นความเครียดของคุณอย่างแน่นอน มีพื้นสำหรับวางรองเท้า ร่ม และของใช้ประจำวันใกล้ๆ กับประตู ถ้าพ้นหูพ้นตาไปแล้ว คุณก็จะไม่นึกถึงมันอีก
    • กำหนดพื้นที่ที่สามารถวางของระเกะระกะได้และจำกัดให้อยู่แค่ในบริเวณนั้น การทำให้บ้านทั้งหลังสะอาดและเป็นระเบียบตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าในบ้านมีเด็ก เพราะฉะนั้นให้กำหนดพื้นที่ในบ้านสัก 1-2 ที่ที่ทุกคนสามารถวางกระเป๋า วางจดหมาย และอื่นๆ เอาไว้ได้
    • เปิดเพลงสักหน่อย เพลงคลาสสิกหรือดนตรีสไตล์อื่นๆ เช่น แจ๊ซ ช่วยทำให้ใจสงบและอารมณ์ดีขึ้น เพลงที่เปิดควรเป็นเพลงช้าและเงียบเพื่อให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย [1] การเปิดดนตรีแอมเบียนต์สักเล็กน้อยคลอไปด้วยก็เป็นวิธีที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบได้มากเลยทีเดียว
    • ตกแต่งห้องนอนให้สวยงาม คุณใช้เวลา 1 ใน 3 ของชีวิตบนเตียง เพราะฉะนั้นห้องนอนจึงต้องเป็นเสมือนที่หลบภัยของคุณ ห้องนอนเป็นสถานที่สุดท้ายที่คุณเห็นในตอนกลางคืน และเป็นสถานที่แรกที่คุณตื่นขึ้นมาตอนเช้า ใช้เครื่องนอนที่นุ่มสบาย ผ้าปูที่นอนนุ่มๆ จำนวนเส้นด้ายในการทอสูงเพื่อให้คุณนอนหลับพักผ่อนได้สบาย และซื้อโคมไฟแจ้งเตือนแทนการใช้นาฬิกาปลุกแบบเดิมเพื่อตื่นเช้ารับวันใหม่อย่างสดใส [2]
  2. คุณอาจจะใช้เวลาตื่นนอนส่วนใหญ่ในที่ทำงาน เพราะฉะนั้นคุณจึงควรสร้างพื้นที่ผ่อนคลายในจุดที่ทำได้ด้วย พื้นที่ทำงานแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน มีตั้งแต่ออฟฟิศไปจนถึงที่ทำงานกลางแจ้ง เพราะฉะนั้นลองปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของคุณ
    • ลดข้าวของที่วางสุมกันและกำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกไป วิธีนี้ช่วยลดสิ่งรบกวนและทำให้คุณจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าได้มากขึ้น
    • รักษาความสะอาด เอาขยะไปทิ้ง เช็ดคราบ รอยเลอะ และกำจัดกลิ่นเพื่อลดปัจจัยที่ทำให้หงุดหงิด แต่การรักษาความสะอาดก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ เพราะฉะนั้นอย่าให้การทำความสะอาดกลายเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญหรือความเครียด การรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ
    • ติดภาพสิ่งที่เห็นแล้วมีความสุข ภาพถ่ายของคนในครอบครัว ทิวทัศน์ที่เงียบสงบ หรือสถานที่ที่คุณอยากไปสามารถทำให้วันทำงานของคุณมีความสุขขึ้นได้ด้วยการย้ำเตือนถึงสิ่งดีๆ ในชีวิต และเหตุผลที่ทำให้คุณมาทำงานตั้งแต่แรก
    • ถ้าคุณมีห้องทำงานของตัวเอง ให้ปิดประตู เพราะมันช่วยให้คนไม่เข้ามา ป้องกันเสียงรบกวน และทำให้คุณมีพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่สันโดษเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าคุณต้องร่วมงานกับคนอื่นบ่อยๆ ให้กำหนดเวลาที่คุณจะปิดประตูเป็นเวลาสั้นๆ ในแต่ละวันก่อนที่จะเปิดประตูไปเจอโลกข้างนอกอีกครั้ง
  3. การจัดเรียงสีและแสงมีผลกระทบต่ออารมณ์และประสิทธิภาพในการทำงานเป็นอย่างมาก [3] การปรับเฉด โทน และความเข้มของสีรอบตัวเป็นวิธีรักษาสภาพแวดล้อมที่สงบสุขที่หลายคนมักมองข้ามไป
    • เลือกสีแนวธรรมชาติแทนการใช้สีฉูดฉาด โทนสีฉูดฉาดจะทำให้เกิดความวิตกกังวล เพราะฉะนั้นเฉดสีอ่อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ในทางเดียวกันก็ให้เลือกสีเนื้อแมตต์ (ไม่สะท้อนแสง) แทนเนื้อมันวาวเพื่อลดการสะท้อนและการดึงสมาธิ [4]
    • สีน้ำเงินและสีม่วงลาเวนเดอร์เป็นสีที่เหมาะกับห้องนอนและพื้นที่ที่ต้องการความสงบและรื่นรมย์ [5]
    • ใช้ดาวน์ไลต์และโคมไฟตั้งพื้นหรือตั้งโต๊ะเพื่อสร้างความรู้สึกปิดกั้น ซึ่งยังช่วยลดความจ้าของแสงจากหลอดไฟเปลือยเปล่าที่ส่องมาโดยตรงด้วย ติดตั้งหลอดไฟวอร์มไลต์ (ตอนซื้อให้ดูที่บรรจุภัณฑ์) เพื่อให้ได้โทนแสงอ่อนๆ หลอดไฟสีขาวสว่างจ้าจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในอุตสาหกรรมและแสบตา
  4. ใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติเพื่อให้จิตใจสงบและเติมพลังกลับมาอีกครั้ง จะเป็นกิจกรรมอะไรก็ได้ตั้งแต่การเดินเร็วในสวนสาธารณะ การเดินป่าทางไกลก็เป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายและได้ฟื้นฟูตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้ชีวิตในเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่
    • ใช้ชีวิตช้าๆ ออกไปข้างนอกให้สิ่งแวดล้อมชะโลมจิตใจ มองดูก้อนเมฆสักหน่อย หรือจะถอดรองเท้าออกแล้วสัมผัสกับใบหญ้าตรงซอกนิ้วเท้าก็ได้
    • ถ้าคุณออกไปข้างนอกให้ถ่ายภาพเก็บไว้สักหน่อย ถ้าคุณไปเจอภูมิประเทศที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ให้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้เพื่อที่คุณจะได้กลับมาย้อนดูเพื่อฟื้นฟูตัวเองสักหน่อยในภายหลัง
    • ทำกิจกรรมร่วมกับธรรมชาติ ถ้าคุณชอบธรรมชาติ ให้หางานอดิเรกที่ต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น การตกปลาด้วยเหยื่อปลอมต้องอาศัยการเคลื่อนไหวที่เงียบสงบและผ่อนคลาย รวมถึงความพยายามที่จะทำความเข้าใจกลไกของแม่น้ำ ทะเลสาบ และสิ่งมีชีวิตในน้ำรูปแบบต่างๆ ด้วย การปีนผาก็ทำให้คุณได้สัมผัสวิวที่สวยจนลืมหายใจและความรู้ส่วนตัวเกี่ยวกับธรณีวิทยา ไม่ว่าจะเป็นอะไรการได้ใกล้ชิดกับโลกธรรมชาติมากขึ้นล้วนเป็นวิธีที่ช่วยผ่อนคลายและสร้างพื้นที่สงบสุขในชีวิตของคุณ [6]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ทำให้จิตใจสงบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีที่ช่วยลดความตึงเครียดและความวุ่นวายได้ก็คือ การสร้างระบบที่พึ่งพาและทำซ้ำได้ในชีวิตประจำวันที่ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อและคลายความตึงเครียด ถ้าเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยการรีบทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จ พยายามตั้งสติแล้วทำแต่ละสิ่งช้าๆ ในตอนเช้า [7]
    • ตื่นเช้าขึ้นอีกหน่อย ชงกาแฟ และทำกิจกรรมที่ทำให้ใจสงบ เช่น ฝึกโยคะ นั่งสมาธิ หรืออะไรก็ได้ที่คุณรู้สึกผ่อนคลาย และกำหนดให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในทุกๆ วัน [8]
    • ระบุว่าตอนเช้าคุณอยากทำอะไรบ้าง จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนกิจวัตรเพื่อให้ตัวเองมีเวลาทำสิ่งเหล่านั้นโดยที่ไม่ต้องรีบหรือเพิ่มความเครียดไปกันใหญ่
    • ควบคุมเวลาและพลังงานของตัวเอง เวลาที่ตารางเวลาของเราแน่นมากๆ เราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เราจะทำได้ แต่ให้ลองจินตนาการว่าทุกสิ่งที่คุณทำล้วนเป็นทางเลือก แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะจำเป็นสุดๆ เช่น การไปทำงานหรือการไปส่งลูกที่โรงเรียนก็เช่นกัน วิธีนี้ช่วยให้คุณรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมการใช้เวลาของตัวเองได้มากขึ้น และยังทำให้คุณรู้สึกมีอำนาจในการจัดสรรเวลาพักผ่อนแต่ละวันเพื่อดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเองได้มากขึ้นด้วย
  2. ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองมักจะเกิดความไม่พอใจระหว่างที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในแต่ละวัน พยายามวิเคราะห์การตอบสนองของคุณจนเป็นนิสัย
    • ถ้ามีใครขับรถตัดหน้า ให้หยุดสักครู่แทนที่จะบีบแตร และคิดว่าการตอบโต้ของคุณจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือแค่ทำให้คุณยิ่งเครียดกว่าเดิมกันแน่
  3. งานวิจัยชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่างพิสูจน์แล้วว่า การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นวิธีทำงานที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการทำงานให้เสร็จไปเป็นอย่างๆ และการที่ต้องจดจ่อกับสิ่งต่างๆ กลับไปกลับมาจะทำให้คุณวิตกกังวลเหมือนเดิมแทนที่จะใจเย็นลง [9]
    • การปรับเปลี่ยนง่ายๆ เช่น การวางโทรศัพท์มือถือไว้อีกห้องหรือการปิดแจ้งเตือนอีเมลก็สามารถกำจัดความต้องการที่จะเบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว [10]
    • การจัดลำดับงานสำคัญที่ต้องทำสามารถช่วยได้ ทำงานที่สำคัญให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่นต่อ และจำไว้ว่าการพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย หรือการใช้เวลากับครอบครัวก็เป็น “งาน” เช่นเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งที่สร้างรายได้เพียงอย่างเดียว [11]
  4. วิธีนี้นอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้ว ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดระดับความเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย [12]
    • กำหนดเวลาออกกำลังกายไว้ในตารางเวลาถ้าทำได้ แม้แต่การทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงปานกลาง 20 นาทีก็ช่วยได้มากแล้ว
    • ถึงไม่มีเวลาไปฟิตเนสก็หาเวลาออกกำลังกายได้ไม่ยาก ลุกออกจากโต๊ะไปเดินเล่น ขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์
    • เปิดเพลงผ่อนคลายหรือภาพสบายตาให้เป็นส่วนหนึ่งของการคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยรักษาความรู้สึกสงบขณะที่คุณกลับไปทำงานที่ค้างอยู่ [13]
  5. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ต้องใช้มือ เป็นวิธีที่ช่วยให้ความคิดและวันของคุณสงบสุขได้เป็นอย่างมาก คุณจะทำงานจนเพลินและรู้สึกถึงความสำเร็จในวันนั้น [14]
    • งานช่างไม้ งานปั้นดินเผา และการถักนิตติ้งเป็นกิจกรรมที่ต้องบังคับมือและจิตใจให้จดจ่อและสงบนิ่ง
    • บางคนก็อาจจะพบความสงบแบบเดียวกันนี้ในงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ งานประติมากรรม หรือแม้แต่การเขียน
    • ครัวก็เป็นสถานที่อวดฝีมือที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เช่นเดียวกัน การอบขนม ทำอาหาร และงานที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษอื่นๆ เช่น การชงชาหรือชงกาแฟก็เป็นการระบายความเครียดและแสดงความคิดสร้างสรรค์ได้เช่นเดียวกัน [15]
  6. ฝึก โยคะ หรือ สมาธิ . ประโยชน์ของโยคะและการนั่งสมาธิที่มีต่อสุขภาพนั้นมีบันทึกไว้เป็นหลักฐานมากมาย ทั้งสองกิจกรรมนี้ส่งเสริมความสงบภายในจิตใจและลดความเครียด แถมโยคะยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นอีกด้วย [16] [17]
    • โยคะกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติกที่ช่วยทำให้เกิด “ความรู้สึกผ่อนคลาย” [18]
    • ทั้งโยคะและการนั่งสมาธิมีประโยชน์เพิ่มเติมในแง่ของความสะดวกที่สามารถทำที่ไหนก็ได้ ลองทำท่าง่ายๆ สัก 2-3 ท่าเวลาว่างระหว่างทำงาน หรือในห้องนอนหลังตื่นนอนตอนเช้าเพื่อสร้างเช้าวันใหม่ที่สดใส [19]
  7. ปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณของร่างกายที่มีต่อความเครียดและอันตรายที่เรียกว่า ปฏิกิริยา “สู้หรือหนี” นั้นเป็นการปรับตัวตามวิวัฒนาการที่มีประโยชน์ แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับชีวิตสมัยใหม่ที่สงบสุข ปราศจากอันตรายจากสัตว์ป่า และคนเก็บของป่าล่าสัตว์ที่เป็นศัตรูเท่าไหร่นัก แต่โชคดีที่เราสามารถลดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวนี้ได้
    • พิจารณาความรู้สึก วิธีนี้อาจจะเคยได้ยินกันบ่อย แต่การระบุอารมณ์ตื่นตระหนก เครียด กลัว หรือวิตกกังวลเพียงอย่างเดียวก็สามารถขัดจังหวะกระบวนการของระบบประสาทที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาสู้หรือหนี และช่วยให้คุณเปลี่ยนไปใช้พลังงานได้อย่างมีประโยชน์มากขึ้น [20]
    • กำหนดจิตไปที่ลมหายใจ เวลาที่เรารู้สึกถึงความเครียดหรือแม้แต่ภาวะตื่นตระหนัก พยายามหายใจลึกๆ วิธีนี้จะไปลดแนวโน้มสัญชาตญาณที่ทำให้เราหายใจตื้นและถี่และกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมักจะควบคุมการตอบสนองทางสรีระโดยปราศจากการรับรู้อย่างมีสติ
    • สุดท้ายให้เปลี่ยนคำเรียกความรู้สึกที่คุณระบุก่อนหน้าให้เป็นบวกมากขึ้น เปลี่ยนจากความตื่นตระหนกเป็นความตื่นเต้น หรือความกระวนกระวายเป็นความทะเยอะทะยาน แล้วคุณจะสามารถกลับมาควบคุมการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกายได้อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การเต้นของหัวใจ การหายใจ และเหงื่อที่ไหลออกมาลดลง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสงบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คนรอบข้างคุณไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือคนในครอบครัวล้วนต้องมีช่วงเวลาที่รู้สึกแย่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกไม่ได้ และมักจะทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างรวนไปหมดด้วย
    • ใช้วิธีการ E.A.R. เพื่อให้สถานการณ์สงบลง [21]
    • Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) — ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่า คุณเข้าใจว่าเขารู้สึกไม่ดีด้วยการพูดว่า “ผมรู้นะว่าคุณไม่พอใจมากแค่ไหน” หรือ “ฉันเข้าใจนะว่าคุณรู้สึกหงุดหงิด” และแสดงความเต็มใจที่จะช่วยเหลือเขา
    • Attention (ความสนใจ) — ขอให้เขาอธิบายปัญหาและตั้งใจฟัง “บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าอะไรที่รบกวนจิตใจของคุณ ฉันอยากจะเข้าใจ” ภาษาท่าทางก็ช่วยคุณในสถานการณ์นี้ได้เช่นกัน สบตาเขาและนั่งหรือโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความสนใจ
    • Respect (เคารพ) — คนเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เผชิญความขัดแย้งบ่อยๆ มักจะต้องการความเคารพจากผู้อื่นเวลาที่เขารู้สึกแย่ แสดงความเคารพให้ได้มากที่สุดด้วยการพูดว่า “ผมเคารพความมุ่งมั่นของคุณในเรื่องนี้” หรือ “ผมรู้ว่าคุณเต็มที่กับมันมากและมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว” [22]
  2. คนที่โกรธจัดอาจจะไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่พูดคุยกันได้จนกว่าเธอจะสงบสติอารมณ์เสียก่อน ซึ่งคุณสามารถมีส่วนช่วยในกระบวนการนี้ได้ด้วยการเบี่ยงเบนความโกรธของเธอและแสดงออกอย่างเหมาะสมเพื่อลดระดับความตึงเครียด
    • ก่อนอื่นให้พยายามแสดงว่าคุณเคารพความต้องการหรือความกังวลของเธอ รับรู้ถึงความสำคัญและพยายามอย่าตัดสินเขาตรงๆ พยายามใช้วิธีนี้ด้วยภาษาท่าทางที่ไม่ก้าวร้าวด้วยการไม่เคลื่อนไหวเร็วๆ หรือแสดงท่าทางก้าวร้าวอกผายไหล่ผึ่ง [23]
    • ร่วมมือกับคนที่กำลังโกรธตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น จุดประสงค์คือเพื่อไม่ให้สถานการณ์ยิ่งลุกลาม การฟังอย่างมีประสิทธิภาพก็ช่วยได้เช่นกัน อย่าพูดแทรก แต่ให้ใช้โอกาสนี้ถามคำถามที่ช่วยอธิบาย เพื่อลดการเข้าใจผิดและให้สถานการณ์ค่อยๆ คลี่คลาย [24]
    • เบี่ยงเบนความก้าวร้าวของเธอด้วยการเรียบเรียงความกังวลของเธอเป็นคำพูดใหม่ในลักษณะที่เป็นการปะทะน้อยลง [25] พูดซ้ำคำที่เขาพูดว่า “ฉันอยากจะเอาท่อฟาดเจน” เป็น “ก็คือคุณโกรธเจนมากที่มาขูดสีรถคุณและอยากให้เธอซ่อมให้ใช่มั้ย” วิธีนี้ถ้าสำเร็จก็จะทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงและเปิดใจที่จะพูดคุยถึงปัญหาของเธอได้อย่างมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น
    • เอาตัวเองออกมาจากเขาถ้าความพยายามของคุณไม่สัมฤทธิ์ผลหรือกลายเป็นว่าคุณเองก็เริ่มจะโกรธไปด้วย ความปลอดภัยของคุณสำคัญที่สุด คุณควรถอยห่างจากคนๆ นั้นและเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ผู้ดูแล หรือตำรวจตามความเหมาะสม [26]
  3. งานวิจัยพบว่า การเป็นคนอ่อนน้อมและมีเมตตาต่อผู้อื่นทำให้ความสัมพันธ์ที่บ้าน ที่ทำงาน และในสังคมดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ดูเหมือนว่าการที่เราดีกับคนอื่นนั้นก็ดีกับตัวเราเองด้วยเช่นกัน
    • งานวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) พบว่า การมีเมตตาต่อผู้อื่นสามารถทำให้สุขภาพกายและใจของคุณแข็งแรงขึ้น
    • นอกจากนี้ความอ่อนน้อม ซึ่งก็คือความยินดีที่จะวิจารณ์ตนเองนั้นสามารถช่วยซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่พังลงได้ [27]
    • และความเมตตายังเชื่อมโยงกับความสุขด้วย การทำกุศลและการมีเมตตาทำให้ร่างกายหลั่งโดพามีนและเอ็นดอร์ฟินส์ในสมองที่เป็นองค์ประกอบทางเคมีของความสุข [28]
    โฆษณา
  1. http://zenhabits.net/calm/
  2. http://zenhabits.net/how-not-to-multitask-work-simpler-and/
  3. http://www.adaa.org/understanding-anxiety/related-illnesses/other-related-conditions/stress/physical-activity-reduces-st
  4. http://www.health.com/health/gallery/0,,20425626_4,00.html
  5. https://www.psychologytoday.com/blog/the-creativity-cure/201402/how-be-calm-person
  6. https://www.psychologytoday.com/blog/the-creativity-cure/201402/how-be-calm-person
  7. http://www.health.harvard.edu/staying-healthy/yoga-benefits-beyond-the-mat
  8. http://www.mayoclinic.org/tests-procedures/meditation/in-depth/meditation/art-20045858
  9. http://www.yogajournal.com/article/teach/the-scientific-basis-of-yoga-therapy/
  10. http://www.yogajournal.com/article/health/count-yoga-38-ways-yoga-keeps-fit/
  11. http://thescienceexplorer.com/brain-and-body/neuroscience-tips-remain-calm-under-pressure
  12. http://www.mediate.com/articles/EddyB8.cfm
  13. https://www.highconflictinstitute.com/free-articles/2018/3/11/calming-upset-people-with-ear
  14. https://inside.ewu.edu/caps/resources/faculty-staff/defusing-anger/
  15. https://inside.ewu.edu/caps/resources/faculty-staff/defusing-anger/
  16. https://inside.ewu.edu/caps/resources/faculty-staff/defusing-anger/
  17. https://inside.ewu.edu/caps/resources/faculty-staff/defusing-anger/
  18. http://www.spring.org.uk/2014/04/8-practical-ways-being-humble-improves-your-life.php
  19. http://www.independent.co.uk/life-style/health-and-families/healthy-living/cool-to-be-kind-the-advantages-of-being-altruistic-6259543.html

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,507 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา