ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

วันนี้ไม่อยากไปโรงเรียนใช่ไหม? เมื่อคืนยังทำการบ้านไม่เสร็จ? อี๋วันนี้มีชั่วโมงพละ? หรือเปล่าหรอก จริงๆ ก็แค่ขี้เกียจไปเรียน? ไม่ก็ยังสนุกกับวันหยุดอยู่ใช่ไหม? เรามีวิธีแกล้งป่วยแบบเนียนๆ มาบอก!

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 5:

โรคต้องถามหาตั้งแต่ตอนกลางคืน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    เริ่มออกอาการตั้งแต่ก่อนนอนเลย. ถ้าพรุ่งนี้กะจะหยุดอยู่บ้าน บอกพ่อกับแม่ไปเลยตั้งแต่ก่อนเข้านอน ว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย [1]
    • แต่อย่าบอกล่วงหน้านานเกินไปนะ เพราะบางโรคเนี่ยมันหายได้ข้ามคืน อย่างอาการปวดท้องน่ะ เราขอแนะนำให้เริ่มป่วยตั้งแต่หลัง 6 โมงครึ่งตอนเย็นเป็นต้นไป ก็ประมาณหลังอาหารเย็นนั่นแหละ
    • ถ้าเคยป่วยด้วยอาการที่เกี่ยวข้องกับไวรัสหรือแมลงสัตว์กัดต่อยมาก่อนหน้านี้ ก็เอาใหม่อีกสักรอบเลย จะได้ดูสมจริงขึ้นอีกนิด แต่ขอเตือนว่าอย่าเผลอถูกแมลงตัวเดิมกัดซ้ำสองล่ะ! และถ้าบังเอิญไปคลุกคลีกับคนป่วยมาก่อนหน้านี้ ก็ก็อปอาการมาซะเลย จะได้ดูเหมือนว่าคุณติดหวัดมาจากพวกนั้นไง
    • ตบหน้าตัวเองเพื่อความสมจริง เพราะพอเริ่มแสดงอาการป่วยหรือจับไข้ แก้มต้องให้แดงแจ๋เลยนะ เราทำแก้มแดงได้ง่ายๆ ด้วยการยอมตบหน้าตัวเองหลายๆ ทีหน่อย แต่ระวังอย่าให้พ่อแม่เห็นนะ ที่สำคัญคืออย่าเล่นใหญ่เกิน ไม่งั้นจะเจ็บตัวจริงๆ ไม่รู้ด้วย! แต่ถ้าลำบากไปก็ใช้บลัชออนทาเถอะ
    • ทำตัวซุ่มซ่ามบ้างก็ได้ จะได้ดูเหนื่อยๆ ป่วยๆ ไง
  2. 2
    อะไรที่ชอบทำน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้. ถ้าคุณยอมเลิกทำอะไรที่ปกติชอบทำมากพอๆ กับที่เกลียดโรงเรียนละก็ รับรองว่าแม้แต่พ่อแม่ก็ยังต้องเชื่อ
    • อาหารเย็นจานโปรดน่ะ เหลือมันไว้ครึ่งจานเลย พอพ่อหรือแม่ถามว่าเป็นอะไรไป ก็รีบบอกซะว่าปวดท้องจัง อย่าลืมซ่อนขนมไว้ในห้องด้วยนะ จะได้กินข้าวน้อยๆ ให้พ่อแม่เชื่อว่าป่วยจริง เพราะว่า "รู้สึกไม่ค่อยดีจนกินอะไรไม่ลง”
    • ถ้านัดกับเพื่อนไว้ละก็ เลื่อนไปเลย
    • ขอตัวขึ้นห้อง ไม่มานั่งคุยกับพ่อแม่พี่น้องอย่างเคย โดยเฉพาะห้ามดูรายการโปรดเด็ดขาด
  3. 3
    เริ่มทำการบ้านไปนิดๆ แต่อย่าทำให้เสร็จ. เพราะจะได้ดูว่าเปล่าจงใจหยุดเรียนแต่แรกนะ แถมยังเป็นเหตุผลให้ต้องอยู่บ้านในวันถัดมาอีกต่างหาก
    • ถ้าปกติเป็นคนชอบทำการบ้านตอนกลางคืน ก็ทำเลย แต่ให้ฟุบหน้ากับโต๊ะเป็นระยะๆ พ่อแม่จะได้เห็นว่ามีอาการแปลกๆ ที่ทำให้ทำการบ้านไม่ไหว
    • ยิ่งถ้าเป็นคนทำการบ้านเสร็จตรงเวลาไม่เคยขาด ก็ขอให้ทำต่อไป จะได้ดูว่าตั้งใจจะไปโรงเรียนอยู่แล้ว แต่พอทำไปได้ครึ่งหนึ่ง ให้บ่นว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
    • พอทำการบ้านไม่เสร็จ ก็มีข้ออ้างให้พ่อแม่ยอมให้หยุดเรียนไงล่ะ
    • จะได้ผลดีมากๆ กับพ่อแม่ประเภทที่ห่วงเรื่องผลการเรียนของลูกยิ่งกว่าอะไรดี
  4. 4
    รีบเข้านอนแต่หัววัน. การเข้านอนตั้งแต่ยังหัวค่ำนี่แหละเรื่องแปลกที่พ่อแม่จะสังเกตเห็น โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนประเภทที่ชอบนอนดึกไม่สนเคอร์ฟิวอยู่แล้ว
    • ไม่ต้องอธิบายอะไร หรือแค่บอกว่ารู้สึกไม่ดีเลยอยากไปนอนพักสักหน่อย
    • อีกตัวเลือกคือลองทำตัวเด่น ด้วยการเดินผ่านให้พ่อแม่เห็นชัดๆ หรือลุกออกจากห้องแล้วตรงไปห้องนอนเลย
    • ถ้าบังเอิญว่าคุณรู้สึกป่วยจริงๆ แต่น้อยเกินกว่าที่พ่อแม่จะยอมให้หยุดเรียน ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นสักหน่อย (เช่น คลื่นไส้ ให้เปลี่ยนเป็น จะอ้วกออกมาแล้ว ) หลายงานวิจัยชี้ว่าคิดอะไรมากๆ เข้า เราก็จะรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ เพราะฉะนั้นก็น่าจะเป็นแผนสุดเจ๋งที่พ่อแม่จับไม่ได้แน่นอน! แต่จำไว้ว่าแผนการนี้จะได้ผลเฉพาะถ้าคุณป่วย "จริงๆ" เท่านั้น ถ้ากำลังสบายหายห่วงละก็ขอร้องว่าอย่าลอง แต่ถ้าป่วยนิดป่วยหน่อย นี่จะยิ่งช่วยเสริมให้ได้หยุดเรียนในวันรุ่งขึ้นไงล่ะ!
    • ไม่ต้องแปรงฟัน ถ้าพ่อแม่ผิดสังเกตก็จะเข้ามาเตือนในห้องเอง พอเป็นแบบนั้น พ่อแม่ก็จะถามว่าเป็นอะไรไป ก็บอกไปได้เลยว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย
    • ทำท่าทำทางหงุดหงิด อยากเข้านอนจนทนไม่ไหว แต่ขอร้องว่า อย่า หงุดหงิดจนเกินงาม เรากำลังอยากได้ความสงสารและเห็นใจจากพ่อแม่ เดี๋ยวจะโดนลงโทษเพราะเสียมารยาทแทน!
  5. 5
    จงตื่นขึ้นมากลางดึก. ตื่นขึ้นมาซะ แล้วไปปลุกพ่อกับแม่ด้วย เอาสักประมาณตอนตี 1 แล้วบอกว่ารู้สึกไม่สบาย
    • ถ้าเลือกจะป่วยเรื่องท้องไส้ ให้บอกว่าเพิ่งอาเจียนไป (อย่าลืมเหลือเศษซากของอ้วกปลอมไว้ในโถส้วมด้วยนะ) [2]
    • บีบน้ำตา (ถ้าทำได้) ให้ยิ่งดูว่าป่วยของแท้แน่นอน แต่เอาให้ดูน่าเชื่อถือหน่อยนะ! นึกถึงหมาแมวที่ตายไปหรือเรื่องเศร้าๆ ก็ช่วยได้เยอะ
    • ดึงหนังตาล่างออกมาจนรู้สึกเจ็บแล้วกระพริบตาแรงๆ สองสามที แค่นี้ก็มีน้ำตาคลอแล้ว
    • สำหรับอาการหวัดหรือเจ็บคอ ให้ไอหรือกระแอมไล่เสมหะในคอดังๆ ให้พ่อแม่ได้ยินไปถึงห้องนอน แล้วรีบถูหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายให้ดูแดงๆ สมจริงก่อนที่พ่อกับแม่จะเข้ามา
  6. 6
    ห้ามหลับตลอดคืน. จะได้มีถุงใต้ตาเป็นเครื่องรับประกันว่าควรได้หยุดเรียน แต่ถ้ายังไม่เนียน จะใช้อายแชโดว์สีออกม่วงๆ เทาๆ ทาให้เหมือนมีถุงใต้ตาก็ได้นะ
    • นอนช้ากว่าปกติสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง ทีนี้ล่ะมีถุงเล็กๆ ใต้ตาแน่ ดีไม่ดีจะออกบวมๆ หน่อยๆ ด้วย
    • แต่นอนพักจริงๆ สัก 4 ชั่วโมงขึ้นไปก็ดีนะ เพราะเดี๋ยวจะง่วงเหงาเศร้าซึมซะจนหมดสนุกกับวันที่อุตส่าห์ไม่ต้องไปโรงเรียน
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 5:

ตอนเช้าต้องป่วยแบบจัดเต็ม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ชิงตื่นก่อนพ่อแม่เพื่อมาเตรียมอ้วกปลอม. จัดแต่งให้สวยงามพร้อมใช้ในโถส้วม แล้วรีบโก่งคอ ถ้าเสียงไม่ดังพอจะปลุกพ่อกับแม่ให้ตื่นละก็ ไปปลุกพวกเขาซะเองเลย รีบเล่าซะว่าเพิ่งจะเกิด "อะไร" ขึ้น
  2. 2
    แต่งตัวแบบอิดๆ ออดๆ. อย่ากระตือรือร้นอยากไปโรงเรียนนัก แต่ให้ทำท่าทำทางเหมือนเป็นเรื่องยากซะเต็มประดา
    • ใส่เสื้อผ้าแต่ละชิ้นช้าๆ แต่ก็อย่าช้าจนเกินไป ข้ามกระดุมเสื้อไปสักเม็ด ไม่ต้องหวีผมมากนัก ผูกเชือกรองเท้าลวกๆ (หรือไม่ต้องผูกเลยยิ่งดี)
    • ตาปรือสะลึมสะลือ ลองนึกถึงเรื่องที่มันเศร้าๆ ให้น้ำตาซึม ตาฉ่ำๆ จะขยี้ให้ตาแดงๆ เพื่อความสมจริงด้วยก็ยิ่งดี [3]
  3. 3
    อย่าลืมถุงใต้ตาดำคล้ำ. ถ้าเมื่อคืนก่อนนอนซะเต็มอิ่มจนใต้ตาไม่ยอมดำคล้ำตามธรรมชาติละก็ เรามีวิธีสร้างถุงใต้ตาเทียมง่ายๆ มาบอก
    • ทาอายแชโดว์สีม่วงอ่อนๆ หรือออกฟ้าๆ ถ้าไม่มี ไปแอบหยิบของแม่มาใช้ก็ได้
    • ผสมน้ำเข้าไปด้วย สีจะได้ออกมาจางๆ ดูเป็นธรรมชาติหน่อย
    • ถูไถให้สีเนียนกลมกลืน แต่ยังพอสังเกตเห็นได้
    • หรือจะเอาวาสลีนมาทาใต้ตาร่วมด้วยก็ได้
  4. 4
    คุ้ยเขี่ยอาหารเช้าแบบเสียมิได้. หนึ่งในอาการยอดนิยมของคนไม่สบาย ก็คือเบื่ออาหารนี่แหละ ยิ่งถ้าวันนั้นเป็นอาหารจานโปรด หรือปกติคุณเป็นพวกเบรคแตกกินไม่มียั้ง พ่อแม่จะยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
  5. 5
    ทำเป็นไม่ยอม ตอนพ่อกับแม่บอกให้หยุดเรียน. พอลงล็อคตามแผนการ พ่อแม่ออกปากให้หยุดเรียนแล้ว อย่าเผลอยักไหล่แล้วยอมหยุดแต่โดยดีล่ะ [4]
    • ประท้วงซะหน่อย (เฉพาะกรณีที่พ่อแม่เชื่อสนิทใจแล้วเท่านั้นนะ) จะได้ทำให้อาการป่วยไม่น่าสงสัย
    • ประมาณว่า "แต่แม่คะ/ครับ ถ้าหยุด หนู/ผมต้องไปนั่งตามงานค้างอีกนะ!" หรือ "แต่วันนี้หนู/ผมมีสอบเลขนะ!" แต่ถ้าพ่อแม่รู้อยู่ว่าคุณไม่เห็นจะแคร์เรื่องสอบ ให้เปลี่ยนเป็นอะไรที่คุณชอบ อย่าง "แต่หนู/ผมต้องซ้อมวงโยฯ" หรือ "วันนี้มีคาบศิลปะนะ" แทน
    • ระวังอย่าเล่นใหญ่เกิน อย่ามั่วทำเป็นอยากไปสอบ ถ้าปกติรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่จริง ถ้าไม่เนียนพอละก็ ระวังจะหาเรื่องใส่ตัว
    • แล้วก็อย่าอ้อนขออยู่บ้านมากเกินไปล่ะ ไม่งั้นพ่อแม่จับไต๋ว่าคุณหลอกได้แน่ๆ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 5:

จะป่วยก็เลือกมาให้เด่นๆ สักโรค

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    แกล้งทำเป็นมีผื่น. จงแสดงอาการแพ้ หรือผื่นคันที่อาจติดต่อไปยังคนอื่นได้ แล้วคุณจะได้อยู่บ้านแน่นอน
    • เริ่มจากเกาหน้าอก เยอะๆ จนแดงแจ๋ไปหมด
    • พยายามให้เป็นวงๆ เข้าไว้ จะได้เหมือนจริง
    • สุดท้ายให้ควบรวมอาการอื่นๆ นอกจาก "ผื่นคัน" อย่างน้ำมูกไหลหรือปวดหัวเข้ามาด้วย
  2. 2
    แกล้งทำเป็นมีไข้. ถ้าแกล้งป่วยสมจริงเข้าขั้นละก็ พ่อแม่อาจจะขอวัดไข้ดูสักหน่อย เตรียมตัวไว้ให้ดี รีบแสดงอาการไข้ให้รวดเร็ว [5]
    • ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนจะถูกวัดไข้
    • อย่าลืมเอาแก้วน้ำติดตัวมาด้วย เติมน้ำอุ่นเอาไว้ดื่มแล้วกลั้วให้ทั่วทั้งปาก โดยเฉพาะใต้ลิ้น เพราะจะช่วยให้อุณหภูมิในช่องปากเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างดีเชียวแหละ
    • ต้องกดชักโครกก่อนเปิดน้ำที่อ่างล้างมือด้วยนะ ไม่งั้นพ่อแม่สงสัยตายเลย!
    • หมายเหตุ แหงล่ะว่าวิธีนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อวัดไข้ที่ใต้ลิ้น ถ้าเป็นเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้แบบใส่ไปในหูละก็ ก่อนอุณหภูมิที่แท้จริงจะปรากฏ ให้รีบเอามาอังให้อุ่น จะแถวๆ ฮีตเตอร์หรือหลอดไฟก็ได้
    • ถ้าพ่อแม่เป็นประเภทแค่เอามือทาบหน้าผากละก็ ตอนพวกเขาเผลอๆ ให้รีบเอามือถูหน้าผากเร็วๆ เยอะๆ หรือเอาไดร์เป่าผมมาเป่าหน้าให้ร้อน แล้วบอกพ่อแม่ว่ารู้สึกหัวอุ่นๆ [6]
    • เอาน้ำอุ่นทาที่ใต้วงแขน หน้าผาก แล้วก็แก้ม จะทำให้ตัวรุมๆ แถมยังดูเหมือนเหงื่อแตกพลั่ก
    • อุณหภูมิที่เหมาะสม คืออุ่นกว่า 37 องศาเซลเซียส แต่ไม่เกิน 39.4 องศาเซลเซียส เพราะถ้าเย็นกว่า 37 องศานั่นไม่นับว่าเป็นไข้แล้ว แต่ถ้าเพลินจนเกิน 39.4 องศาละก็ โดนพ่อแม่พาไปหาหมอจนความแตกแน่ๆ [7]
  3. 3
    ปวดหัวไมเกรนก็น่าสน. ง่ายทีเดียวล่ะ เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าปวดหัวจริงหรือปลอม แค่ทำเป็นปวดหัวไมเกรน ก็มีแนวโน้มว่าพ่อแม่จะเชื่อเต็มที่แล้ว [8]
    • แสงกับเสียงต่างๆ นี่แหละศัตรูของไมเกรน พยายามทนแสงกับเสียงไม่ไหวซะ
    • บอกว่าปวดแค่จุดใดจุดหนึ่งของหัวเท่านั้นนะ อย่างปวดเหนือคิ้วขวา สำคัญมากเลยถ้าคิดจะป่วยด้วยไมเกรนน่ะ
    • จับหน้าผากบ่อยๆ อย่าลืมขมวดคิ้วด้วย
    • บอกพ่อแม่ว่าเวียนหัวและตาพร่า เดินช้าๆ อยู่ๆ ก็หยุด หลับตา แล้ว "พยายามทรงตัว" ด้วยการยึดเกาะอะไรหรือใครสักคน
    • ขอให้พ่อกับแม่ช่วยพูดเสียงเบาลงสักหน่อย
    • ถ้าเป็นวันก่อนหน้าวันที่อยากจะโดดเรียนละก็ ไปงีบซะ ปิดไฟให้หมด หรือถ้าแค่อยากแกร่วอยู่กับบ้าน ก็ให้ปิดไฟดวงที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วเอนตัวลงนอนที่เก้าอี้หรือโซฟาแถวๆ นั้น
    • ถามหายาอย่างไอบูโพรเฟน แต่อย่าเผลอกินเข้าไปจริงๆ ล่ะ
  4. 4
    ท้องเสียไม่ไหวแล้ว. นี่ก็อีกโรคที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะหลังทานอาหารเช้า
    • จ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำไปเลย
    • อยู่ในนั้นสักพัก กดชักโครก แล้วพ่นน้ำหอมปรับอากาศให้คลุ้ง เพื่อกลบกลิ่นที่ไม่ได้มีอยู่แต่แรก
    • หรือจะลองทำอึปลอมดูก็ได้
  5. 5
    โรคตาแดงก็ได้ผลชะงัดนัก. โรคยอดนิยมแถมยังติดต่อง่ายแบบสุดๆ! ไม่ต้องสงสัยว่าใครเห็นก็ต้องรีบให้คุณหยุดอยู่บ้านทันที
    • หาลิปสติกสีแดงมา (จะที่ไหน ก็จากในกระเป๋าแม่ไง) ผสมกับวาสลีนแล้วป้ายที่เปลือกตาข้างหนึ่ง
    • สำคัญมากว่าต้องทาแค่ข้างเดียวนะ เพราะปกติแล้วโรคตาแดงมันไม่เป็นกันทั้งสองข้างหรอก [9]
  6. 6
    หรือจะเลือกคลื่นไส้ ปวดท้อง หรือปวดท้องเมนส์ก็ได้. นอกจากคำพูดแล้ว อีกหลักฐานที่ช่วยสนับสนุนอาการของคุณได้ดีก็คืออ้วกปลอม ที่ทำได้ง่ายนิดเดียว
    • หลังมื้ออาหารก็เริ่มบ่นซะ ว่ารู้สึกไม่ค่อยดี
    • ถ้าพ่อแม่ไม่ทันสังเกตละก็ ให้รีบเอานิ้วล้วงคอ แต่ไม่ต้องลึกจนเกินไปล่ะ ให้พออยากจะอ้วก แต่ยังไม่ต้องอ้วกออกมาจริงๆ พอรู้สึกว่าเริ่มจะไม่ดีแล้ว ให้รีบเอานิ้วออกมา ถ้าเลือกวิธีนี้ก็ระวังนิดนึง อย่าให้เป็นอะไรไปจริงๆ ล่ะ
    • เตรียมอ้วกปลอมไว้เพื่อเสริมความสมจริงโดยใช้ข้าวโอ๊ตกับน้ำ รีบวิ่งไปห้องน้ำซะ ตักข้าวโอ๊ตเละๆ ใส่ปาก กลั้วน้ำผสม จากนั้นก็บ้วนใส่อ่างอาบน้ำไว้ให้พ่อแม่ดู
    • หรือจะสร้างสถานการณ์ เอาอ้วกปลอมเทใส่พื้นห้องเลยก็ได้ (บนเตียงเลยก็ดีถ้าอยากให้ยิ่งสมจริง) พอเช้ามาก็รีบขอโทษผู้โชคดีที่ต้องมานั่งเช็ดอ้วกปลอมของคุณซะ แล้วบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย ถ้าคนที่เช็ดอ้วกไม่ใช่คุณ ก็ระวังหน่อยแล้วกัน เพราะถ้าเขามีโอกาสได้พินิจพิจารณาอ้วกปลอมนั้นใกล้ๆ ละก็ อาจจะจับได้ว่านั่นไม่ใช่อ้วกจริงๆ นี่นา
    • ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แถมยังเพิ่งมีเมนส์ละก็ บอกพ่อแม่ไปเลยว่าปวดท้องเมนส์ ว่าเป็นช่วงนั้นของเดือน พ่อคงจะรีบเปลี่ยนเรื่องเลยทีเดียว ส่วนแม่ก็จะเข้าใจได้ทันที ซึ่งไม่ว่าใครก็พิสูจน์ไม่ได้ทั้งนั้นว่าคุณปวดท้องเมนส์จริงหรือเปล่า
  7. 7
    เลือกโรคสามัญประจำบ้านอย่างหวัด หรือไข้หวัดใหญ่. มีอาการเยอะมากให้คุณเลือกใช้ ซึ่งไม่ว่าอันไหนก็ติดต่อได้ทั้งนั้น พ่อกับแม่คงไม่ยอมเสี่ยงส่งคุณไปแพร่เชื้อหวัดให้เพื่อนๆ ร่วมชั้นแน่นอน [10]
    • สั่งน้ำมูกใส่ทิชชู่เยอะๆ ขยำทิ้งๆ ไว้ให้ทั่วห้อง ไม่ว่าจะบนพื้น โต๊ะข้างหัวเตียง หรือบนเตียง พ่อแม่เห็นจะได้รู้ว่าคุณเป็นหวัดคัดจมูกขนาดไหน ต้องให้หยุดเรียนแน่นอน
    • หายใจทางปากด้วย อย่าลืมว่าตอนนี้จมูกตันอยู่นะ
    • ถ้าไม่ได้นอนห้องเดียวกับพ่อแม่ แล้วพ่อแม่เรียกละก็ อย่าลืมคอยเอามือจับๆ ขยับๆ จมูกเป็นระยะด้วยล่ะ ตอนคุยกัน
    • ใส่เสื้อผ้าซ้อนกันหลายๆ ชั้น จะได้ดูเหมือนว่าจับไข้จนหนาวสั่น
    • จามให้ดังๆ สูดน้ำมูกด้วยเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ แต่ถึงจะอยู่คนละห้องก็อย่าลืมทำเสียงให้ได้ยินไปถึงล่ะ
    • เม้มปากหรือทำปากตึงๆ จะได้ดูแห้งแตก แล้วก็บิดจมูกไปมาให้แดงๆ
    • บ่นให้พ่อแม่ฟังว่า “ปวดกระดูก” หรือปวดเนื้อปวดตัวไปทั่ว
  8. 8
    เจ็บคอซะเลย. แต่อย่าทำให้หนักจนเหมือนคออักเสบ เพราะไม่งั้นโดนหามส่งโรงพยาบาลจริงๆ แน่
    • เวลาเดินไปไหนมาไหนอย่าลืมอ้าปากไว้ คอจะได้แห้งๆ ไง
    • อย่าเพิ่งกินหรือดื่มอะไร
    • อมยาอมสีแดงๆ คอจะได้ดูแดงๆ ด้วย
    • ทำหน้าเหยเกเข้าไว้เวลากลืนอะไรลงคอ พูดเสียงต่ำๆ แหบๆ แล้วก็คอยจิบน้ำบ่อยๆ
    • บอกพ่อแม่ว่ารู้สึกระคายคอนิดหน่อย หรือถ้าดราม่าหน่อยก็บอกไปเลยว่ากลืนน้ำลายแล้วเจ็บเหมือนกลืนเศษแก้ว
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 5:

รักษาผลงานให้ได้ตลอดวัน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    อย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง. เป็นไปได้มาก ว่าพ่อแม่จะคอยติดตามอาการของคุณที่กำลังมีความสุขอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะด้วยอยากรู้ว่าป่วยจริงไหม หรืออยากรู้ว่าดีขึ้นหรือยังก็ตาม
    • ถ้าบังเอิญพ่อแม่ก็อยู่บ้านด้วย ก็แกล้งหลับไปซะเลย คอยแสดงอาการเฉพาะตอนพ่อแม่โผล่เข้ามาเช็ค
    • แต่ถ้าพ่อแม่อยู่ที่ทำงาน ก็เป็นฝ่ายชิงโทรไปรายงานอาการก่อนซะเลย จะได้ดูดีมีความรับผิดชอบ เปล่าสนุกกับวันหยุดอยู่ซะหน่อย
    • ถ้าพ่อหรือแม่โทรมาเช็คอาการจากที่ทำงาน รอให้โทรศัพท์ดังสักสามหรือสามครั้งกว่า ก่อนจะรับสาย เอาแบบเสียงเหนื่อยๆ เลยนะ
  2. 2
    แต่ก็ต้องอาการดีขึ้นบ้างนะ. ถ้าได้หยุดอยู่บ้าน ให้ทำเป็นนอนเยอะๆ จนกระทั่งค่อยๆ "รู้สึกดีขึ้น"
    • พอผ่านไปครึ่งวัน ให้เลิกแสดงอาการป่วยที่เป็นอยู่สักหนึ่งหรือสองอาการ
    • ถ้าจวนจะหมดวันแล้วยังอาการไม่ดีขึ้น คราวนี้แหละพ่อแม่จะสงสัยจนโดนพาไปหาหมอ แล้วก็ความแตกแน่
    • แต่ถ้าพ่อแม่จะจับส่งโรงพยาบาลแน่แล้ว รีบหายซะ หรือไม่ก็รับๆ ไปเถอะว่าคุณแกล้งป่วย
  3. 3
    อย่าริทำตัวเด่นจะเป็นภัย. ยังจำได้ไหมเนี่ย ว่าต้องเป็นคนนอนซมป่วยอยู่กับบ้าน?!
    • อย่าให้ถูกจับหรือแม้แต่คิดจะออกนอกบ้าน เพราะถ้าเพื่อนหรือเพื่อนของพ่อกับแม่เกิดเห็นเข้าละก็ ถูกเปิดโปงแน่
    • ให้แน่ใจว่าเก็บเกมต่างๆ ให้พ้นทางก่อนพ่อแม่จะกลับถึงบ้าน เพราะถ้าถูกเจอว่ากำลังเล่นสนุกอยู่ละก็ พ่อแม่คิดแน่ว่าที่แท้ก็แกล้งทำมาตลอดนี่นา
    • ที่สำคัญคือต้องลบประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้หมดจด จะได้ไม่มีใครรู้ว่านั่งเข้าเว็บนู้นเว็บนี้มาทั้งวันเนี่ย
    • แล้วอย่าลืมลบประวัติการค้นหาหน้านี้ด้วยล่ะ
    • อย่าบุคมาร์คหรือดาวน์โหลดอะไรลงคอมพิวเตอร์ด้วย พ่อแม่จะสังเกตเห็นได้ว่าคุณทำอะไรพวกนี้ใน "วันที่ป่วย" นี่นา ลบหน้านี้ออกจากประวัติการค้นหา เขาจะได้ไม่เห็นและไม่มานั่งสงสัยคุณ
    โฆษณา
ส่วน 5
ส่วน 5 ของ 5:

ต้องชนะใจครูประจำวิชาและครูห้องพยาบาลด้วย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ขออนุญาตไปห้องพยาบาล. แต่ละโรงเรียนก็ต่างกันออกไป แต่ขั้นแรกก็คือต้องให้ครูประจำวิชาอนุญาตให้คุณออกไปห้องพยาบาลซะก่อน พวกครูห้องพยาบาลนี่แหละหิน เก่งนักเรื่องจับโกหกเพราะเห็นๆ กันอยู่ทุกวัน แต่คุณก็รับมือได้ไม่ยากหรอก แค่วางแผนให้ดี ด้วยการมาห้องพยาบาลสองครั้งในเวลาที่แตกต่างกัน [11]
    • รอให้เริ่มเรียนไปสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง แล้วค่อยขออนุญาตครูประจำวิชาไปเข้าห้องน้ำ
    • หลังจากหายไปนานกว่าปกติ ก็ให้กลับไปที่ห้องเรียน แล้วบอกครูว่าเพิ่งอาเจียนมา อยากจะขอไปห้องพยาบาล
  2. 2
    ถามครูห้องพยาบาล ว่าจะขอ "นอนพักสักเดี๋ยว" ได้ไหม. ต้องเริ่มจากคำของ่ายๆ แบบนี้ก่อน อย่าเพิ่งโพล่งออกไปล่ะ ว่า "จะกลับบ้านแล้ว"
    • พอเจอครูห้องพยาบาลปุ๊บ ก็บอกไปเลยว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย จะเวียนหัว หรือมึนๆ อยากนอนพักก็ได้
    • ถามว่าจะขอพักสักหน่อยก่อนกลับไปเรียนได้ไหม จะได้ดูว่าคุณไม่ได้อยากกลับบ้านแต่แรก และพยายามอดทนต่ออาการป่วย ไม่ใช่ว่าแกล้งป่วย [12]
  3. 3
    แกล้งผล็อยหลับไป. เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับสถานการณ์ของคุณ ทำให้ดูว่ากำลังไม่สบายอยู่จริงๆ
    • ขอร้องว่าอย่าเว่อร์เกินไป อย่างแกล้งกรน แค่นอนเฉยๆ เอาผ้าห่มหรือหมอนปิดหน้าไว้ก็ได้
    • อาการแบบนี้จะได้ดูว่าคุณไวต่อแสง (อาการของโรคไมเกรน) และพยายามนอนพักให้ดีขึ้น
  4. 4
    เอาตัวรอดจากทุกการตรวจสุขภาพ. ครูห้องพยาบาลคงต้องตรวจเช็คอาการให้แน่ใจด้วยวิธีทางการแพทย์ต่างๆ
    • ถ้าพยาบาลจะวัดความดันละก็ กลั้นหายใจไว้ เพราะจะช่วยให้ความดันเลือดลดลง แปลว่าคุณกำลังป่วยไงล่ะ [13]
    • บอกครูห้องพยาบาลว่าเพิ่งจะอาเจียนมา ไม่มีใครสงสัยเรื่องนี้แน่
    • และแน่นอนว่าครูห้องพยาบาลต้องอยากวัดไข้ เตรียมรับการวัดไข้ในช่องปาก ด้วยการกลั้วน้ำอุ่นจัดก่อนไปห้องพยาบาล หรือจะวิ่งไปวิ่งมาสักพักก็ได้ เพราะอุณหภูมิร่างกายจะได้สูงขึ้น เหมือนว่าเป็นไข้อยู่ไงล่ะ
  5. 5
    แวะมาห้องพยาบาลรอบที่สอง. ถ้าครูห้องพยาบาลส่งคุณกลับไปเรียนละก็ ไม่ต้องกลัว! เพราะแปลว่าคุณกำลังจะได้แวะเวียนไปห้องพยาบาลเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้แหละที่จะทำให้คุณได้กลับบ้านในที่สุด
    • อ้อนครูห้องพยาบาลว่าพยายามแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกดีขึ้น แถมยัง "ป่วยจนเรียนไม่รู้เรื่อง" นี่แหละวรรคทองเลย
    • บรรยายอาการข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นหวัด คลื่นไส้ หรืออะไรก็ตามที่เลือกมา
    • แต่เอาให้สมจริงเข้าไว้ อย่าเล่นใหญ่เกินหรือแสดงอาการเยอะแยะมั่วซั่ว แค่บอกว่ารู้สึก "ไม่ค่อยดี" "ปวดหัว" แล้วก็ "ปวดจนไม่มีสมาธิจะเรียน"
    • เรารู้ว่าคุณอยากให้ครูห้องพยาบาลรีบๆ โทรให้พ่อแม่มารับคุณใจจะขาด แต่ ห้ามพูดเด็ดขาด! ไม่งั้นล่ะความแตกแน่ว่าที่แท้คุณอยากกลับบ้าน ไม่ได้กำลังป่วย [14]
    • ถ้าคุณรู้ว่ามีใครสักคนกำลังป่วยอยู่ ให้บอกไปว่าเพิ่งคลุกคลีกับเขามา โดยเฉพาะถ้าครูห้องพยาบาลรู้ว่าเขา/เธอคนนั้นป่วยอยู่จริง คุณก็แกล้งทำว่าติดเชื้ออะไรก็ตามที่เขาเป็นเข้าให้แล้วเหมือนกัน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าเซฟหน้าเว็บหรือดาวน์โหลดอะไรไว้ในคอมพิวเตอร์ เพราะพ่อแม่จะรู้ว่าคุณทำอะไรไปบ้างในวันที่ควรจะ “นอนซมอยู่บ้าน”
  • ระวังคำพูด เอาให้น่าเชื่อถือเข้าไว้ อย่าง "เฮ้อ ปวดท้องมาก รู้สึกแย่จัง" แบบนี้ถึงจะน่าสงสารแล้วได้รับอนุญาตให้หยุดอยู่บ้าน (ขอให้เป็นแบบนั้นนะ) แต่ถ้าพูดอะไรไม่คิด แบบ "โอ๊ย ป่วยจนไม่ไหวแล้ว คงเพราะอะไรที่กินเข้าไปแน่เลย" ก็จะตามมาด้วยคำถามปราบเซียนที่ว่า "หนูไปกินอะไรที่ไหนมา? จะให้ตามหมอมาตรวจไหม? ของที่หนูกินเข้าไปมันเสียหรือเปล่า?" พอรู้ตัวอีกที ก็ความแตกซะแล้ว
  • คุณรู้จักพ่อแม่ตัวเองดีที่สุด สมมติว่าถ้าพ่อแม่เป็นหมอทั้งคู่ ก็เหนื่อยหน่อยนะ
  • ถ้าที่ผ่านมาเวลาป่วยที่โรงเรียนแล้วไม่ยอมถูกส่งตัวกลับบ้าน คราวนี้พวกครูๆ ก็จะเชื่อได้ไม่ยากเลย
  • อย่าแกล้งป่วยบ่อยเกินไป สัก 3 เดือนครั้งก็พอ ไม่งั้นพ่อแม่ผิดสังเกตแน่
  • ต้องดูเหนื่อยๆ เพลียๆ และอย่าลืมเอาไดร์เป่าผมมาเป่าหัวให้อุ่นๆ เข้าไว้
  • รอให้พ่อ แม่ เพื่อน หรือพี่น้องป่วย แล้วขโมยอาการมาซะเลย จะได้ดูเหมือนว่า "ติด" มาจากคนอื่นไง
  • อ่านบทความนี้จบแล้วลบทิ้งซะ พ่อแม่จะได้ไม่มาเจอเข้าให้เกิดเรื่อง
  • อย่าแกล้งป่วยในวันที่มีเรื่องสนุกรอให้ทำอยู่ แกล้งป่วยวันที่มีอะไรที่ไม่อยากจะทำ
  • ห้ามบอกครูประจำวิชาหรือครูห้องพยาบาลว่าป่วยเอาตอนก่อนสอบเด็ดขาด
โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าโดดเรียนเพราะไม่อยากทำอะไร สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี หายใจเข้าลึกๆ แล้วเตรียมใจให้ดี จำไว้ว่าทุกอย่างจะจบลงก็ต่อเมื่อกระดิ่งเลิกเรียนดัง ลืมๆ มันไปซะ อย่าเก็บมากังวล เผชิญหน้ากับมันให้จบๆ ไปเลย ด้วยการไปโรงเรียนซะ
  • ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม ห้ามกินยาจริงๆ หรือทำให้ตัวเองอ้วกออกมาจริงๆ เด็ดขาด ทุกยาก็อันตราย มีผลข้างเคียงทั้งนั้น แม้กระทั่งยาที่หาซื้อได้ทั่วไปโดยที่หมอไม่ต้องสั่งก็เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ หากคุณไม่ได้ป่วยอยู่จริงๆ คายยาทิ้งซะ.. การบังคับตัวเองให้ขย้อนออกมาก็อันตรายเหมือนกัน โดยเฉพาะต่อกระเพาะ หลอดอาหาร แล้วก็ช่องปาก
  • อย่าแกล้งเป็นโรคเดิมซ้ำหลายๆ ที และอย่าแกล้งป่วยถี่เกิน เพราะไม่นาน พ่อแม่ก็จะจับได้
  • อย่าแกล้งป่วยนานเกินกว่า 3 วัน เพราะอาจถูกพาไปหาหมอจนความแตก
  • พวกอาการจากไวรัสปกติจะอยู่แค่ประมาณ 24 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจะปวดท้องเพราะไวรัส ก็อย่าให้นานกว่านั้นแล้วกัน
  • ถ้าพ่อแม่จะให้กินยาแก้ปวดหรือยาอะไรก็ตาม ห้ามกินเด็ดขาด ถึงจะถูกจับตามองอยู่ก็ตาม บอกว่าถึงไม่กินยาก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวคงหาย เพราะไม่งั้นยาอาจจะทำให้ป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ แต่ถ้าสุดท้ายกินเข้าไปซะแล้ว ก็ให้รีบไปคายทิ้ง แต่ถ้ากลืนเข้าไปแล้ว หรือไม่ยอมบอกใครว่ากินยาเข้าไป ให้จำไว้ว่ายาแก้ปวดท้องหรือเจ็บคอน่ะกินได้ไม่เป็นไร แต่อย่าเกิน 10 เม็ดต่อวัน
  • อย่าอยู่ๆ หายแบบปาฏิหาริย์ เพราะจะน่าสงสัยแบบสุดๆ ไปเลย พยายามให้หายขาดทีละอาการสองอาการจะดีกว่า
  • ถ้าแกล้งป่วยบ่อยเกินระวังพ่อแม่จะเลิกเชื่อใจ แล้วพอเกิดป่วยหนักจนอยากหยุดพักขึ้นมาจริงๆ ก็สายไปแล้ว ถึงจะเคยแกล้งป่วยแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าถูกจับแล้วละก็ หมดกันความน่าเชื่อถือ พ่อแม่จะไม่เชื่ออะไรคุณอีกแล้ว ถึงคราวนี้จะป่วยจริงก็ตาม (นึกถึงนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะเข้าไว้นะ)
  • อย่าหยุดเรียนทีเดียวทั้งอาทิตย์ โลภมากมักลาภหาย หลังจากสนุกจนเกินพอ ระวังจะงานค้างเรียนตามคนอื่นไม่ทัน ทางที่ดีควรหาเรื่องหยุดในวันศุกร์ (จะได้สนุกในวันเสาร์-อาทิตย์ต่อ) หรือวันจันทร์ (เพราะเราเข้าใจว่าวันจันทร์มันเลวร้ายแค่ไหน)
  • อย่าแกล้งทำเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (ประมาณว่าฉี่บ่อยๆ แล้วบอกว่าแสบเวลาฉี่) เพราะนั่นน่ะโรคร้ายแรงเลย รับรองว่าพ่อแม่จะรีบพาไปหาหมอแทบไม่ทัน ถึงจะเปลี่ยนใจบอกว่าดีขึ้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์ คราวนี้ล่ะโดนจ่ายยาปฏิชีวนะแพงหูฉี่ (ถ้าอยู่ในประเทศที่ใครเสียภาษีแล้วได้รักษาฟรีละก็นะ) ได้คลื่นเหียนวิงเวียนจริงๆ แน่ ที่สำคัญ สำหรับสาวๆ ยาปฏิชีวนะยังอาจทำให้เกิดอาการอักเสบในช่องคลอดจากยีสต์อีกต่างหาก
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 133,461 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา