ถ้าอยากเปลี่ยนสีผมให้สวยปัง คนเหลียวหลังมอง ต้องลองสีขาว เวลากัดสีผมเตรียมย้อม อาจมีปัญหาผมแห้งได้ แต่ถ้าทำถูกวิธี ผมจะไม่เสียระยะยาวแน่นอน บทความวิกิฮาวนี้จะมาแนะนำวิธีการกัดสีผมแล้วใช้ toner ให้ผมออกมาขาวสวยในโทนสีที่คุณต้องการ
ขั้นตอน
-
ตรวจสุขภาพผมก่อนกัดสี. ถ้าอยากกัดสีผม ผมต้องแข็งแรงสุขภาพดีมากๆ เพราะงั้นอย่างน้อย 1 อาทิตย์ (หลายอาทิตย์ได้ยิ่งดี) ก่อนกัดสีผม ต้องห้ามใช้หรือทำอะไรที่ทำร้ายเส้นผม โดยเฉพาะการใช้ความร้อนและสารเคมี
- ถ้ารู้สึกว่าผมแห้งเสีย ก็ต้องบำรุงให้กลับมาสุขภาพดีแล้วค่อยกัดสี โดยใช้ทรีตเม้นท์หรือครีมนวดสูตรเข้มข้น งดใช้ไดร์เป่าหลังสระผม รวมถึงอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมต่างๆ
-
อย่าใช้สารเคมีกับเส้นผม. จะกัดสีผมได้ผลดี ถ้าสุขภาพผมแข็งแรงแต่แรก ไม่ได้ย้อมผม ดัดผม ยืดผม หรืออื่นๆ ที่ต้องใช้สารเคมี [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ปกติช่างมืออาชีพจะแนะนำให้รออย่างน้อย 2 อาทิตย์หลังใช้สารเคมีกับผม แต่จะช้าหรือเร็วกว่านั้นก็แล้วแต่สภาพผมของคุณ ทั้งสัมผัสและดูด้วยตา [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าย้อมผมแล้วดูโอเค จับก็นิ่ม แข็งแรงดี ก็รอสัก 2 อาทิตย์ จากนั้นก็กัดสีผมได้เลย
-
หมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าวอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนกัดสีผม. ให้ถูมือวอร์มน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ แล้วเอาไปขยี้ผมและหนังศีรษะ เวลากัดสีผมก็ไม่ต้องล้างออก
- ถ้าเป็นไปได้ ให้หมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าวไว้ข้ามคืน แล้วค่อยกัดสี
- บางคนก็ว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยให้กัดสีเห็นผลยิ่งขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานรับรอง
- น้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยโมเลกุลที่เล็กมากจนแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้ เลยเหมาะจะใช้บำรุงผม [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง นอกจากใช้แทนมอยส์เจอไรเซอร์แล้ว น้ำมันมะพร้าวยังมีอีกหลายสรรพคุณ เช่น ทำให้ผมนุ่มเงางาม ช่วยขจัดรังแค และกระตุ้นการงอกของเส้นผมด้วย
-
ใช้แชมพูกับครีมนวดสูตรอ่อนโยนที่มีมอยส์เจอไรเซอร์. เลือกที่ช่วยบำรุงเส้นผมแต่ไม่ทำผมมันเหนียว หรือสูญเสียน้ำมันผมตามธรรมชาติไป ทางที่ดีให้เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผม "ธรรมดา" เพราะชำระล้างแบบไม่กำจัดน้ำมันตามธรรมชาติ ถ้าติดเรื่องงบ เดี๋ยวนี้ตามร้านที่ขายยาและเครื่องสำอางก็มีแชมพูแบรนด์ดังๆ ดีๆ มาลดราคากันอยู่ตลอด
- มองหาผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่าค่า pH ต่ำ มีน้ำมัน (อาร์แกน อะโวคาโด หรือมะกอก), glycerin, glyceryl stearate, propylene glycol, sodium lactate, sodium PCA และแอลกอฮอล์ที่ขึ้นต้นด้วย “c” หรือ “s” [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อย่าเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใส่น้ำหอมเยอะๆ หรือใช้แอลกอฮอล์ที่ชื่อมีคำว่า “prop” เขียนว่ามี sulfates และผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ผม [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [6] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ American Academy of Dermatology ไปที่แหล่งข้อมูล
-
เลือกผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมให้ดีๆ. ว่าเป็นประเภทไหน เช่น ถ้าเน้นยกโคนผม ให้ผมหนามีวอลลุ่ม ก็มักทำผมแห้งเสีย [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ต้องเลือกแชมพูกับยานวดที่บำรุงหรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผมเท่านั้น
-
อย่าแต่งทรงโดยใช้ความร้อน. อย่าใช้ไดร์เป่าผม ที่หนีบผม หรือแกนม้วนผม เพราะจะทำให้ต่อมรากผมเสียหายหรืออ่อนแอ พอสระผมแล้วอย่าเช็ดผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูบีบน้ำออกจากผมเบาๆ
- ถ้าจำเป็นต้องเช็ดผมจริงๆ ให้เลือกผ้าไมโครไฟเบอร์ เพราะไม่ทำร้ายผม แถมผมไม่ชี้ฟูด้วย
- ถ้าจำเป็นต้องจัดแต่งทรงผมจริงๆ ก็อย่าใช้ความร้อนในการหนีบหรือม้วนผม ลอง search ว่า “จัดทรง ไม่ใช้ความร้อน” ดู รับรองมีให้เลือกหลายวิธี
โฆษณา
-
ไปตามเคาน์เตอร์แบรนด์หรือร้านที่เน้นขายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม. บางทียาย้อมผมตามร้านแบบขายทั้งยาและเครื่องสำอางที่มีสาขาทั่วไปอาจจะถูกกว่า แต่ก็คุณภาพไม่ดีเท่าที่ขายตามร้านทำผมโดยเฉพาะหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ เพราะจะได้อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ดีมีคุณภาพ เหมือนที่ช่างมืออาชีพใช้
- อีกทีคือสอบถามช่างทำผมประจำตัวนั่นแหละ เพราะช่างจะแนะนำได้ แถมร้านทำผมส่วนใหญ่มีผลิตภัณฑ์แบบที่ใช้ในร้านขายอยู่แล้ว บางอย่างก็หาซื้อเองไม่ได้ด้วย
-
ซื้อผงกัดสีผม. bleach powder หรือผงกัดสีผม มีทั้งแบบซองและกระปุก ถ้าตั้งใจจะกัดสีผมอีก ไม่ได้ใช้แค่ครั้งเดียว ก็ซื้อแบบกระปุกไปเลย ถูกกว่าในระยะยาว
-
ซื้อครีม developer. cream developer เอาไว้ใช้ผสมให้ทำปฏิกิริยากับผงกัดสีผม มีหลาย volume ให้เลือก ตั้งแต่ 10 ถึง 40 ยิ่งเลข volume สูง ก็แปลว่ากัดสีผมคุณกลายเป็นสีขาวทองเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ก็คือแรงกว่าพวกที่ volume ต่ำๆ มีโอกาสทำผมเสียมากกว่า
- ช่างทำผมส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้ volume 10 - 20 ถึงจะรอนานหน่อยกว่าผมจะสีอ่อนลง แต่ก็ไม่เสี่ยงผมเสียเท่า volume สูงๆ
- ถ้าคุณผมเส้นเล็ก เปราะง่าย ให้ใช้ครีม developer แบบ volume 10 แต่ถ้าใครผมดำขลับเส้นใหญ่ๆ แข็งๆ คงต้องใช้ volume 30 - 40 แทน [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ครีม developer volume 20 จะกลางๆ ปลอดภัยและเห็นผลสุด อ่อนโยนต่อเส้นผม เพราะงั้นถ้าไม่แน่ใจ ก็เลือกเบอร์นี้แหละ! [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ซื้อ toner. toner เอาไว้เปลี่ยนผมที่กัดแล้วกลายเป็นสีเหลือง ให้กลายเป็นสีขาว toner มีหลายเฉดสีด้วยกัน เช่น ฟ้า เงิน และม่วง
- เวลาเลือก toner ต้องคำนึงถึงสีผิวกับสีผมเป็นหลัก ถ้าผมออกมาเหลืองทองเกินไป ให้ใช้ toner สีตรงกันข้ามในวงล้อสี เช่น สีเทาออกฟ้าหรือม่วง (สีฟ้าหรือม่วงหม่นๆ) [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- บาง toner ต้องผสมกับ developer ก่อน แล้วค่อยเอามาใช้กับผม แต่บางตัวก็ผสมมาแล้วพร้อมใช้ ซึ่งใช้ดีทั้ง 2 แบบ
-
ซื้อ red gold corrector (ไม่จำเป็น). ปกติ red gold corrector มักมาเป็นซองเล็กๆ ใช้ผสมกับน้ำยากัดสีผมเพื่อกำจัดโทนสีแดงหรือทองสนิม ไม่ได้จำเป็นต่อการฟอกสีผมให้ขาว แต่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน
- จริงๆ คุณต้องใช้ red gold corrector ไหม ขึ้นอยู่กับเส้นผมของคุณด้วย อย่างถ้าใครผมเข้มผมดำ หรือออกแดง ส้ม หรือชมพู ก็ควรใช้ red gold corrector ให้ยิ่งผมขาวชัดเจนกว่าเดิม
- ถ้ายังไม่ได้ผมสีทองหม่นๆ เตรียมโทนเป็นสีขาว ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน โดยใช้ red gold corrector ด้วย ราคาก็ไม่แพงเลย มีตั้งแต่ไม่ถึงร้อยขึ้นไป
-
เตรียมผงกัดสีผมให้พอ. ถ้าผมยาว ก็ต้องใช้ทั้งผงกัดสีผม developer และ red gold corrector 2 ซองขึ้นไป
- ถ้าไม่แน่ใจว่าต้องใช้เยอะแค่ไหน ก็ซื้อเกินดีกว่าซื้อขาด เพราะเก็บซองที่ยังไม่แกะไว้ใช้วันหลังได้ เช่น ตอนย้อมโคนผม
-
ซื้อแชมพูกับครีมนวดสำหรับ toning. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผมที่กัดสีให้ขาว/เหลืองโดยเฉพาะ แชมพูกับครีมนวดพวกนี้จะสีออกม่วงเข้มหรือฟ้า/น้ำเงินอมม่วง
- แชมพูสีม่วงเอาไว้ใช้กำจัดโทนสีเหลือง/ทองเหลืองที่ไม่ต้องการไปจากเส้นผม
- ถ้างบจำกัด อย่างน้อยก็ต้องซื้อแชมพู ซึ่งก็ใช้กำจัดสีทองเหลืองได้ดีมีประสิทธิภาพกว่าครีมนวดอยู่แล้ว
-
ซื้ออุปกรณ์ย้อมผม. นอกจากส่วนผสมสำหรับกัดสีผมแล้ว ที่ต้องใช้คือแปรงย้อมผม ชามพลาสติกสำหรับผสม ช้อนพลาสติก ถุงมือ กิ๊บพลาสติก ผ้าเช็ดหัว/ผ้าเช็ดตัว และแรปพลาสติกใส หรือหมวกอาบน้ำ
- ห้ามใช้อะไรที่เป็นโลหะ เพราะส่งผลเสียต่อการกัดสีผม
- ใช้ผ้าขนหนูเก่าก็ได้ เอาแบบที่เลอะได้ไม่เป็นไร
โฆษณา
-
ทดสอบอาการแพ้เบื้องต้น. ก่อนจะกัดสีผม ต้องทดสอบ 2 แบบ คือ patch test กับ strand test โดย patch test ใช้ทดสอบให้แน่ใจว่าคุณจะไม่แพ้ส่วนผสมของสารกัดสีผม ส่วน strand test เพื่อให้รู้ว่ากัดสีแล้วต้องทิ้งไว้นานแค่ไหน
- เวลาจะทำ patch test ให้ผสมส่วนผสมที่จะใช้กัดสีผมจริงมานิดหน่อย แล้วเอาไปแต้มหลังใบหู ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นเช็ดส่วนเกินออก แล้วอย่าไปแตะต้องหรือทำให้เปียก อย่างน้อย 48 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าผ่านไปด้วยดี ไม่มีอาการแพ้ ก็ลงมือกัดสีผมได้เลย
- ส่วนเวลาทำ strand test ให้ผสมส่วนผสมที่จะใช้กัดสีผมจริงมานิดหน่อย แล้วลงที่ปอยผมเล็กๆ จากนั้นเช็คสีทุก 5 - 10 นาที จนได้โทนที่ต้องการ อย่าลืมจำไว้ด้วย ว่าใช้เวลานานแค่ไหนถึงได้สีที่ต้องการ จะได้กะถูกเวลากัดสีทั้งหัว
- อีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงตอนทำ strand test ก็คือผมแห้งเสียไหม หลังสระและลงครีมนวดแล้ว ถ้าผมแห้งเสียเป็นพิเศษ ให้เปลี่ยนไปใช้ developer ที่ volume ต่ำๆ หรือค่อยๆ กัดสีผมไป (เช่น ทยอยกัดสีไปหลายๆ อาทิตย์ แทนการกัดสีทีเดียว) [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าจะเลือกการทดสอบเดียว ให้ทำ patch test เพราะถ้าแพ้หนักอาจถึงตายได้
-
เตรียมตัว. ใส่เสื้อผ้าเก่าหน่อย หรือชุดที่เปื้อนได้ไม่เป็นไร จากนั้นเอาผ้าขนหนูคลุมไหล่ อย่าลืมเตรียมผ้าไว้สักตั้งด้วย เผื่อน้ำยากัดสีเลอะเทอะ สุดท้ายคือต้องสวมถุงมือ
- ถุงมือถือว่าสำคัญมากเวลาจะกัดสีผม เพราะไม่งั้นสารเคมีจะกัดผิวได้
-
เทผงกัดสีผมลงในชามผสม. ให้ใช้ช้อนพลาสติกเท่านั้น ตักหรือเทผงกัดสีผมเท่าที่ต้องการลงในชามผสม ปกติที่ฉลากจะบอกวิธีใช้และสัดส่วนที่แนะนำอยู่แล้ว ก็อ่านแล้วทำไปตามนั้น
- ถ้าไม่มีสัดส่วนแนะนำไว้ ให้ผสมผงกัดสีกับ developer ในสัดส่วน 1:1 โดยตักผงกัดสี 1 scoop และ developer อีก 1 scoop จากนั้นผสมให้เข้ากัน
-
ผสม developing cream ลงในผงกัดสี. ใส่ developer ในปริมาณที่ถูกต้อง แล้วคนผสมด้วยช้อนพลาสติก ให้ออกมาข้นเหนียว ครีมมี่
- ถ้าฉลากไม่ได้แนะนำสัดส่วนอื่น ต้องผสม developer กับผงกัดสีผมในสัดส่วน 1:1 เสมอ คือผงกัดสีผมกับ developer อย่างละ 1 ช้อน [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
เติม red gold corrector ลงในส่วนผสม. พอผงกัดสีผมกับ developer เข้ากันดีแล้ว ให้เติม red gold corrector ลงไป ตามวิธีการข้างฉลาก
-
ลงส่วนผสมบนผมที่ยังไม่ได้สระ. ใช้แปรงย้อมผมทาส่วนผสมที่ผมจากปลายผมไปหาโคน โดยเว้นระยะห่างจากโคนผมไว้ประมาณ 1 นิ้ว (2.5 ซม.) โคนผมจะสีอ่อนจางเร็วกว่าส่วนอื่น เพราะอยู่ใกล้หนังหัวอุ่นๆ ที่สุด เพราะแบบนี้ถึงต้องค่อยย้อนกลับมากัดสีโคนผมสุดท้าย
- ถ้าผมไม่ได้สั้นมาก ก็ต้องเอากิ๊บติดผมส่วนที่ยังไม่กัดสีไว้ก่อน
- ให้กัดสีผมจากด้านหลังมาด้านหน้า
- รอ 24 ชั่วโมงขึ้นไป แล้วค่อยสระผมที่กัดสีเสร็จ เพราะยิ่งผมเหนียวมันแค่ไหน ก็ยิ่งดี เพราะน้ำมันผมตามธรรมชาติจะช่วยลดผมแห้งเสียและอาการระคายเคืองหนังศีรษะหลังกัดสี
-
เช็คว่ากัดสีผมทั่วถึงแล้ว. พอลงส่วนผสมที่ผมและที่โคนผมเรียบร้อยแล้ว ให้เช็คว่าผมชุ่ม ส่วนผสมซึมซาบดีหรือยัง
- วิธีเช็คง่ายๆ คือลองขยี้ผมหาส่วนที่รู้สึกว่าแห้งกว่าจุดอื่น เจอแล้วให้ลงส่วนผสมและขยี้เพิ่ม
- อย่าลืมเอากระจกส่องหลังหัวดูด้วย
-
เอาแรปพลาสติกใสห่อผม. หรือจะใช้หมวกอาบน้ำแทนก็ได้
- ระหว่างกัดสีผมแล้วรอ หนังหัวอาจจะคันหรือแสบบ้าง ซึ่งถือว่าปกติ
- ถ้าแสบคันจนผิดปกติหรือทนไม่ไหว ให้แกะห่อพลาสติกออก แล้วสระล้างน้ำยากัดสีผมออก ถึงผมจะยังไม่ขาวได้ที่ ก็เอาไว้กัดสีใหม่วันหลัง ด้วย developer ที่ volume ต่ำกว่านี้ ในอีก 2 อาทิตย์จะดีกว่า แต่ต้องเช็คว่าผมและหนังศีรษะแข็งแรงดีแล้วด้วย
- อดใจอย่าเพิ่งใช้ความร้อนจัดแต่งทรง เพราะจะทำให้ผมร่วงเยอะ
-
หมั่นเช็คสีผมเป็นระยะ. พอผ่านไป 15 นาทีให้เช็คปอยผมว่ากัดสีออกมาเป็นยังไงบ้าง โดยใช้สเปรย์ฉีดน้ำใส่ผมปอยเล็กๆ แล้วเอาผ้าเช็ดส่วนผสมออก ให้เห็นสีผมชัดเจน
- ถ้าสีผมยังเข้มอยู่ ให้ลงน้ำยาเพิ่ม ห่อผม แล้วทิ้งไว้อีก 10 นาที
- คอยเช็คสีผมเรื่อยๆ ทุก 10 นาที จนผมกลายเป็นสีขาวเหลือง
-
อย่ากัดสีผมนานเกิน 50 นาที. เพราะอาจทำให้ผมขาดและ/หรือร่วงได้ ยากัดสีผมแรงมาก ทำผมละลายได้เลย เพราะงั้นต้องใช้อย่างระวัง
-
ล้างน้ำยา. แกะพลาสติกออก แล้วเปิดน้ำเย็นราดหัวจนไม่เหลือยากัดสีผมตกค้าง จากนั้นสระผม ลงครีมนวด ล้างออกตามปกติ แล้วใช้ผ้าขนหนูสะอาดบีบน้ำส่วนเกินออก
- ตอนนี้จะได้ผมสีบลอนด์ คือขาวออกเหลือง แต่ถ้าออกมาเหลืองสด ก็ต้อง toning ต่อไป
- ถ้าได้ผมสีส้มหรือยังเข้มอยู่ อาจจะต้องกัดสีซ้ำก่อน toning แต่เพื่อสุขภาพผมอันดี ให้รอประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าโคนผมสว่างก็จุดอื่น ก็ไม่ต้องกัดสีให้ถึงโคน แค่กัดสีเฉพาะปลายผมและจุดที่ยังสีเข้ม
- กว่าจะกัดสีผมเสร็จ บางคนก็ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ ถ้าผมค่อนข้างหนาและแข็ง อาจจะต้องทำซ้ำถึง 5 ครั้งเลย [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
เตรียมตัว toning. พอกัดสีแล้ว ก็ถึงเวลามา tone หรือปรับสีผมให้ออกมาเป็นสีขาวโทนที่คุณต้องการ ซึ่งก็เหมือนขั้นตอนการกัดสีผม คือควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว เปื้อนได้ และถุงมือ เตรียมผ้าขนหนูไว้สักตั้ง เผื่อเลอะเทอะ และผมต้องแห้งตอนเริ่ม toning
- คุณจะ tone สีผมทันทีหลังกัดสีก็ได้ (แต่ต้องล้างยากัดสีผมให้สะอาดก่อนนะ!) ที่สำคัญคือต้องคอย tone สีผมทุก 1 - 2 อาทิตย์ให้ยังเป็นสีขาวอยู่
-
ผสม toner. ถ้า toner เป็นแบบผสมมาแล้วพร้อมใช้ ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย ให้ผสม toner กับ developer ในชามพลาสติกสะอาดๆ ตามคำแนะนำที่ฉลาก
- สัดส่วนปกติของ toner กับ developer คือ 1:2
-
ลง toner บนผมที่เปียกชื้น. ใช้แปรงย้อมผมทา toner ให้ทั่ว วิธีเดียวกับที่ลงน้ำยากัดสีผมนั่นแหละ (คือจากปลายผมมาโคนผม จากหลังไปหน้า)
-
เช็คว่าลง toner ทั่วถึงแล้ว. เอามือสางผม ให้แน่ใจว่า toner ซึมเข้าไปทั่วถึง
- ใช้กระจกช่วยส่องหลังหัว ว่า toner ทั่วถึงแล้ว
-
ใช้แรปพลาสติกห่อผม หรือใส่หมวกอาบน้ำก็ได้. ทิ้งไว้ให้ toner ซึมซาบ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้บนฉลาก ซึ่งก็แล้วแต่ความแรงของ toner และสีที่ต้องการ บางทีแค่ 10 นาทีก็ขาวสวยสมใจแล้ว
-
เช็คสีผมทุก 10 นาที. แล้วแต่ชนิด toner ที่ใช้ และผลของการกัดสีผม ว่าออกมาเข้มหรืออ่อนแค่ไหน toner อาจเห็นผลช้าหรือเร็วกว่าที่คาด
- หมั่นเช็คสีผมทุก 10 นาที ผมจะได้ไม่ออกมาฟ้าเชียว โดยลองใช้ผ้าขนหนูเช็ด toner จากผมปอยเล็กๆ ดู จะได้พอเห็นภาพว่าสีผมของทั้งหัวจะออกมาเป็นยังไง ถ้ายังไม่ได้สีที่ต้องการ ให้ลง toner ซ้ำที่ผมปอยนั้น แล้วเอากลับเข้าพลาสติกหรือหมวกอาบน้ำ
-
ล้าง toner ออก. เปิดน้ำเย็นราดหัว จนไม่เหลือคราบ toner จากนั้นสระผมและใส่ครีมนวดตามปกติ สุดท้ายอย่าเช็ด ให้ใช้ผ้าสะอาดบีบน้ำให้ผมแห้ง
-
สำรวจสภาพผม. รอจนผมแห้งเอง แต่ถ้าใจร้อนหรือรำคาญ ก็ใช้ไดร์เป่าได้ แต่ต้องปรับเย็นสุด พอกัดสีผมและ toning เสร็จแล้ว ก็จะได้ผมสีขาวสว่างเงางามสมใจ
- ถ้ามีจุดไหนพลาดไป ให้รอ 2 - 3 วันแล้วค่อยทำทุกขั้นตอนซ้ำกับผมปอยนั้น
โฆษณา
-
อ่อนโยนกับผมตัวเองมากๆ. ผมขาวบอบบาง เสียหายง่ายมาก ถึงจะสุขภาพผมปกติก็เถอะ เพราะงั้นต้องดูแลเส้นผมให้ดีที่สุด ถ้ารู้สึกว่าผมแห้ง ก็อย่าเพิ่งสระด้วยแชมพู และอย่าหวีแรงหรือบ่อยเกินไป รวมถึงหนีบผมตรงหรือม้วนผมด้วย
- พยายามปล่อยให้ผมแห้งเองเป็นส่วนใหญ่ ถ้าต้องใช้ไดร์เป่าจริงๆ ให้ใช้ลมเย็นสุด
- พยายามหลีกเลี่ยงการแต่งทรงด้วยความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงลักษณะเส้นผมตามธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะจะทำผมแห้ง ขาด เสีย หรือร่วงได้ สุดท้ายอาจเหลือแค่ตอผมยาวประมาณ 1 - 2 นิ้ว (2.5 - 5 ซม.) ได้ [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าจำเป็นต้องหนีบผมตรงจริงๆ ให้ใช้ไดร์กับแปรงกลมแทนที่หนีบหรือรีดผม [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ใช้หวีซี่ห่าง [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
อย่าสระผมบ่อยเกินไป. ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่าให้สระผมแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้งพอหลังกัดสีผม [18] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เพราะแชมพูจะทำให้ผมสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อผมที่กัดสีมา
- ถ้าออกกำลังกายเป็นประจำ เหงื่อออกบ่อย หรือใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมเยอะ ก็อนุโลมให้เพิ่มเป็นสระผม 2 ครั้งต่ออาทิตย์ หรือใช้ dry shampoo แทน
- อย่าเช็ดผมหลังสระ ให้ใช้ผ้าซับแล้วบีบเบาๆ ให้ผมแห้งแทน อย่าเอาผ้าขยี้ผมแรงๆ เพราะเป็นพฤติกรรมทำร้ายเส้นผม [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม. ต้องใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผมที่กัดสีหรือผมแห้งเสียโดยเฉพาะ เช่น แชมพู toning สีม่วง และครีมนวดเข้มข้น อย่าพยายามใช้ผลิตภัณฑ์เน้นเพิ่ม volume ให้ผม เพราะจะทำผมแห้งได้
- ถ้าผมได้น้ำมันในชนิดและปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ดูนุ่มสลวย ไม่ชี้ฟู บางคนก็ว่าใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์แล้วผมหายชี้ฟู ดีพอๆ กับครีมนวดเลย
-
บำรุงผมล้ำลึกอาทิตย์ละ 1 ครั้งขึ้นไป. [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ให้ซื้อ (หรือผสม) ทรีตเม้นท์ผมแบบล้ำลึกจากร้านทำผมหรือเคาน์เตอร์แบรนด์ อย่าไปซื้อยี่ห้อถูกๆ ตามร้านที่ขายทั้งยาและเครื่องสำอาง เพราะอาจจะแค่เคลือบเส้นผมไว้เฉยๆ สุดท้ายเลยเหนียวเหนอะ หนักผมเปล่าๆ
-
ใช้ toner ประจำ. ต้องหมั่นลง toner ซ้ำให้ผมยังเป็นสีขาวอยู่ เช่น ทุก 1 - 2 อาทิตย์ อย่าง toning shampoo ก็ช่วยลดภาระการซื้อและใช้ toner ได้เหมือนกันโฆษณา
-
อย่าให้โคนผมยาวดำเกินไป. พยายามกัดสีทันทีเมื่อสีโคนผมโผล่มาเกิน 1 นิ้ว (2.5 ซม.) สีผมจะได้ขาวสว่างทั้งหัวอยู่เสมอ
- ถ้าโคนผมยาวดำเกินไป จะกัดสียาก อาจจะเด่นออกมาจากผมที่เหลือ
- ปกติผมจะยาวประมาณเดือนละ 0.5 นิ้ว (1 ซม. กว่าๆ) เพราะงั้นแปลว่าต้องกัดสีโคนผมทุก 2 เดือน
-
ผสมน้ำยากัดสีผม. ขั้นตอนจะเหมือนกันกับตอนกัดสีผมทั้งหัว คือผสมผงกัดสีผมกับ developer ในสัดส่วน 1:1 แล้วเติม red gold corrector ตามคำแนะนำที่ฉลาก
-
ลงน้ำยาที่โคนผมที่แห้งสนิทและยังไม่ได้สระ. ใช้แปรงย้อมผมทาน้ำยาที่โคนผม ให้เลยมาส่วนที่ยังขาวอยู่นิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าเกินมามากเกินไป สีจะโดด
- อย่ากัดสีเยอะหรือนานเกินไป
- ถ้าผมคุณหนาหรือยาว อาจจะต้องติดกิ๊บไม่ให้ผมส่วนอื่นมาเกะกะ แต่ถึงผมสั้น ถ้าติดกิ๊บไว้ก็จะสังเกตได้ชัดเจน ว่าตรงไหนกัดสีโคนแล้ว
- ถ้าตรงไหนเข้าถึงยาก ให้เขี่ยด้วยปลายแหลมของแปรงย้อมผม น้ำยาจะได้ทั่วถึง เช่น เขี่ยให้โคนผมพลิกไปมา แล้วลงน้ำยาที่อีกด้าน ก่อนจะกัดสีปอยอื่นต่อไป
-
เช็คสีผมเป็นระยะ. พอผ่านไปได้ 15 นาที ให้เช็คว่าสีผมไม่อ่อนเกินไป หลังจากนั้นให้เช็คทุก 10 นาที จนได้สีผมเสมอกันทั้งหัว
-
สระผมกำจัดน้ำยากัดสี. เปิดน้ำเย็นราดหัวล้างน้ำยากัดสีผม จากนั้นสระผมและลงครีมนวดตามปกติ สุดท้ายใช้ผ้าสะอาดบีบผมเบาๆ กำจัดน้ำส่วนเกิน
-
ลง toner ที่ผม. ก็เหมือนตอน toning ทั้งหัว คือให้เตรียม toner แล้วทาตามโคนผมด้วยแปรง
- ถ้ามีจุดอื่นน่าจะ tone ด้วย ก็ให้เริ่มจากโคนผมที่สีเริ่มเหลืองก่อน แล้วขยับขยายลงมา
- ต้องหมั่นเช็คสีผมทุก 10 นาที ไม่งั้นผมจะกลายเป็นสีฟ้า เงิน หรือม่วงได้
-
ล้าง toner จากผม. เปิดน้ำเย็นราดหัว จากนั้นสระผมลงครีมนวดตามปกติ สุดท้ายใช้ผ้าสะอาดบีบผมเบาๆ กำจัดน้ำส่วนเกิน แล้วปล่อยให้ผมแห้งเองโฆษณา
-
อย่าเพิ่งช็อคถ้าน้ำยากัดสีผมหมดกะทันหันก่อนจะใช้ครบทั้งหัว. ถ้าทำไปเรื่อยๆ แล้วพบว่าน้ำยากัดสีผมไม่พอจะใช้ทั้งหัว ก็อย่าเพิ่งทำอะไรไม่ถูก
- ถ้าน้ำยากัดสีหมดกะทันหัน แต่ยังเหลือวัตถุดิบที่ยังไม่ผสม ก็ให้รีบผสมซะแล้วทาต่อ รับรองใช้เวลาไม่เกิน 2 - 3 นาที
- แต่ถ้าหมดแบบต้องไปหาซื้อ ก็กัดสีไปเท่าที่มีก่อน (แล้วทิ้งไว้จนผมเป็นสีขาวเหลือง หรือจนกว่าจะครบ 50 นาที แล้วแต่ว่าอย่างไหนมาก่อน) พอสะดวกค่อยหาซื้อวัตถุดิบมาผสมเพิ่ม แล้วกัดสีผมส่วนที่เหลือต่อ
-
กำจัดด่างดวงจากเสื้อผ้าที่ถูกกัดสี. ถ้าใส่เสื้อผ้าเก่าและคลุมด้วยผ้าขนหนูไว้แล้ว แต่ยังมีเหตุให้อะไรที่จะเก็บไว้เลอะหรือด่างจนได้ ก็ลองกำจัดคราบด้วยวิธีต่อไปนี้ดู
- เอาสำลีก้อนชุบเหล้าสีใส เช่น จินหรือวอดก้า
- เอาไปเช็ดคราบและบริเวณโดยรอบ เพื่อให้สีของผ้าลามมายังจุดที่ถูกกัดสี
- ถูไปเรื่อยๆ จนสีกลบรอยด่างทั้งหมด
- ล้างด้วยน้ำเย็นจัด
- ถ้าไม่ได้ผล ให้ตัดใจกัดสีผ้าทั้งผืนตามสีที่ต้องการ
-
ใจเย็น. ถ้ากัดสีผม 50 นาทีแล้วยังไม่ได้สีขาวเหลือง ก็อย่าเพิ่งเครียด เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ผมสีเข้มมากและ/หรือสีติดยาก อาจต้องทำซ้ำอีก 2 - 3 รอบถึงจะได้สีผมที่ต้องการ
- ถ้าต้องกัดสีผม 2 - 3 ครั้งกว่าจะขาวเหลือง ต้องเว้นช่วงสัก 2 อาทิตย์ขึ้นไปในการกัดสีผมแต่ละครั้ง
- กัดสีผมแล้วต้องคอยสำรวจสภาพผม ถ้าผมแห้งเสียมาก ก็ต้องรอนานกว่านั้นถึงจะกัดซ้ำได้ ต้องบำรุงจนผมกลับมานุ่มสวยสุขภาพดีซะก่อน ไม่งั้นผมจะขาดเสียหรือผมร่วงได้
-
กัดสีผมที่เข้มขึ้นมาเป็นแถบๆ. พอกัดสีโคนผมเพิ่มเติม 2 - 3 ครั้ง อาจจะเจอผมบางจุดสีเหลืองขึ้นมาเป็นแถบๆ ต่างเฉดกันได้
- แก้ได้โดยทาน้ำยากัดสีนิดหน่อยบริเวณนั้น แล้วทิ้งไว้หลายนาทีหน่อย จนสีออกมาใกล้เคียงกับผมส่วนอื่น
- พอ tone สีผมแล้ว จะแทบไม่สังเกตเห็นแถบสีที่ว่าเลย
โฆษณา
เคล็ดลับ
- อยากกัดสีผมเป็นสีขาวต้องหมั่นดูแลตัวเอง เพราะขั้นตอนเยอะมาก และต้องดูแลเรื่อยๆ ถึงจะออกมาสวยสมใจ ต้องคิดดีๆ ก่อนว่าคุณพร้อมทุ่มเทขนาดนั้นไหม
- ถ้าไม่มีเวลา กลัวทำไม่เป็น หรือกลัวผมเสีย ก็ให้ไปกัดสีผมกับช่างมืออาชีพที่ร้านแทน
- ครั้งแรกที่จะกัดสีผม ลองไปหาช่างทำผมที่เขาเชี่ยวชาญน่าจะดีกว่า จะได้พอรู้ขั้นตอนที่ถูกต้อง หรือสอบถามเคล็ดลับและเทคนิคดีๆ จากช่างไว้ คราวหน้าจะได้แค่กัดสีโคนผมเอง
- ถ้ากัดสีผมไปแล้วสุดท้ายอยากได้สีอื่น ต้องรออย่างน้อย 2 อาทิตย์แล้วค่อยย้อมสีผมถาวร
- ถ้ากัดสีผมไปแล้วสุดท้ายอยากได้สีอื่น อาจจะต้องใช้ filler เติมพิกเมนต์หรือเม็ดสีที่หายไปก่อน แล้วค่อยย้อมผมสีอื่น
- ถ้าไม่แน่ใจว่าผิวแบบเราจะย้อมผมขาวเฉดไหนดี ให้ไปลองวิกเล่นๆ ดูหลายๆ แบบ แต่ระวังบางร้านเขาก็ไม่ยอมให้ลองเล่นฟรีๆ แถมจะหยิบจับก็ต้องมีพนักงานทำให้ ถ้ายุ่งยากนักก็ลองในแอพมือถือซะเลย
- ถ้าจะแต่งทรงด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ความร้อน ก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมซะก่อน เช่น สเปรย์ ครีม หรือมูส มีขายตามร้านขายยาและเครื่องสำอางทั่วไป รวมถึงร้านทำผมต่างๆ
โฆษณา
คำเตือน
- ถ้าไม่สวมถุงมือแล้วมีแผลเปิด ระวังจะแสบเพราะผงกัดสีผม แถมผิวยังซีดขาวและแห้งคันเป็นที่สุด
- พอว่ายน้ำแล้วโดนคลอรีน ผมจะเปลี่ยนเป็นสีออกเขียวได้ ถ้าต้องว่ายน้ำจริงๆ ให้ลงครีมนวดแล้วสวมหมวกว่ายน้ำซะก่อน
- สระผมแล้วอย่าเพิ่งรีบกัดสีผมทันที เพราะคุณเพิ่งเสียน้ำมันตามธรรมชาติของหนังศีรษะไป ผมกับหนังศีรษะจะอ่อนแอ ต้องรออย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อน
- ถ้าผมเสียหรืออ่อนแอแล้วยังไปกัดสีผมเพิ่มอีก ก็เสี่ยงทำผมเสียหรือแห้งขาดได้ ที่สำคัญคือก่อนกัดสีผม ต้องอย่าจัดทรงด้วยความร้อน หรือสระด้วยชมพูทั่วไป
- อย่าใจร้อน ถ้ากัดสีผมแรงๆ ให้ขาวเร็วทันใจ ระวังผมจะแห้ง ขาด เสีย ผมร่วง หรือน้ำยากัดหนังหัวได้ [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
สิ่งของที่ใช้
- ผงกัดสีผม
- ครีม developer
- red gold corrector
- โทนเนอร์ปรับสีผม (hair toner)
- แชมพูปรับสีผม (toning shampoo)
- แปรงย้อมผม
- ชามผสม
- ถุงมือ
- ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าเช็ดหัว
- แรปพลาสติก
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://articles.latimes.com/2013/jul/15/image/la-ig-paves-platinum-20130714
- ↑ http://www.hairfinder.com/hair2/bleachhairrelaxer.htm
- ↑ http://www.today.com/food/10-ways-use-coconut-oil-separating-myths-miracles-t9451
- ↑ http://www.webmd.com/beauty/hair-repair/ingredients-dry-hair?page=1
- ↑ http://www.webmd.com/beauty/hair-repair/ingredients-dry-hair?page=2
- ↑ https://www.aad.org/stories-and-news/news-releases/getting-past-the-hype-dermatologist-untangles-common-hair-care-misconceptions
- ↑ http://www.webmd.com/beauty/hair-repair/ingredients-dry-hair?page=2
- ↑ http://www.howtohairgirl.com/2013/12/dos-dont-diy-hair-coloring/
- ↑ http://www.howtohairgirl.com/2013/12/dos-dont-diy-hair-coloring/
- ↑ http://www.howtohairgirl.com/2013/12/dos-dont-diy-hair-coloring/
- ↑ https://www.haircrazy.com/articles/beginner-guides/how-to-do-a-strand-test/
- ↑ https://www.haircrazy.com/articles/beginner-guides/bleaching-your-hair/
- ↑ http://articles.latimes.com/2013/jul/15/image/la-ig-paves-platinum-20130714
- ↑ http://articles.latimes.com/2013/jul/15/image/la-ig-paves-platinum-20130714
- ↑ http://articles.latimes.com/2013/jul/15/image/la-ig-paves-platinum-20130714
- ↑ http://www.xojane.com/beauty/how-to-avoid-damaged-bleached-hair
- ↑ http://www.xojane.com/beauty/how-to-avoid-damaged-bleached-hair
- ↑ http://www.xojane.com/beauty/how-to-avoid-damaged-bleached-hair
- ↑ http://www.xojane.com/beauty/how-to-avoid-damaged-bleached-hair
- ↑ http://articles.latimes.com/2013/jul/15/image/la-ig-paves-platinum-20130714
- ↑ http://articles.latimes.com/2013/jul/15/image/la-ig-paves-platinum-20130714
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 39,513 ครั้ง
โฆษณา