ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
ขี้หู หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า cerumen นั้นทำหน้าที่ปกป้องและหล่อลื่นรูหู [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ภาวะขี้หูอุดตัน (Cerumen impaction) ในบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นได้แม้ว่าหูจะมี “การทำความสะอาดตัวเอง” อยู่เป็นปกติก็ตาม อาการของมันก็คือเกิดปวดหู สูญเสียการได้ยินเป็นบางส่วนหรือโดยสิ้นเชิง มีเสียงลั่นในรูหู มีอาการคันหู หูมีกลิ่นหรือมีของเสีย และความรู้สึกว่ามีอะไรแน่นอยู่ในรูหู [2] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล มันมีผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดหลายชนิดที่จะช่วยทำความสะอาดรูหูและเอาขี้หูอุดตันเหล่านั้นออกมา เช่นน้ำยาที่ใช้หยอดหรืออุปกรณ์ที่ใช้การดูดขี้หูกับขี้ฝุ่นออกมา [3] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ US Food and Drug Administration ไปที่แหล่งข้อมูล [4] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล คุณไม่ควรจะเอาขี้หูออกมาโดยการแยงอะไรเข้าไป (อย่างเช่นไม้ปั่นหู) เข้าไปในหู แต่ให้ใช้น้ำยาล้างหูที่ทำเองได้ที่บ้านหยอดลงไปสักไม่กี่หยดจะดีกว่า
ส่วนประกอบ
น้ำยาทำความสะอาดที่ทำจากน้ำมัน
- ขวดยาหยอดหูหรือขวดที่มีฝาเป็นจุกหยอด
- น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันแร่ขาว
- น้ำมันที่ใส่เสริม (เซนต์จอห์นเวิร์ต มูลเลน กระเทียม เป็นต้น) (ไม่จำเป็น)
- สำลีก้อน (ไม่จำเป็น)
- ลูกยางล้างหู (ไม่จำเป็น)
- น้ำอุ่น ½ ถ้วย
- เกลือ 1 ช้อนชา (เกลือสมุทรหรือเกลือใส่อาหาร)
- สำลีก้อนหรือที่หยอดหู
- ลูกยางล้างหู (ไม่จำเป็น)
สารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
- น้ำอุ่นกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ปริมาณเท่าๆ กัน
- สำลีก้อนหรือที่หยอดหู
ขั้นตอน
-
หาขวดเล็กๆ. คุณจะหาขวดยาหยอดหูหรือขวดสีน้ำตาลขนาดเล็ก (1 ออนซ์) ที่มีฝาเป็นแบบจุกหยอดก็ได้
-
เติมน้ำมันชนิดที่เลือกไว้ให้เต็มขวด. ใช้น้ำมันแร่ขาวหรือน้ำมันมะกอกก็ได้ [5] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- น้ำยาทำความสะอาดแบบละลายน้ำมันนั้นมีข้อดีคือช่วยหล่อลื่นรูหู เพราะขี้หูนั้นมีลักษณะเหมือนขี้ผึ้ง อันเป็นน้ำมันแบบกึ่งของแข็งประเภทหนึ่ง น้ำยาทำความสะอาดแบบละลายในน้ำมันจึงสามารถละลายขี้หูได้ดีกว่า [6] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล จำไว้ว่ามีคำกล่าวเก่าแก่ในวงการเคมีได้ไหมที่ว่า “ของเหมือนกันจะละลายของที่เหมือนกัน” คำพูดนี้ใช้ได้กับการละลายขี้หูเหมือนกัน วิธีดีที่สุดในการละลายน้ำมันกับขี้หูก็คือใช้น้ำมันอีกตัว [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เติมน้ำมันชนิดอื่นเสริมเข้าไปในสารละลาย. ถ้าคุณปวดหู เติมน้ำมันมูลเลน (mullein) ห้าหยดและเซนต์จอห์นเวิร์ต (St John’s wort) สามหยดสำหรับน้ำมันมะกอก/น้ำมันแร่ขาวทุกๆ ออนซ์ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง น้ำมันเซนต์จอห์นเวิร์ตมีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวด [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Sardella, A., Lodi, G., Demarosi, F., Tarozzi, M., Canegallo, L., and Carrassi, A. Hypericum perforatum extract in burning mouth syndrome: a randomized placebo-controlled study. J.Oral Pathol.Med. 2008;37(7):395-401. ในขณะที่น้ำมันมูลเลนป้องกันผนังรูหูและมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการอักเสบ (บรรเทาปวด) และต่อต้านไวรัส [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Tadeg, H., Mohammed, E., Asres, K., and Gebre-Mariam, T. Antimicrobial activities of some selected traditional Ethiopian medicinal plants used in the treatment of skin disorders. J Ethnopharmacol 8-22-2005;100(1-2):168-175 ตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางด้านนี้ก่อนใช้เซนต์จอห์นเวิร์ตเพราะมันสามารถทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาโรคอยู่หลายตัว [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Markowitz JS, Donovan JL, DeVane CL, et al. Effect of St. John's wort on drug metabolism by induction of cytochrome P450 3A4 enzyme. JAMA 2003;290:1500-4
- น้ำมันกระเทียมสามารถใช้ในน้ำยาที่ละลายในน้ำมันโดยใช้เป็นสารต้านจุลินทรีย์ ถ้าคุณต้องการจะเติมน้ำมันกระเทียมเข้าไปในน้ำมันมะกอก/น้ำมันแร่ขาว ให้ลดน้ำมันมูลเลนลงเหลือสามหยดและลดเซนต์จอห์นเวิร์ตเหลือสองหยด แล้วเติมน้ำมันกระเทียมลงไปสามหยด [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Ross, Z. M., O'Gara, E. A., Hill, D. J., Sleightholme, H. V., and Maslin, D. J. Antimicrobial properties of garlic oil against human enteric bacteria: evaluation of methodologies and comparisons with garlic oil sulfides and garlic powder. Appl.Environ.Microbiol. 2001;67(1):475-480.
-
อุ่นน้ำมันในมือ. คุณต้องการให้น้ำมันมีอุณหภูมิประมาณเดียวกับอุณหภูมิร่างกายเพื่อป้องกันอาการวิงเวียน
- คุณยังสามารถอุ่นน้ำมันโดยวางขวดในน้ำร้อนจัดเป็นเวลาห้านาที
- ลองทดสอบบนข้อมือเพื่อความแน่ใจว่ามันไม่ร้อนเกินไป
- อย่าใช้ไมโครเวฟในการอุ่นน้ำมัน การจะอุ่นให้น้ำมันมีอุณหภูมิที่ถูกต้องได้สม่ำเสมอทั่วๆ กันโดยใช้ไมโครเวฟนั้นเป็นเรื่องยาก [13] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Consumer Reports ไปที่แหล่งข้อมูล
-
นำสำลีก้อนเล็กๆ มาชุ่มน้ำมันที่อุ่นมาแล้วนี้ให้ชุ่มโชก. วางก้อนสำลีไว้ในหู
- อีกวิธีคือเอียงศีรษะแล้วใช้ที่หยอดหูหยอดน้ำมันที่อุ่นแล้วลงในหูหนึ่งถึงสองหยด
- เมื่อน้ำมันไหลเข้าไปตามรูหู มันอาจทำให้คุณรู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย นี่เป็นเรื่องปกติและจะหายไปอย่างเร็ว มันอาจหมายความว่าคุณจำเป็นต้องทำให้น้ำมันอุ่นขึ้นกว่านี้
-
เอียงศีรษะค้างไว้ประมาณสามถึงห้านาที. เพื่อความมั่นใจว่าน้ำยาไม่ได้ไหลออกมากเกินไป ให้แน่ใจว่าคุณมีทิชชู่อยู่ใกล้มือเพื่อเช็ดของเหลวที่ไหลออกมา โดยเฉพาะถ้าคุณใช้วิธีหยด จากนั้นให้เอาก้อนสำลีออกถ้าใช้มัน
- คุณจะลองนอนตะแคงข้างก็ได้ โดยให้ด้านที่ไม่เป็นอะไรแนบหมอน มันจะช่วยให้น้ำยาไหลลงหูส่วนที่มีอาการโดยไม่ต้องเมื่อยคอจากการเอียงค้างไว้ไม่ว่าจะในท่านั่งหรือยืน
-
ทำกระบวนการนี้ซ้ำวันละสามถึงห้าครั้ง. มันจะช่วยทำให้ขี้หูหลุดออกมาเอง
- คุณยังสามารถต่อ “การแช่หู” นี้ด้วยการล้างโดยใช้ลูกยางล้างหู เติมน้ำอุ่นปกติลงในกระเปาะ หลังจากแช่นานสามถึงห้านาที (ตามที่ได้อธิบายไปข้างต้น) ให้เอียงศีรษะอีกครั้งแล้วค่อยๆ วางปลายลูกยางใกล้กับปากรูหู แต่อย่าวางมันเข้าไปในรูหู ค่อยๆ บีบน้ำออกมารอบๆ ปากรูหู ล้างซ้ำสองถึงสามครั้ง ส่วนใหญ่แล้วการทำแบบนี้ (แช่น้ำมันตามด้วยล้างน้ำ) สักสองถึงสามครั้งก็เพียงพอที่จะเอาขี้หูส่วนใหญ่ออกมา [14] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- หลีกเลี่ยงการสวนหูถ้าคุณเป็นโรคเบาหวาน แก้วหูทะลุ หูอื้อ หรือมีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ในกรณีเหล่านี้การสวนหูควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
อุ่นน้ำ ½ ถ้วย. น้ำควรอุ่นแต่ไม่ถึงกับร้อน คุณควรต้มน้ำในกาแล้วเทใส่ถ้วยตามปริมาณที่ต้องการก่อนจะทิ้งไว้ให้อุณหภูมิมันลดลง [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง อีกทางหนึ่งคือเปิดก๊อกไว้จนน้ำมันอุ่นขึ้น (ไม่ใช่น้ำเปล่าปกติ)
-
เติมเกลือ 1 ช้อนชาลงไปในน้ำ. เกลือสมุทรใช้ได้ดีที่สุดแต่เกลือทำอาหารก็ใช้ได้เหมือนกัน [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ส่วนผสมระหว่างน้ำอุ่นกับเกลือนั้นทำให้เรียกกันว่าน้ำเกลือหรือ Saline "Saline" หมายถึงมีเกลือเป็นส่วนประกอบหรือถูกแช่ด้วยเกลือ
-
จุ่มก้อนสำลีลงในน้ำเกลือ. วางสำลีในหูประมาณสามถึงห้านาที
- คุณสามารถใช้น้ำเกลือโดยไม่ต้องใช้สำลีก็ได้ เอียงศีรษะแล้วใช้ที่หยอดหูหยดน้ำเกลือที่อุ่นแล้วหนึ่งหรือสองหยดลงในหู
-
เอียงศีรษะค้างไว้ประมาณสามถึงห้านาที. เพื่อความมั่นใจว่าน้ำยาไม่ได้ไหลออกมากเกินไป ให้แน่ใจว่าคุณมีทิชชู่อยู่ใกล้มือเพื่อเช็ดของเหลวที่ไหลออกมา โดยเฉพาะถ้าคุณใช้วิธีหยด จากนั้นให้เอาก้อนสำลีออกถ้าใช้มัน
-
ทำกระบวนการนี้ซ้ำวันละสามถึงห้าครั้ง. มันจะช่วยทำให้ขี้หูหลุดออกมาเอง
- สารละลายน้ำเกลือสามารถใช้ละลายขี้หูได้เหมือนน้ำมัน อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องทำซ้ำครั้งบ่อยกว่าเวลาใช้น้ำมัน เพราะน้ำเกลืออุ่นนั้นไม่ละลายขี้หูได้ดีเท่าน้ำมัน
- คุณยังสามารถต่อ “การแช่หู” นี้ด้วยการล้างโดยใช้ลูกยางล้างหู เติมน้ำเกลือลงในกระเปาะ หลังจากแช่นานสามถึงห้านาที (ตามที่ได้อธิบายไปข้างต้น) ให้เอียงศีรษะอีกครั้งแล้วค่อยๆ วางปลายลูกยางใกล้กับปากรูหู แต่อย่าวางมันเข้าไปในรูหู ค่อยๆ บีบน้ำเกลือออกมารอบๆ ปากรูหู ล้างซ้ำสองถึงสามครั้ง ส่วนใหญ่แล้วการทำแบบนี้ (แช่น้ำเกลือตามด้วยล้างน้ำ) สักสองถึงสามครั้งก็เพียงพอที่จะเอาขี้หูส่วนใหญ่ออกมา [18] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
โฆษณา
-
ซื้อไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3%. คุณสามารถหามันได้ตามร้านขายยาทั่วไป
-
ผสมน้ำอุ่นกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน. ลองหยดน้ำยาสักไม่กี่หยดตรงข้อมือเพื่อดูให้แน่ใจว่ามีอุณหภูมิถูกต้อง [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ทำตามวิธีการเดิมที่บอกไปสำหรับการใช้น้ำมันและน้ำเกลือ. ใช้สำลีก้อนหรือที่หยอดหูในการหยดน้ำยาเข้าไปในรูหู เอียงศีรษะรอค้างไว้สักหลายนาทีโฆษณา
คำเตือน
- ถ้าหากทำความสะอาดรูหูเองที่บ้านผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน อาการขี้หูอุดตันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ให้ไปหาหมอ หมอสามารถตรวจวินิจฉัยได้ว่าขี้หูที่สั่งสมนี้เป็นต้นเหตุของอาการที่เกิดหรือไม่และสามารถเอาขี้หูเหล่านี้ออกมาอย่างได้ผลดีกว่า
- หลีกเลี่ยงการใช้เทียนลนหูเพื่อทำความสะอาดรูหู เทียนหูทำให้เกิดการบาดเจ็บมาหลายกรณีแล้ว ทั้งเป็นรอยไหม้ ทำแก้วหูทะลุ และมีน้ำตาเทียนไหลลงรูหู นอกจากนี้ยังไม่เคยมีการศึกษาใดที่บ่งชี้ว่าวิธีนี้มันได้ผล องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ยังชี้ด้วยว่าการใช้เทียนทำให้หูคุณมีความเสี่ยงจะได้รับบาดเจ็บสูงขึ้นกว่าวิธีการอื่น [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [21] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ US Food and Drug Administration ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้าคุณสังเกตเห็นมีของเหลวไหลออกมาจากหู ให้ไปหาหมอทันที อย่าพยายามทำความสะอาดเอง
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.entnet.org/content/earwax-and-care
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/earwax-blockage/basics/symptoms/con-20018904
- ↑ http://www.fda.gov/Safety/MedWatch/SafetyInformation/SafetyAlertsforHumanMedicalProducts/ucm201108.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/earwax-blockage/basics/treatment/con-20018904
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0072538/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0072538/
- ↑ http://www.kentchemistry.com/links/bonding/LikeDissolveslike.htm
- ↑ http://www.uofmhealth.org/health-library/hn-2168009
- ↑ Sardella, A., Lodi, G., Demarosi, F., Tarozzi, M., Canegallo, L., and Carrassi, A. Hypericum perforatum extract in burning mouth syndrome: a randomized placebo-controlled study. J.Oral Pathol.Med. 2008;37(7):395-401.
- ↑ Tadeg, H., Mohammed, E., Asres, K., and Gebre-Mariam, T. Antimicrobial activities of some selected traditional Ethiopian medicinal plants used in the treatment of skin disorders. J Ethnopharmacol 8-22-2005;100(1-2):168-175
- ↑ Markowitz JS, Donovan JL, DeVane CL, et al. Effect of St. John's wort on drug metabolism by induction of cytochrome P450 3A4 enzyme. JAMA 2003;290:1500-4
- ↑ Ross, Z. M., O'Gara, E. A., Hill, D. J., Sleightholme, H. V., and Maslin, D. J. Antimicrobial properties of garlic oil against human enteric bacteria: evaluation of methodologies and comparisons with garlic oil sulfides and garlic powder. Appl.Environ.Microbiol. 2001;67(1):475-480.
- ↑ http://www.consumerreports.org/cro/news/2011/12/microwaves-that-heat-unevenly-can-pose-food-safety-problems/index.htm
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0072538/
- ↑ http://www.entnet.org/?q=node/1254
- ↑ http://www.homeremedyshop.com/6-home-remedies-for-safe-ear-wax-removal/
- ↑ http://www.homeremedyshop.com/6-home-remedies-for-safe-ear-wax-removal/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0072538/
- ↑ http://www.homeremedyshop.com/6-home-remedies-for-safe-ear-wax-removal/
- ↑ http://www.audiology.org/news/ear-candles-and-candling-ineffective-and-dangerous
- ↑ http://www.fda.gov/Safety/MedWatch/SafetyInformation/SafetyAlertsforHumanMedicalProducts/ucm201108.htm
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 15,917 ครั้ง
โฆษณา
