ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

กิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตัวเอง ล้วนเป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความเครียดและปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของตัวคุณเองได้ และการฝึกการดูแลตัวเองนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่างในชีวิต เช่น ต้องไปโรงเรียน ต้องทำงานที่มีความเครียด หรือต้องคอยดูแลคนที่คุณรัก ซึ่งวิธีฝึกการดูแลตัวเองที่ดีนั้นคือ การที่คุณเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจความต้องการของตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางอารมณ์ ทางร่างกาย และในด้านอาชีพการงาน และเมื่อใดที่คุณสามารถที่จะเข้าใจความต้องการของตัวเอง และสามารถเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองเป็นอันแรกก่อนได้แล้ว คุณก็จะสามารถดูแลตัวเองและจัดการกับภาระหน้าที่ต่างๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ฝึกการดูแลตัวเองในด้านอารมณ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้คุณพยายามจัดการและลดระดับความเครียดในชีวิตตัวเอง ซึ่งความเครียดอาจจะเกิดจากต้นเหตุหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นการที่คุณมีงานมากมายที่ต้องทำ หรืองานที่โรงเรียน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคุณมีภาระต้องดูแลใครบางคน ฉะนั้น ให้ดูว่าเรื่องที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคุณเรื่องไหนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณมีความเครียด [1] จากนั้นให้คุณฝึกเทคนิคการผ่อนคลายความตึงเครียดเพื่อเพิ่มพลังงาน แรงจูงใจ และศักยภาพในการผลิตผลงานของตัวเอง โดยคุณอาจจะใช้เทคนิคด้านล่างนี้ในการลดความตึงเครียดของตัวเองก็ได้ [2]
    • ในทุกๆ เช้าให้คุณนั่งเงียบๆ หรือทำสมาธิ 5-30 นาที
    • นึกภาพขึ้นมาในหัวสักภาพ โดยให้คุณนึกถึงภาพที่มีความสงบ หลับตา และใช้ความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดจินตนาการไปถึงภาพที่ผ่อนคลายและนิ่งสงบ จินตนาการถึงพื้นที่ที่มีความหมายและมีความเงียบสงบสำหรับตัวคุณ
    • ลองฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบต่อเนื่องดู ซึ่งวิธีนี้จะหมายถึง การที่คุณเกร็งและคลายกล้ามเนื้อของร่างกายไปทีละส่วนจนครบทั้งร่างกาย
    • ฝึกการหายใจลึกๆ
    • ลองฝึกไท้เก็กหรือโยคะดู
    • เขียนบันทึกเรื่องราวประจำวันให้สม่ำเสมอ
    • แช่หรือไม่ก็อาบน้ำอุ่น
  2. ให้คุณใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ครอบครัว และคนอื่นๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง โดยให้เลือกอยู่กับคนที่เคารพในความต้องการและขอบเขตของคุณ ดูให้แน่ใจด้วยว่าคนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยนั้นเป็นคนที่นึกถึงใจคนอื่น ไว้ใจได้ และคอยให้การสนับสนุนต่อเป้าหมายที่คุณมี และให้หลีกเลี่ยงคนที่คอยแต่จะดูดพลังงานออกไปจากตัวคุณ คนที่ชอบพูดทับถม และคนที่ชอบทำให้คุณเครียด [3]
  3. การจัดสรรเวลาไว้เพื่อความสนุกสนานและการพักผ่อนหย่อนใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คุณกำลังเครียด ฉะนั้น อย่าลืมที่จะทำอะไรสนุกๆ และพบปะกับคนอื่นๆ ด้วย โดยคุณอาจจะลองทำตามไอเดียด้านล่างนี้ก็ได้
    • ออกไปดินเนอร์กับสามี/ภรรยาของคุณหรือไม่ก็ออกไปเที่ยวตอนกลางคืนกับเพื่อนๆ สัปดาห์ละครั้ง [4]
    • อ่านหนังสือเล่มโปรดซ้ำอีกรอบ
    • ดูหนังเรื่องโปรด
    • หางานอดิเรกทำเพื่อความเพลิดเพลิน
    • ฟังเพลงเบาๆ
    • ซื้อสมุดภาพระบายสีสำหรับผู้ใหญ่มาระบายเล่น
  4. จำไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณกำลังรู้สึกมืดมน อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ การที่คุณจำเป็นต้องปรึกษากับใครบางคนไม่ได้หมายความว่าคุณผิดปกติ แต่นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณคือมนุษย์ที่มีจิตใจเหมือนกับคนอื่นๆ ฉะนั้น ให้คุณพยายามหาใครสักคนที่ไว้ใจได้และคุณก็สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกกับเขาได้ด้วย เพราะถ้าหากคุณไม่สามารถที่จะสร้างความเชื่อมโยงกับนักบำบัดของตัวเองได้ การเตรียมการต่างๆ ก็คงจะไม่ได้ผลอะไร ซึ่งเหตุผลที่การให้คำปรึกษาเป็นผลดีนั้นก็เพราะว่า… [5]
    • สิ่งนี้ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คุณได้พูดคุยอย่างสบายใจและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
    • สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถจัดการกับความเครียดและความกังวลในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น
    • สิ่งนี้ทำให้คุณได้รับความคิดเห็นที่มีเหตุผล ปราศจากอคติ
    • สิ่งนี้ช่วยผลักดันให้คุณใช้ชีวิตในทางที่ดีขึ้น
  5. ให้คุณให้กำลังใจและส่งเสริมตัวเอง ด้วยการพูดอะไรบางอย่างที่จะช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นให้ตัวคุณได้ โดยให้เลือกวลีหรือคำพูดที่เป็นด้านบวก เข้าถึงง่าย มีพลัง และเที่ยงตรง ซึ่งก็จะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้ [6]
    • “เราทำได้”
    • “เราเชื่อมั่นในตัวเราเอง”
    • “เรารักและยอมรับในตัวเอง”
    • “เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
    • “เดี๋ยวสิ่งนี้ก็จะผ่านพ้นไปเอง”
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ฝึกการดูแลตัวเองในด้านร่างกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเคลื่อนไหวร่างกายไปมาให้ประโยชน์หลายอย่างและสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านของคุณเอง! ฉะนั้น ออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน แม้ว่ามันจะเป็นแค่การออกกำลังกายแบบแบ่งสลับความหนักเบาช่วงละ 10 นาที (10-minute intervals) ก็ตาม แต่ถ้าเกิดว่าจริงๆ แล้วคุณไม่สามารถออกกำลังกายได้ทุกวัน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ขอแค่ให้คุณพยายามออกกำลังกายให้ได้เกือบทุกวันในหนึ่งสัปดาห์ก็พอ ฉะนั้น ให้เลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่คุณคิดว่าน่าสนุกและน่าสนใจสำหรับคุณ และพยายามออกกำลังกายให้หลากหลายรูปแบบเพื่อทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อสำหรับตัวคุณเอง โดยคุณอาจจะ... [7]
    • พาสุนัขออกไปเดินเล่น
    • ฝึกเต้นอยู่ที่บ้าน
    • ทำงานสวน
    • เข้าคลาสออกกำลังกายที่ยิมใกล้บ้านคุณ
    • ยืดกล้ามเนื้อ หรือไม่ก็เล่นโยคะ
  2. การทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยทำให้คุณมีพลังงานและทำให้ร่างกายของคุณมีสุขภาพที่ดีได้ เมื่อใดก็ตามแต่ที่คุณยุ่งอยู่แต่กับงานหรือยุ่งกับการต้องคอยดูแลคนอื่น มันก็ยากที่จะมีเวลามาวางแผนและทำอาหารเพื่อสุขภาพให้ตัวเองทาน และสุดท้าย อาหารที่หาทานได้ง่ายๆ ในยามที่คุณยุ่ง ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายของคุณไร้ซึ่งพลังงาน จนทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองมีสุขภาพที่แย่ ดังนั้น ให้ลองดูวิธีการด้านล่างนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ในวิถีการกินของคุณ คุณจะได้สามารถดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิมได้ [8]
    • ทานโฮลเกรน
    • ทานผักที่มีสีเขียวเข้มให้มากขึ้น
    • ทานผลไม้สดหรือผลไม้แช่แข็งให้หลากหลายชนิด
    • เลือกทานนมไขในต่ำหรือไม่มีไขมัน
    • ลองทานลีนโปรตีน (โปรตีนที่มีไขมันต่ำ) ให้หลากหลายประเภท
    • ทานอาหารและของว่างให้ครบทุกมื้อ
  3. เช็คดูให้แน่ใจว่าในแต่ละคืน คุณนอนหลับอย่างเพียงพอแล้วจริงๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ต้องนอนประมาณ 7-9 ชั่วโมงเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเพลียในวันถัดไป และมันจะเป็นเรื่องยากมากๆ ที่คุณจะนอนหลับให้ตรงตามเวลาได้ ตราบใดที่คุณยังเครียด ทำงานมากเกินไป ยุ่งอยู่แต่กับงาน หรืองานโรงเรียน หรือยุ่งอยู่กับการดูแลคนรักของคุณที่กำลังป่วยอยู่ ฉะนั้น ให้คุณพยายามทำตามแนวทางด้านล่างนี้
    • ตั้งเป้าไว้ว่าคุณอยากจะให้เวลานอนหลับของคุณอยู่ช่วงไหน และพยายามทำให้ได้ทุกวัน
    • เช็คดูให้แน่ใจว่าห้องนอนของคุณไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ ยกตัวอย่างเช่น ทีวี
    • ซื้อเครื่องติดตามการนอนหลับและการออกกำลังกายมาใช้ อย่างเช่น สายรัดข้อมือ FitBit ซึ่งสายรัดข้อมือนี้จะคอยตรวจจับคุณภาพการนอนหลับของคุณ
    • ทำห้องนอนของคุณให้เป็นที่ที่สงบ พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนที่สะอาด ที่นอนนุ่มสบาย และแสงไฟอ่อนๆ
  4. อีกวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการฝึกดูแลร่างกายก็คือการเช็คให้แน่ใจว่าตัวคุณเองได้ตรวจร่างกายของตัวเองแล้ว เมื่อใดก็ตามที่คุณไม่สบาย ให้คุณหยุดเรื่องงานหรือเรื่องที่โรงเรียนเอาไว้ก่อน นัดหมายกับคุณหมอเพื่อเช็คสุขภาพให้สม่ำเสมอ และทานยาตามใบสั่งหรือทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด [9]
    • ให้ใช้เวลาสักช่วงหนึ่งเพื่อยินดีไปกับทุกสิ่งดีๆ ที่ร่างกายทำให้คุณ จำไว้ว่าร่างกายของคุณนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้น ดูแลรักษาร่างกายเอาไว้ดีๆ และใส่ใจกับความรู้สึกทางร่างกายและสังเกตสิ่งที่ร่างกายเรียกร้องอยู่เสมอ
  5. กำหนดตารางเวลาให้ว่างจากภาระหน้าที่ต่างๆ บ้าง ซึ่งการหยุดพักผ่อนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการไปทะเลแบบเดิมทุกๆ ปี เพราะนั่นอาจจะทำให้คุณเครียดได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้น การหยุดพักผ่อนของคุณอาจจะเป็นการหยุดพักในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อออกมาจากช่วงเวลาเคร่งเครียดตลอดทั้งสัปดาห์หรือตลอดทั้งเดือน ตัวอย่างเช่น ปลีกเวลาออกมาเพื่ออยู่อย่างเงียบๆ และเพื่อผ่อนคลายความเครียดสักครึ่งชั่วโมงในทุกๆ วัน โดยให้หาที่สบายๆ ภายในบ้านหรือนอกตัวบ้านเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ [10]
    • หากคุณสามารถออกเดินทางไปที่ไกลๆ ได้ ให้คุณวางแพลนสำหรับการหยุดพักผ่อนครั้งนี้ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการเพิ่มภาระและความตึงเครียดให้กับตัวคุณเอง นอกจากนี้ อย่ากำหนดกิจกรรมที่จะทำให้เยอะจนเกินไป และอย่าเพิ่มภาระให้ตัวเองด้วย
  6. การสัมผัสทางกายนั้นเป็นเหมือนกับการปลอบโยน การทำให้อุ่นใจ และสิ่งที่ช่วยลดความเครียด ดังนั้น ให้คุณกอดเพื่อน หรือไม่ก็คลอเคลียหรือจับมือกับแฟนของตัวเองบ้าง เพราะชิวิตเซ็กส์ก็เป็นอีกสิ่งที่คุณห้ามละเลยเช่นกัน [11]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ฝึกการดูแลตัวเองในด้านอาชีพการงาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เวลาที่คุณเครียด อย่าลืมที่จะหยุดพักแล้วยืนขึ้นเพื่อออกไปเดินรอบๆ และเคลียร์ความคิดต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องงาน และอย่าทำงานในช่วงเวลาพักกลางวัน โดยคุณจะลองลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หรือพูดคุยกับเพื่อร่วมงานเพื่อเติมพลังให้กับตัวคุณเองด้วยก็ได้ นอกจากนี้ ให้คุณพักดื่มน้ำให้สม่ำเสมอด้วย [12]
  2. ให้คุณพยายามสร้างพื้นที่ทำงานที่ทำให้ตัวเองรู้สึกสงบ มีประสิทธิภาพในการทำงาน และมีแรงกระตุ้น วิธีนี้จะช่วยลดภาระเครียดๆ และยังช่วยทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย โดยคุณอาจจะ... [13] [14]
    • ซื้อต้นไม้มาวางไว้ในห้องทำงานของคุณ
    • จัดโต๊ะทำงานไม่ให้รก
    • ทำเก้าอี้ที่ใช้นั่งทำงานให้นั่งสบายและปรับเก้าอี้ให้ดี
    • ใส่หูฟังที่ตัดเสียงรบกวนได้ เพื่อที่จะได้ไม่มีสิ่งรบกวนเวลาที่คุณทำงาน
    • นั่งใกล้กับหน้าต่างเพื่อรับแสงจากธรรมชาติ เพราะแสงจากธรรมชาติย่อมดีกว่าแสงจากหลอดนีออนอยู่แล้ว
  3. เพื่อที่จะมีความสุขไปกับงานที่ทำและลดภาระที่เครียดๆ คุณจะต้องรู้ว่าเวลาไหนที่คุณควรจะเจรจา และเวลาไหนที่ควรจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะสิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองมีพาวเวอร์และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในที่ทำงาน ฉะนั้น อย่ากลัวที่จะพูดเรื่องการเพิ่มค่าเหนื่อยหรือการเลื่อนตำแหน่งให้ตัวเอง และอย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือลูกค้า และให้หาโอกาสเพื่อขอการควบคุมดูแล การปรึกษาหารือ และการฝึกอบรมต่างๆ ด้วย [15]
  4. เพื่อที่จะบาลานซ์ชีวิตการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมและลดความตึงเครียดได้ ให้คุณพยายามหลีกเลี่ยงการนำงานมาทำต่อที่บ้าน ซึ่งนี่ก็หมายถึงว่าให้คุณหลีกเลี่ยงการนำงานในทางกายภาพกลับมาทำที่บ้าน เช่นเดียวกับการหลีกเลี่ยงการคิดถึงเรื่องงานเวลาที่คุณอยู่บ้านด้วย
    • แต่ถ้าหากคุณทำงานที่บ้านอยู่แล้ว ให้คุณกำหนดตารางเวลาไว้สำหรับเรื่องงานโดยเฉพาะ และอย่าปล่อยให้เรื่องานมาแทรกแซงเรื่องที่บ้าน ตัวอย่างเช่น หลังจาก 5 โมงเย็น ให้คุณเลิกเช็คอีเมลหรือตอบสายโทรศัพท์ที่เกี่ยวกับเรื่องงาน แม้ว่าในทางเทคนิคคุณจะว่างคุยก็ตาม ฉะนั้น เวลาที่อยู่บ้าน ให้คุณแยกพื้นที่การทำงานออกจากพื้นที่ส่วนตัวอื่นๆ ให้ได้ [16]
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ปรับปรุงแนวทางการดูแลตัวเองให้ดีขึ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การใส่ใจในความต้องการของตัวเองเป็นอันดับแรกนั้นไม่ใช่การกระทำที่เห็นแก่ตัว เพราะจริงๆ แล้ว คุณจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ หากคุณใส่ใจกับสุขภาพของตัวเอง ทั้งทางจิตใจและทางร่างกายก่อน
  2. บางทีมันก็ยากที่จะขอหรือยอมรับความช่วยเหลือเวลาที่คุณต้องการมัน ซึ่งการที่คุณผลัก “ความหนักหนา” ออกมาอยู่ข้างหน้าคุณเวลาที่คุณรู้สึกเครียด และรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวนั้นมีแต่จะทำให้คุณท้อแท้ ฉะนั้น ให้คุณขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และครอบครัวของตัวเอง [17] ซึ่งการขอความช่วยเหลือจะกลายเป็นสิ่งที่ง่ายมากหากคุณ... [18]
    • ทำลิสต์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่คุณต้องใช้ความช่วยเหลือ
    • หลีกเลี่ยงการขอร้องแบบกำกวม และบอกออกไปแบบตรงประเด็น
    • พิจารณาความสามารถและความสนใจของอีกฝ่ายเวลาที่จะขอความช่วยเหลือจากเขา
  3. รู้จักพูดคำว่า “ไม่” และจำกัดขอบเขตจากคนอื่นบ้าง. เช็คให้แน่ใจว่าตัวคุณเองไม่ได้มัวแต่จะช่วยเหลือคนอื่นอยู่อย่างเดียว เพราะจริงๆ คุณก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง คุณไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ฉะนั้น ให้ฝึกพูดคำว่า “ไม่” กับภาระต่างๆ ที่ดูจะถาโถมเข้ามา และลองพูดคำว่า “ได้เลย” กับโอกาสต่างๆ ที่จะนำพาคุณไปสู่ความสนุกสนานและทำให้คุณได้พบปะกับคนอื่นๆ [19]
    • จำไว้ว่าไม่ต้องขอโทษเวลาที่คุณต้องพูดคำว่า “ไม่” เพราะบ่อยครั้ง เราชอบทำให้ตัวเองเครียดจนเกินไป ฉะนั้น คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษเวลาที่คุณปฏิเสธที่จะทำอะไรบางอย่างที่ดูหนักหนาเกินจนอาจจะส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคุณได้
  4. ทักษะการบริหารเวลาเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยทำให้คุณเครียดน้อยลง และทำงานออกมาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องบาลานซ์ความต้องหลายๆ ด้านในชีวิตคุณให้ได้ เพื่อที่คุณจะได้สามารถดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น [20]
    • จดรายการสิ่งที่ต้องทำ
    • กำหนดตารางเวลาให้เรื่องงานและกิจกรรมส่วนตัวต่างๆ โดยให้เขียนใส่ปฏิทินไว้
    • ตั้งเป้าหมายย่อยๆ ที่มีความชัดเจนและความเป็นไปได้
    • หยุดผัดวันประกันพรุ่ง
    • กำหนดกิจกรรมยามเช้าขึ้นมาสักหนึ่งอย่าง แล้วพยายามทำให้ได้ทุกเช้า
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อาจจะมีบ้างที่คุณจะรู้สึกผิดเวลาที่คุณฝึกการดูแลตัวเอง แต่เราอยากให้คุณตัดความคิดนั้นทิ้งไปซะ! เพราะมันก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ที่คุณจะต้องนึกถึงความต้องการของตัวเองบ้าง คุณจะได้มีความสุขและรู้สึกเติมเต็มในชีวิตได้
  • คอยเขียนบันทึกถึงสิ่งที่คุณรู้สึกยินดีในชีวิตให้สม่ำเสมอ เพราะเนื่องจากมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า การที่เรารู้สึกยินดีต่อสิ่งต่างๆ 10 อย่างในทุกๆ วันนั้นสามารถทำให้เรามีความสุข และยังให้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ได้อีก
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 15,093 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา