ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ใครผมสีอ่อน เกือบน้ำตาล อันนี้กัดสีง่ายหน่อย แต่ถ้าเป็นผมสีน้ำตาลเข้มหรือดำแบบมาตรฐานชาวไทย กว่าจะกัดสีจนได้บลอนด์สว่าง (platinum blonde) หรือสีขาวแบบนักร้องเกาหลีหรือการ์ตูนญี่ปุ่น ต้องอดทนและลงแรงกันน่าดู ที่ต้องใช้ก็มีส่วนผสมที่ใช้ปรับสีผมและน้ำยากัดสีผม แล้วอดใจรอ เดี๋ยวก็ได้ผมสวย ดูเป็นธรรมชาติ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

วางแผนก่อน เพื่อสีผมสวยสมใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าจะกัดสีผมเปลี่ยนไปขนาดนี้ คงหลีกเลี่ยงผลกระทบที่มีต่อเส้นผมได้ยาก ช่างทำผมบางคนเลยไม่แนะนำให้คุณกัดสีผมซ้ำ ถ้าเพิ่งทำสีหรือกัดสีมาไม่นาน ยังไงลองเช็คกับช่างทำผมดูก่อน เพื่อให้ปลอดภัยต่อสภาพผม [1]
  2. ถ้าอยากกัดสีผมจากเข้มดำไปเป็นบลอนด์ โดยเฉพาะบลอนด์สว่างหรือขาวไปเลย ก็ต้องกัดสีผมซ้ำหลายครั้ง โดยพักรอบละหลายๆ วัน [2] และอย่าคาดหวังว่ากัดสีผมแล้วจะออกมาเป็นผมบลอนด์สวยดูเป็นธรรมชาติในทันที ต้องค่อยเป็นค่อยไป
    • ตอนกัดสีผมครั้งแรก สีที่ได้จะออกมาไม่ค่อยน่าดู เช่น ออกส้ม ทองแดง หรืออื่นๆ ที่ห่างไกลผมบลอนด์ ช่วงนี้ให้หาอะไรซ่อนผมไว้ก่อน เช่น ใส่หมวก ใช้ผ้าคลุม หรืออื่นๆ
  3. ยาย้อมผมหรือกัดสีผมมีหลายชนิดด้วยกัน สำคัญว่าต้องเลือกให้เหมาะกับสีผมของคุณ
    • เลือกใช้ชุดอุปกรณ์กัดสีผม ที่จะมีผงกัดสีและน้ำยา peroxide มาให้ เป็นสูตรที่แรงหน่อย เหมาะกับคนผมสีเข้มดำ
    • peroxide มีด้วยกันหลายความแรง ตั้งแต่เบอร์ 10 - 40 ย้ำว่าเบอร์ 40 ออกจะแรงไปสำหรับการกัดสีผมตามธรรมดา เพราะจะกัดหนังหัวได้ ปกติใช้เฉพาะกัดปลายผมสีเข้ม ไม่สัมผัสกับหนังศีรษะโดยตรง ส่วนถ้าเบอร์ 30 นั้นจะกัดสีผมเร็วกว่าเบอร์ 20 และ 10 [3]
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Laura Martin

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่มีใบอนุญาต
    ลอรา มาร์ตินเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่มีใบอนุญาตในจอร์เจีย เธอเป็นนักออกแบบทรงผมมาตั้งแต่ปี 2007 และเป็นครูสอนศาสตร์ด้านความงามตั้งแต่ปี 2013
    Laura Martin
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่มีใบอนุญาต

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : "เวลากัดสีผมที่เข้มหน่อย แนะนำให้ใช้น้ำยาโกรกเบอร์ 10 - 20 เพราะน้ำยาจะไม่แรงมาก ไม่ต้องกลัวเรื่องกัดสีผมไม่เร็วทันใจ เพราะเมื่อน้ำยาโกรกค่อยๆ กัดสีผม เส้นผมจะไม่แห้งกรอบ สีไม่เหลืองกระด้าง ถนอมผมกว่า ช้าหน่อยแต่ปลอดภัยแน่นอน!"

  4. เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะได้รู้ว่าต้องกัดสีผมทิ้งไว้นานแค่ไหน ถึงจะได้เฉดสีที่ต้องการ ต้องอ่านคำแนะนำการใช้งานที่ติดมาในกล่องให้ละเอียด และทดสอบกัดสีผมแค่ช่อเล็กๆ ก่อน ขั้นตอนโดยทั่วไปก็คือ
    • ตัดผมมาปอยเล็กๆ จากจุดที่ไม่เป็นที่สังเกต อาจจะด้านหลัง แล้วใช้เชือกมัดหรือติดเทปเข้าด้วยกันที่ปลายด้านหนึ่ง
    • ผสมผงกัดสีเล็กน้อยเข้าด้วยกันกับน้ำยา peroxide ตามคำแนะนำในคู่มือ
    • จุ่มปอยผมในน้ำยากัดสีที่ผสมแล้ว เพื่อให้ผมซับน้ำยาจนชุ่ม
    • ตั้งเตือนหรือจับเวลาเอง ว่ากัดสีผมทิ้งไว้นานแค่ไหน
    • ทุก 5 นาที ให้เช็คปอยผม โดยใช้ผ้าเก่าเช็ดน้ำยาออก
    • ลงน้ำยาอีกรอบ แล้วทำซ้ำตามขั้นตอน จนได้ผมบลอนด์เฉดที่ต้องการ เท่านี้คุณก็รู้แล้วว่าต้องกัดสีผมทิ้งไว้นานแค่ไหน [4]
  5. ก่อนจะกัดสีผม ให้นวดน้ำมันมะพร้าวที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนใดๆ (unrefined) ให้ซึมเข้าทั้งเส้นผมและหนังศีรษะ เพื่อปกป้องผมไม่ให้แห้งเสียตอนกัดสี หมักผมทิ้งไว้ 14 ชั่วโมงจะเห็นผลที่สุด [5] และไม่ต้องล้างน้ำมันออกก่อนกัดสีผม
    • แนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดตัวห่อผมหรือถักเปียไว้แล้วใส่หมวกอาบน้ำ เวลานอน หมอนจะได้ไม่เปื้อนน้ำมัน
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

กัดสีผม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้ปลายแปรงย้อมผมแหลมๆ แสกผมกลางหน้าผาก ไปจนถึงต้นคอ ต่อมาแบ่งแต่ละช่อออกครึ่งหนึ่ง จากใบหูถึงกลางกระหม่อม
    • ย้ำว่าให้ใช้กิ๊บติดผมที่ไม่ใช่โลหะ ติดผม 4 ช่อนี้ไว้ กิ๊บจะได้ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีในน้ำยากัดสีผม [6]
  2. ให้ป้องกันตัวเองเบื้องต้นก่อนกัดสีผม โดยสวมถุงมือพลาสติก สวมแว่นกันสารเคมี รวมถึงสวมเสื้อผ้าเก่าๆ อย่าลืมปูผ้าเก่าหรือหนังสือพิมพ์ไว้ที่พื้นด้วย กันกระเด็นเลอะเทอะ
    • ทาปิโตรเลียมเจลลี่ที่หน้าผาก หู และคอ ปิโตรเลียมเจลลี่ไม่ได้ช่วยกันสีเปื้อนเหมือนตอนย้อมผม แต่ช่วยป้องกันอาการระคายเคืองเวลาน้ำยากัดสีไหลมาที่หน้าผาก ดวงตา หรือคอ
  3. ให้ใช้ชามที่ไม่ใช่โลหะ โดยผสมผงกัดสีผมกับน้ำยาโกรกผมในปริมาณเท่ากัน จนเป็นเนื้อครีม
  4. ใช้แปรงย้อมผมทา เริ่มกัดสีผมห่างจากหนังศีรษะประมาณ 1/4 - 1/2 นิ้ว (ประมาณ 1 ซม.)
    • ขั้นแรกให้ลงน้ำยาที่ช่อบางๆ หนึ่งใน 4 ช่อด้านหลัง ต้องลงน้ำยาให้ชุ่ม แล้วค่อยทำช่อถัดไป อย่าลืมติดกิ๊บยกไว้ก่อนกัดสีผมช่ออื่น
    • ให้กัดสีผม 2 ช่อด้านหลังก่อน แล้วค่อยไปกัดผมช่อหน้า
    • ทาน้ำยาตามทิศทางที่ผมงอก เช่น จากรากจรดปลาย
    • ลงมือให้เร็วที่สุด เพื่อกัดสีผมให้สม่ำเสมอกัน ถ้าช้าหรือเร็วกว่ากันมากๆ สีผมจะด่างได้ หรือใช้น้ำยาต่างเบอร์กัน เช่น ใช้เบอร์ 30 ที่กัดสีผมไวกว่า ที่ปอยผมด้านหน้า และใช้น้ำยาเบอร์ 20 ที่ด้านหลัง
    • พอผมชุ่มน้ำยาแล้ว ให้สวมหมวกอาบน้ำหรือหมวกย้อมผม
  5. เช็คสีผมทุก 10 นาที จนได้เฉดสีที่ต้องการ
    • เช็คสีผมโดยใช้ผ้าเก่าเช็ดน้ำยาออกจากผมปอยเล็กๆ ถ้าจะกัดสีต่อ ให้ลงน้ำยาผมช่อนั้นจนชุ่มซะก่อน
    • ถ้าตั้งเตือนสัก 10 นาที สีจะออกมาสม่ำเสมอกว่า
  6. เอาไดร์เป่า เพื่อใช้ความร้อนช่วยเร่งปฏิกิริยา. แต่ยิ่งใช้ความร้อน ผมก็ยิ่งแห้งเสียง่ายกว่าเดิม ไม่แนะนำให้ใช้ เว้นแต่เร่งรีบจริงๆ
    • ถ้ากัดสีผมครั้งแรก ไม่แนะนำให้ใช้ความร้อนช่วย เพราะจะได้รู้ว่าต้องกัดสีผมทิ้งไว้นานแค่ไหน แต่ถ้ากัดสีผมครั้งต่อๆ ไป แล้วอยากจะลองเร่งขั้นตอนให้เร็วขึ้นด้วยความร้อนก็ได้ [7]
  7. รากผมจะเปลี่ยนสีเร็วกว่าเส้นผมส่วนอื่นๆ เพราะความร้อนจากหนังศีรษะ เพราะงั้นน้ำยาจะออกฤทธิ์เร็วมาก เพราะงั้นถ้าจะกัดสีถึงรากผม ให้ทำตอนช่วงท้ายๆ ของขั้นตอน โดยใช้เทคนิคแบ่งช่อผมเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้ลงน้ำยาแค่เฉพาะที่รากผม [8]
  8. พอผมเหลืองซีดตามต้องการแล้ว หรือกัดสีผมทิ้งไว้จนครบตามเวลาที่กำหนดในคู่มือ ก็ล้างน้ำยาจากผม โดยใช้น้ำอุณหภูมิห้องได้เลย
    • สระผมด้วยแชมพูเล็กน้อย โดยเลือกแชมพูสูตรสำหรับผมกัดสีโดยเฉพาะ เช่น แชมพูที่มีโทนเนอร์สีม่วง ทำให้ผมไม่เหลืองสด ไม่แห้งกรอบ [9]
    • ใช้ผ้าเช็ดผมให้แห้งและจัดแต่งทรงตามปกติ ถ้าเป็นไปได้อย่าจัดแต่งทรงผมด้วยความร้อน เพราะทำให้ผมแห้งเสียกว่าเดิม
  9. ต้องรอจนผมแห้งสนิท ถึงจะเห็นว่ากัดสีแล้วผมออกมาเป็นสีอะไรกันแน่ แต่บอกเลยว่าต้องกัดสีผมซ้ำอีกอย่างน้อย 2 - 3 ครั้งภายใน 1 เดือน ผมสีเข้มถึงจะกลายเป็นสีบลอนด์สว่างหรือขาว
  10. พักผมสัก 2 - 3 อาทิตย์ระหว่างการกัดสีแต่ละครั้ง. การกัดสีทำร้ายผมเป็นพิเศษ เพราะงั้นต้องอดใจ อย่าเพิ่งกัดสีผมซ้ำ! ถึงจะยังไม่พอใจสีผมที่ได้ก็ตาม แนะนำให้ใช้โทนเนอร์ทุกครั้งหลังกัดสี (อ่านด้านล่าง) เพื่อปรับสีผม ระหว่างค่อยๆ เปลี่ยนจากเข้มดำเป็นบลอนด์สว่าง [10]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ปรับระดับสี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. นี่ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ สู่ผมสีสวยสม่ำเสมอ การกัดสีผมเป็นการกำจัดเม็ดสีในผม จนสุดท้ายเหลือแต่สีซีดออกเหลือง ซึ่งเป็นสีแท้ๆ ของเคราติน (keratin) ซึ่งก็คือโปรตีนในผม [11] ซึ่งตอนนี้จะยังไม่ใช่สีผมที่ต้องการ ต้องอาศัย "โทนเนอร์" มาช่วยปรับสีผมตามเฉดสีที่เลือก โดยเพิ่มเฉดสีแฝง และให้คุณปรับผมบลอนด์ได้ตามต้องการ [12]
    • ปกติ undertone ของผมสีเข้มดำจะเป็นสีแดงหรือส้ม เพราะงั้นพอกัดสีผม จะได้สีส้มออกมา ถ้าใช้โทนเนอร์สีน้ำเงิน จะไปปรับสีส้ม โทนเนอร์สีม่วง ไปปรับสีเหลือง และโทนเนอร์สีม่วงอมน้ำเงิน จะปรับสีเหลืองอมส้ม พูดง่ายๆ คือต้องใช้โทนเนอร์ที่มีสีคู่ตรงข้ามของ undertone ในวงล้อสี ถึงจะปรับสีผมให้เป็นกลางได้ สงสัยตรงไหนลองดูวงล้อสีได้เลย [13]
    • ถ้าอยากได้ผมสีขาว ให้เลือกโทนเนอร์สำหรับผมขาวโดยเฉพาะ บอกเลยว่าแค่กัดสีผมอย่างเดียว ไม่ทำให้ผมคุณกลายเป็นสีขาว ต้องปรับสีเองทีหลัง [14]
    • ถ้าสงสัยว่าต้องเลือกโทนเนอร์ยังไง ให้ปรึกษาช่างทำผมประจำตัว หรือแวะเข้าร้านทำผมที่ดูมีคุณภาพหน่อย อีกทีคือศึกษาข้อมูลและอ่านรีวิวของชาวเน็ต
  2. ต่อไปนี้เป็นแค่ขั้นตอนพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น ผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อก็จะมีคำแนะนำแตกต่างกันไป
    • ให้ผสมโทนเนอร์ 1 ส่วนกับน้ำยาโกรก (เบอร์ 10 - 20) 2 ส่วน ถ้าผมสีดำเลย แนะนำให้ใช้เบอร์ 40 แต่ระวังว่าเป็นเบอร์ที่แรงสุด อาจจะกัดผิว แสบร้อน หรือระคายเคืองได้ ถ้าสารเคมีกัดแบบนี้ต้องรีบไปหาหมอทันที!
    • ลงโทนเนอร์ให้ทั่วถึง จากรากถึงปลาย โดยใช้เทคนิคแบ่งช่อผมเหมือนตอนกัดสีผมที่ผ่านมา
    • โทนเนอร์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาแค่ 10 นาที เพราะงั้นให้รีบลงโทนเนอร์เร็วที่สุด แล้วจับเวลาให้ดีๆ [15]
    • เช็คสีผมทุก 5 - 10 นาที อย่าลืมทดสอบโทนเนอร์ที่ปอยผมแบบเดียวกับเวลากัดสีผม
    • ระวังอย่าลงโทนเนอร์ปรับสีผมขาวมากไป เพราะจะกลายเป็นสีออกเหลืองหรือสีเทาไปเลย
  3. สระผมด้วยแชมพูและครีมนวด จากนั้นจัดทรงตามปกติ
    • หลังเสร็จสิ้นทุกขั้นตอน ส่วนผสมในการกัดสีผมหรือโทนเนอร์ที่เหลือ ให้ทิ้งไปได้เลย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ห้ามกัดสีผมต่อ ถ้าผมกลายเป็นสีเหลืองซีดแล้ว
  • ถ้าผมสั้น (เช่น ประบ่า หรือสั้นกว่านั้น) ให้ไฮไลท์จัดๆ ดีกว่ากัดสีผม อย่างน้อยก็ไม่เสี่ยงหนังศีรษะแสบร้อนหรือระคายเคือง
  • จะกัดสีผมง่ายกว่า ถ้าผมยังไม่ได้สระ
  • ถ้ามีคนช่วยกัดสีผมด้วยจะดีมาก โดยเฉพาะถ้ากัดสีผมครั้งแรก ข้อดีของการที่มีพี่ น้อง เพื่อนคอยช่วย คือจะกัดสีผมออกมาสม่ำเสมอทั่วทั้งหัว
  • สีผมประกายเงา (color gloss), แชมพูปรับสีผม (toning shampoo) และแชมพูสำหรับผมทำสี (color care shampoo) จะช่วยให้ได้สีบลอนด์สม่ำเสมอ เงางาม [16]
  • ให้ลงครีมนวดเข้มข้นระหว่างการกัดสีแต่ละครั้ง เพื่อคืนน้ำมันและโปรตีนตามธรรมชาติ
  • พยายามสระผมด้วยแชมพูให้น้อยที่สุดช่วงกัดสี เพื่อไม่ให้ผมยิ่งสูญเสียน้ำมันผมตามธรรมชาติ ปกป้องผมให้นุ่มสวย [17]
  • พยายามจัดแต่งทรงผมด้วยความร้อน (ไดร์เป่าผม ที่หนีบผม แกนม้วนผม) ให้น้อยที่สุด เพราะยิ่งไปเพิ่มภาระให้ผมที่กำลังบอบบางยิ่งเสียง่าย
  • ให้บำรุงผมด้วยน้ำมันมะพร้าวหรืออาร์แกนออยล์ทุก 1 - 2 อาทิตย์ เพื่อไม่ให้ผมเสียจากการกัดสี
  • ห้ามใช้ความร้อนโดยตรงเวลากัดสีผม เพราะน้ำยากัดสีแห้งเมื่อไหร่จะหยุดออกฤทธิ์ ให้ใช้ถุงพลาสติก หมวกอาบน้ำ หรือกระดาษฟอยล์สีเงินๆ คลุมผม "ก่อน" แล้วค่อยใช้ไดร์เป่าผมความร้อน "ต่ำสุด" ช่วยเร่งขั้นตอนการกัดสี
  • เริ่มจากลงน้ำยากัดสีที่ปลายผมก่อนแถวราก เพราะความร้อนที่หนังศีรษะจะเร่งกระบวนการของน้ำยาเร็วกว่าผมส่วนที่เหลือ
โฆษณา

คำเตือน

  • ห้ามใช้น้ำยากัดสีผม ไปกัดสีคิ้วหรือขนตาเด็ดขาด
  • น้ำยาโกรกผมเบอร์ 40 ถือว่าแรงมาก ให้ใช้เฉพาะกรณีจำเป็นจริงๆ และห้ามผสมน้ำยาเบอร์ 40 กับโทนเนอร์
  • อ่านและทำตามคำแนะนำในกล่องหรือฉลากอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย
  • ห้ามให้น้ำยากัดสีผมโดนหนังศีรษะโดยตรง
  • ถ้ารู้สึกแสบร้อน ระคายเคืองระหว่างกัดสีผม ให้ล้างผมทันที แล้วไปร้านทำผมดีกว่า
  • ไม่แนะนำให้กัดสีผมให้ขาวในวันเดียว เพราะผมเสียแน่นอน
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • น้ำมันมะพร้าว
  • ถุงมือ
  • หน้ากากกันสารเคมี
  • น้ำยาหรือผงกัดสีผม
  • น้ำยาโกรกผมเบอร์ 30 หรือ 40 แต่ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้เบอร์ 40
  • น้ำยาโกรกผมเบอร์ 10 หรือ 20 สำหรับปรับพื้นผม (toning)
  • base toner สีน้ำเงินหรือม่วง
  • ชามผสมที่ไม่ใช่โลหะ
  • กิ๊บติดผมที่ไม่ใช่โลหะ
  • แปรงย้อมผม
  • หมวกอาบน้ำหรือหมวกย้อมผม
  • ไดร์เป่าผม

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 39,464 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา