ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ถ้า memory ใกล้เต็ม มือถือจะเริ่มอืด แบตหมดไว เรียกว่าแทบจะทำอะไรไม่ได้ แบบนี้ต้องล้างข้อมูลส่วนเกินที่ไม่จำเป็นไปจากมือถือ รับรองจะประหยัด memory ได้มหาศาล กลับมาใช้งานได้สะดวกตามเดิม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

Android

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณเช็คสถานะมือถือ เพื่อดู memory (RAM) ที่มือถือใช้ไปได้ รวมถึงเช็คว่าแอพไหนเปลือง memory ที่สุด แต่จริงๆ แล้ว RAM ก็มีไว้ให้ใช้งาน ถ้าเหลือ RAM นิดหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ Android จะพยายามใช้ RAM ว่างอยู่เสมอ เพื่อประสิทธิภาพของการทำงาน
    • เปิดแอพ Settings ในเครื่อง
    • เลื่อนลงไปแตะ "About phone"
    • แตะตัวเลือก "Memory" เพื่อดูข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ memory usage ของมือถือ
    • แตะปุ่ม "Memory used by apps" เพื่อดูแอพต่างๆ ที่เปลือง RAM มากที่สุด
  2. ลบแอพที่ไม่ได้ใช้ ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างให้ Android ได้ รวมถึงทวง RAM คืนมา ถ้าแอพนั้นทำงานในเบื้องหลังตลอด พอได้ storage space กับ RAM คืนมา Android จะทำงานได้ไหลลื่นขึ้นแน่นอน แอพที่เคยซื้อหรือดาวน์โหลดมาฟรี ลบแล้วก็ไปดาวน์โหลดมาใหม่ได้ตลอดใน Google Play Store [1]
    • เปิดแอพ Settings ในเครื่อง
    • เลือก "Apps" หรือ "Application manager"
    • เลื่อนไปตามรายชื่อแอพ จนเจอแอพที่ไม่ใช้แล้ว
    • แตะแอพ แล้วแตะ "Uninstall" เพื่อลบแอพนั้น แอพจะถูกลบไปจากเครื่อง ถ้าไม่มีปุ่ม "Uninstall" แสดงว่าเป็นแอพตั้งต้นของเครื่อง ลบไม่ได้
  3. ปิดการทำงาน (disable) แอพที่ไม่ได้ใช้แต่ถอนการติดตั้งไม่ได้. Android หลายเครื่องจะมีแอพตั้งต้นเยอะแยะไปหมด พวกนี้จะทำงานที่เบื้องหลัง เปลืองทรัพยากรระบบพอควร แอพพวกนี้ถอนการติดตั้งไม่ได้ เว้นแต่ต้อง root เครื่องก่อน เพราะงั้นให้ disable แทน ทำแบบนี้แล้วไม่ได้ storage space คืนมา แต่อย่างน้อยแอพก็จะหยุดทำงานไป [2]
    • เปิดแอพ Settings ในเครื่อง
    • เลือก "Apps" หรือ "Application manager"
    • ค้นหาแอพที่จะ disable ส่วนใหญ่เป็นแอพของค่ายมือถือ หรือแอพตั้งต้นที่คุณไม่ได้เป็นคนติดตั้ง
    • แตะ "Uninstall updates" ถ้ามี. ทำขั้นตอนนี้ก่อน ถึงจะมีตัวเลือกให้ disable แอพโผล่มา
    • แตะ "Disable" เพื่อปิดแอพ ไม่ให้กลับมาทำงานอีก [3]
  4. ถ้าชอบถ่ายรูปจนเต็มเครื่อง อาจจะต้องย้ายรูปลงคอม หรืออัพโหลดเข้าเว็บคลาวด์ จะได้ทวงพื้นที่ในเครื่องขึ้นมา
    • ย้ายไป PC - เชื่อมต่ออุปกรณ์ Android กับคอมผ่านสาย USB เปิดแถบ Notification แล้วแตะตัวเลือก USB เลือก "Photo transfer" เปิดหน้าต่าง Computer/This PC คลิกขวาที่อุปกรณ์ Android (บางทีก็ขึ้นแค่เลขรุ่น) แล้วเลือก "Import pictures and videos" ทำตามขั้นตอนที่ปรากฏ เพื่อ copy รูปทั้งหมดในเครื่องลงโฟลเดอร์ Pictures คลิกลิงค์ "More options" แล้วติ๊กช่อง "Delete files from your device after importing"
    • ย้ายไป Mac - เชื่อมต่ออุปกรณ์ Android กับ Mac ผ่านสาย USB เปิดแถบ Notification แล้วแตะตัวเลือก USB จากนั้นเลือก "Photo transfer" เปิดแอพ Image Capture ใน Mac เลือกอุปกรณ์ Android ในเมนูทางซ้าย เปิดตัวเลือกเพิ่มเติมท้ายเมนู แล้วเลือก "Delete after Import" คลิก "Import All" เพื่อย้ายรูปทั้งหมดจาก Android ไปที่ Mac แล้วลบไฟล์ใน Android ทิ้ง
    • อัพโหลดเข้าระบบคลาวด์ - ดาวน์โหลดแอพ Google Photos ถ้ายังไม่มี Google Photos ใช้ backup รูปทั้งหมดฟรี แต่ลดคุณภาพรูปลงนิดหน่อย หรืออัพโหลดเข้า Drive ก็ได้ เพราะจะคงคุณภาพรูปไว้ ให้เปิดเมนู Google Photos Settings แล้วแตะ "Back up & sync" แตะ "Upload Size" เพื่อเลือกว่าจะใช้ storage ฟรี หรือ Drive เช็คก่อนว่าเปิด "Backup & sync" ไว้ รูปจะเริ่มอัพโหลดอัตโนมัติ ให้แตะ "Free up space" ในเมนู Settings ถ้าจะลบรูปทั้งหมดที่ backup ไว้
  5. ถ้าอยากทวงพื้นที่คืนเพิ่มเติม ก็ทำได้โดยลบข้อมูลในโฟลเดอร์ Downloads ปกติโฟลเดอร์นี้จะมีไฟล์ PDF และอื่นๆ ที่เคยดาวน์โหลดไว้ หรือใช้งานแค่ครั้งเดียวจบ
    • เปิดแอพ Downloads ใน app drawer ปุ่ม app drawer จะเป็นรูปตาราง
    • แตะปุ่ม "Delete" แล้วเลือกไฟล์ทั้งหมดที่จะลบ
    • แตะ "Delete" อีกรอบ เพื่อลบไฟล์ทั้งหมดที่เลือกไว้ ขั้นตอนนี้จะต่างกันไปบ้างตามยี่ห้อมือถือที่ใช้
  6. ถ้าแอพไหนเปลืองทรัพยากรเครื่องเป็นพิเศษ ให้ลองหาแอพอื่นมาใช้แทน เช่น แทนที่จะใช้แอพ Facebook ก็ใช้เว็บ Facebook แทน ข้อเสียคือขาดบางฟีเจอร์ แต่อย่างน้อยก็ประหยัดทรัพยากรเครื่องไปได้เยอะ
  7. มีแอพใน Google Play Store เยอะมาก ที่อ้างว่าช่วยทำให้ระบบทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น บอกเลยว่าด้วยลักษณะระบบของ Android แอพพวกนี้ไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ ดีไม่ดีจะเป็นภาระหนักเครื่องซะอีก
  8. พออัพเดทระบบเป็นเวอร์ชั่นใหม่ มือถือจะทำงานได้ลื่นไหลขึ้น บางทีก็เป็นอัพเดทจากค่ายมือถือ ใครใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าๆ หน่อย อาจจะอัพเดทระบบเป็นเวอร์ชั่นใหม่ไม่ได้
    • เปิดแอพ Settings ในเครื่อง
    • เลื่อนไปที่ท้ายเมนู แล้วเลือก "System updates"
    • แตะ "Check for update" แล้วติดตั้งอัพเดทที่มี ขั้นตอนการอัพเดทจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

iPhone

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รีสตาร์ท iPhone แบบปิดไปเลยแล้วเปิดขึ้นมาใหม่ จะช่วยรีเซ็ต memory ของระบบได้ ช่วยแก้ปัญหาแอพทำงานผิดพลาด ไม่เปลืองทรัพยากร ให้เครื่องทำงานได้ลื่นไหลยิ่งขึ้น [4]
    • กดปุ่ม Power ค้างไว้ จนแถบเลื่อน Power โผล่มาในหน้าจอ
    • เอานิ้วเลื่อนแถบเลื่อนเพื่อปิด iPhone
    • ผ่านไปประมาณ 10 วินาที ให้กดปุ่ม Power ค้างอีกรอบ จน iPhone เปิดกลับขึ้นมา
  2. คุณเคลียร์ RAM ของ iPhone ได้ง่ายๆ เพื่อเพิ่ม RAM ว่างให้แอพต่างๆ ได้ใช้ [5]
    • กดปุ่ม Power ค้างไว้จนแถบเลื่อน Power โผล่มา โดยต้องปลดล็อค iPhone ก่อน
    • กดปุ่ม Home ค้างไว้ 5 วินาทีเมื่อแถบเลื่อนโผล่มา เพื่อกลับไปยังหน้า Home ถ้ากดถูกวิธี จะช่วยล้าง RAM ที่ใช้อยู่ได้
  3. เพื่อให้ iPhone ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ถ้ามี storage space ว่างเหลือ หนึ่งในวิธีที่ทวงคืนพื้นที่ได้ง่ายที่สุด คือลบแอพที่ไม่ได้ใช้แล้ว จะได้ storage space และ RAM ว่างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นแอพที่ปกติทำงานอยู่เบื้องหลัง หลังจากนั้นจะไปดาวน์โหลดแอพทั้งฟรีและเสียเงินที่เคยซื้อ คืนมาจาก App Store เมื่อไหร่ก็ได้
    • ค้นหาแอพที่จะลบ จากในหน้า Home
    • กดแอพค้างไว้ จนแอพเริ่มสั่น
    • แตะ "X" มุมแอพ เพื่อลบ แล้วทำซ้ำกับแอพอื่นๆ ที่จะลบ ย้ำว่าแอพ System (แอพต่างๆ ของระบบ) จะลบไม่ได้
  4. ถ้าชอบถ่ายรูปเยอะๆ อาจจะเปลืองพื้นที่ว่างใน iPhone ได้ พอเครื่องเริ่มเต็ม จะอืดเป็นพิเศษ ขั้นตอนการย้ายรูปจะต่างกันไปตามคอมที่ใช้
    • Windows - เชื่อมต่อ iPhone กับคอมผ่าน USB เปิดหน้าต่าง Computer/This PC แล้วคลิกขวาที่ iPhone เลือก "Import pictures and videos" เพื่อเริ่ม import รูป คลิก "More options" แล้วติ๊ก "Delete files from your device after importing" ทำตามขั้นตอนเพื่อ import รูปลงคอม แล้วลบจาก iPhone
    • Mac - เชื่อมต่อ iPhone กับ Mac ผ่าน USB เปิด "Image Capture" แล้วเลือก iPhone จากรายชื่ออุปกรณ์ ในเมนูทางซ้าย ขยายตัวเลือกเพิ่มเติมท้ายเมนู แล้วเลือก "Delete after Import" คลิกปุ่ม "Import all" เพื่อ import รูปลงคอม จากนั้นลบจาก iPhone
  5. บางเมนูใน iOS จะมีลูกเล่นเวลาเปลี่ยนแปลง (transitions) พวกนี้ทำให้ iPhone รุ่นเก่าๆ อืดได้ ให้ปิด (disable) เพื่อให้เครื่องทำงานไวขึ้น
    • เปิดแอพ Settings แล้วเลือก "General"
    • แตะ "Accessibility."
    • แตะ "Reduce Motion" แล้วเลื่อนสวิตช์ "Reduce Motion" ไปที่ on
    • กลับไปที่ "Accessibility" แล้วเลือก "Increase Contrast" เลื่อนสวิตช์ "Reduce Transparency" ไปที่ on
  6. เหมือนไฟล์รูป ไฟล์เพลงก็เปลือง storage ในเครื่องได้เหมือนกัน ถ้าลบเพลงเก่าๆ ที่ไม่ได้ฟังแล้ว จะช่วยให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะถ้าเครื่องใกล้เต็ม เหมือนแอพต่างๆ คือเพลงไหนเคยซื้อไว้ใน iTunes ลบแล้วก็กลับไปดาวน์โหลดได้ทุกเมื่อ ถ้า sync เพลงไว้กับคอม ก็กู้คืนได้โดย sync อีกรอบ
    • เปิดแอพ Settings แล้วเลือก "General"
    • แตะ "Storage & iCloud Usage" แล้วแตะ "Manage Storage" ในหัวข้อ Storage
    • แตะแอพ Music ในรายชื่อแอพ
    • ปัดชื่อศิลปินหรือเพลง จากขวาไปซ้าย แล้วแตะ "Delete" หรือปัด "All Songs" เพื่อลบเพลงทีเดียวทั้งหมด
  7. ปกติ iPhone จะไม่มีแอพหรือฟังก์ชั่นเช็ค RAM ที่มีในตัว เพราะระบบจัดการ RAM ในเบื้องหลังอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้ผู้ใช้เห็นหรือไปยุ่มย่ามกับจุดนี้ แต่ถ้าอยากเช็ค RAM usage จริงๆ ก็ต้องใช้แอพเฉพาะ
    • หนึ่งในแอพยอดนิยมด้านนี้ คือ System Status แต่จะดูแบบแยก RAM usage ของแต่ละแอพไม่ได้
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • จริงๆ แล้วทั้งใน Android และ iPhone ไม่จำเป็นต้องปิดแอพต่างๆ ในรายชื่อแอพที่ใช้งานล่าสุด เพราะระบบปฏิบัติการจะหยุดการทำงานของแอพเวลาไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เปลืองทรัพยากรระบบ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,625 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา