ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เคยมีคนมาล้อว่า คุณเป็นพวกอ่อนต่อโลกไหม? คุณเคยตกเป็นเหยื่อของพวกหลอกลวงทางอีเมล์ หรือเผลอสมัครใช้บริการแปลกๆ ทางอินเทอร์เน็ต เพราะไม่กล้าตอบปฏิเสธหรือเปล่า? คุณมักจะตีความหมายคำพูดของคนอื่นผิดใช่ไหม? ถ้าใช่ คุณจะต้องฝึกหัดให้รู้ทันคนอื่นบ้างแล้วล่ะ ไม่ใช่ถูกหลอกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าการรู้จักเชื่อใจผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม คุณก็คงไม่อยากเชื่อใจจนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากหรอก ซึ่งการที่จะรู้ทันคนอื่นได้ คุณต้องหัดคิดอย่างมีวิจารณญาณ และตั้งคำถามให้เป็นด้วย เพื่อจะได้แยกแยะความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลได้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

คิดอย่างมีวิจารณญาณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การหลับหูหลับตาตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ อาจทำให้คุณเสียใจในภายหลัง ซึ่งนี่เป็นแทคติกที่บางคนใช้ในการหลอกล่อให้ผู้อื่นตัดสินใจในบางเรื่องอย่างไม่พิจารณาผลที่จะตามมาให้ดีก่อน เช่น พวกนายหน้าค้าอสังหาฯ พวกเจ้าของกิจการต่างๆ รวมถึงบรรดาหุ้นส่วนทางธุรกิจ การตัดสินใจแบบเฉพาะหน้ามักเป็นการตัดสินใจที่แย่
    • อย่าตัดสินใจจากความเห็นของผู้อื่น เพียงเพราะคุณกลัวว่าตัวเองจะตัดสินใจผิด หากคุณเป็นคนโลเล คนที่หาผลประโยชน์จากคุณจะใช้ตรงนั้นเป็นจุดอ่อนเล่นงานคุณ พวกเขาจะคอยย้ำว่าสิ่งที่พวกเขาบอกน่ะถูกแล้ว จะมัวรออะไรอยู่ แต่หากพวกเขามีทีท่ากลัวหรือแสดงอาการไม่พอใจที่คุณลังเล หรือรอดูความเห็นอื่นๆ และขอค้นคว้าหาคำตอบก่อน รวมถึงเกทับทางเลือกอื่นๆ ของคุณล่ะก็…นั่นคือสัญญาณเตือนแล้ว
    • ระวังกับดัก “รู้งี้” ซึ่งหมายถึงการที่คุณอาจเกิดความกลัวว่า หากไม่คว้าโอกาสหรือลงมือทำเรื่องๆ หนึ่งตอนนี้ คุณอาจจะพลาดโอกาสไปตลอดกาล ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอก
    • จำไว้ว่า คนที่พยายามกดดันคุณให้ตัดสินใจเร็วๆ แทนที่จะให้เวลาคุณหาข้อมูลสักหน่อย พวกเขาทำเช่นนั้นเพราะไม่ต้องการให้คุณมีข้อมูลจากแหล่งอื่น หรือมาเกทับพวกเขาได้ในภายหลังไงล่ะ
  2. แม้ว่าคุณไม่ควรจะเป็นคนมองทุกอย่างในแง่ร้าย เพียงเพราะไม่อยากถูกหลอก แต่หากคุณเป็นคนที่อ่อนต่อโลกอยู่แล้วล่ะก็ คุณควรจะหัดตั้งแง่ให้มากขึ้นสักนิด เวลาที่อยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าพี่ชายคนโตจะเอาเรื่องอะไรมาเล่าให้คุณฟัง หรือมีใครโทรศัพท์มาขายของจะเสนออะไรให้คุณ คุณควรตั้งการ์ดไว้ก่อน และถามตัวเอง รวมถึงคนรอบข้างว่า เรื่องนั้นๆ น่าจะเป็นความจริงหรือเปล่า
    • แน่นอนว่า การทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณรู้สึกมีความสุขในสังคมน้อยลงกว่าการเป็นคนคล้อยตามผู้อื่น แต่มันก็จะช่วยให้คุณไม่ถูกหลอกง่ายๆ อีกต่อไป
    • เมื่อใดก็ตามที่คุณได้รับทราบอะไรใหม่ๆ มา คุณควรจะถามตัวเองว่า แหล่งข้อมูลดังกล่าวมันเชื่อถือได้มากแค่ไหน โอกาสที่จะเป็นเรื่องจริงมากน้อยเพียงใด หรืออีกฝ่ายจะโต้แย้งอย่างไรบ้าง
  3. คุณไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อใจใครเลย เพียงเพราะอยากถูกหลอกน้อยลง แต่ว่าคุณก็ไม่ควรเชื่อใจใครๆ ไปเสียหมดเช่นกัน คุณควรทำความรู้จักกับบางคน และสนิทกับพวกเขาดีพอเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานบางคน หรือว่าที่แฟนคนใหม่ที่คุณกำลังออกเดทด้วย การให้ผู้อื่นพิสูจน์ตัวเองและทำให้คุณเชื่อใจได้เสียก่อน แทนที่จะเชื่อพวกเขาแบบผิวเผิน เป็นปัจจัยสำคัญในการฝึกคิดแบบมีวิจารณญาณ
    • คนที่ถูกหลอกง่ายมักจะเหมาเอาว่าคนอื่นเชื่อใจได้ โดยเฉพาะหากคนนั้นมีอาวุโสหรือดูท่าทางฉลาดกว่า อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้อายุหรืออำนาจของพวกเขามาโน้มน้าวคุณให้เชื่อในเรื่องโกหกได้ จำไว้ว่า ไม่ว่าใครก็ควรที่จะพิสูจน์ตัวเองกับคุณให้ได้ก่อนทั้งนั้น
    • หากคุณเป็นคนเชื่อใจผู้อื่นง่ายเกินไป ผู้อื่นก็จะใช้มันเป็นข้อได้เปรียบ และมาหลอกล่อให้คุณทำสิ่งที่ไม่ดีต่อคุณ
  4. หากคุณไม่ต้องการถูกหลอกง่ายๆ อย่าด่วนสรุปก่อนที่จะรู้ข้อเท็จจริง หากครูที่โรงเรียนคุณหยุดไปหนึ่งวัน อย่าเชื่อว่าครูคนนั้นถูกผอ.ไล่ออก เพียงเพราะเพื่อนสนิทคุณเล่าให้ฟังเช่นนั้น หรือหากหัวหน้างานของคุณทำดีกับคุณเป็นพิเศษ อย่าไปคิดว่าคุณจะได้รับการโปรโมทในเร็ววัน คุณควรหาเวลาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมในทุกเรื่อง ก่อนที่จะตั้งข้อสันนิษฐานอะไร
    • บางคนที่ถูกหลอกง่ายๆ เป็นเพราะพวกเขาขี้เกียจที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือความจริงด้วยตนเองเสียก่อน อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่คุณควรทำ หากไม่ต้องการเป็นเหยื่อ
  5. หากเรื่องไหนมันฟังดูดีเกินกว่าที่จะเป็นความจริง มันก็มักจะไม่จริงนั่นแหละ หากมีนายแบบนางแบบสักคน เข้ามาจีบคุณซึ่งอาจไม่มีอะไรเทียบพวกเขาได้เลย หรือหากมีเพื่อนบางคนมาเสนอแผนการลงทุนที่รับประกันให้ผลตอบแทนคุ้มค่า คุณก็ควรชั่งใจไว้ก่อน ในกรณีที่เจอข้อเสนอ ซึ่งเหมือนกับว่าจะช่วยให้คุณมีความสุขแน่ๆ หากคุณรู้สึกว่าอะไรมันช่างเป็นโอกาสทองของชีวิตเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ส่วนใหญ่มันมักจะเป็นกับดัก [1]
    • ใช้สัจธรรมพูดเตือนตัวเองว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” หากมีใครเสนอผลประโยชน์ให้คุณ รู้ได้เลยว่า คุณต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง ไม่มีใครจู่ๆ มาให้เงินคุณ มอบกระเช้าของขวัญให้คุณ หรือยกที่ดินให้คุณ โดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก
    • ถามตัวเองว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับคนที่มาเสนออย่างไรบ้าง หากมีคนเอาบัตรของขวัญมาให้คุณ อะไรคือสิ่งที่จูงใจพวกเขา เป็นไปได้ไหมที่คนๆ นั้นจะทำด้วยความเมตตาจริงๆ?
  6. ตระหนักว่า การเป็นคนเชื่อใจผู้อื่นก็มีแง่ดีเหมือนกัน. แม้ว่าคุณควรจะฝึกรู้ทันคนอื่นเสมอ แต่การเป็นคนเชื่อใจผู้อื่นก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป นักจริยศาสตร์อย่าง ริชาร์ด ดอว์กิ้นส์ กล่าวว่า การรู้จักเชื่อใจผู้อื่น ทำให้คนเรามีชีวิตรอดมาได้ในวัยเด็ก เพราะมันทำให้เราเชื่อใจผู้ปกครอง เวลาที่พวกเขาบอกเราว่าอย่าไปออกไปข้างนอก เพราะอาจเจอคนน่ากลัวๆ ได้ หรือเวลาที่พวกเขาหลอกเราว่า อย่าไปในป่าคนเดียวเพราะอาจมีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ สิ่งนี้มันช่วยเราได้ในระดับหนึ่งในการทำให้เรารอดชีวิตและเติบโตขึ้นมาได้ [2]
    • ไม่ได้หมายความว่า คุณควรเป็นคนถูกหลอกง่ายต่อไป เพียงแต่คุณไม่ควรตำหนิตัวเองที่เป็นแบบนี้ เพราะเป็นไปได้ว่า ในช่วงที่คุณโตมา นิสัยแบบนี้อาจช่วยชีวิตคุณไว้ก็ได้
  7. อย่าคิดว่ามีหลักฐานอ้างอิงแล้วจะเชื่อถือได้. คนที่ถูกหลอกง่าย มักจะเคยได้ยินข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างมา และเหมาเอาเองว่าเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันต้องเป็นความจริง พยายามอย่าคิดอะไรแบบเหมารวม แต่จงใช้วิจารณญาณในการศึกษาแยกแยะก่อนที่จะตัดสินใจ แม้ว่าเรื่องบางอย่างอาจช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งๆ หนึ่งได้ดีขึ้น หรือเห็นว่ามันมีสถิติอ้างอิง หรือเป็นกระแสที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน คุณก็ไม่ควรยึดถือมันเป็นแหล่งข้อมูลเดียวในการตัดสินใจ
    • ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนคุณพูดว่า “อย่าซื้อรถวอลโว่ พี่สาวฉันซื้อมาแล้วซ่อมบ่อยมาก ซื้อโฟล์คสวาเก้นดีกว่า” นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องจริงสำหรับคนๆ นั้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นกับรถของวอลโว่ทุกคัน
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

หาข้อมูลเพิ่ม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์หนึ่งๆ ให้มากที่สุด จะช่วยให้คุณไม่ถูกหลอกง่ายๆ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล ไม่ว่าคุณจะอ่านมาจากนิตยสาร หรือฟังมาจากพวกคนวงใน คุณควรจะพิจารณาว่า แหล่งข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นทั่วไป หรือได้รับการยอมรับแล้ว รวมถึงคุณเคยถูกแหล่งข้อมูลนี้หลอกมาก่อนด้วยหรือไม่ คุณไม่สามารถเชื่อทุกสิ่งที่ได้อ่านจากหนังสือและอินเทอร์เน็ต ไม่งั้นคุณจะกลายมาเป็นหนึ่งในบรรดาพวกที่เชื่อถือข่าวลือ
    • หากคุณกำลังอ่านข่าวออนไลน์ พยายามหาแหล่งต้นตอของมันก่อน หากเป็นข่าวที่มีต้นสังกัด ลองเช็คดูว่ามันก่อตั้งขึ้นมานานหรือยัง ใครเป็นเจ้าของ ใครเขียน หรือมันได้รับการยอมรับและเป็นทางการหรือไม่ ฯลฯ
    • ตรวจสอบว่าแหล่งข้อมูลนั้นมาจากประสบการณ์ตรงหรือไม่ หากเพื่อนคุณแนะนำคุณว่า ควรจะซื้อรถยี่ห้ออะไร แต่เขากลับยังไม่มีแม้แต่ใบขับขี่ ก็เป็นไปได้มากว่าเขาไม่รู้จริงหรอก
  2. ก่อนที่จะเชื่อหรือตัดสินใจอะไร พยายามหาหลักฐานด้วยตนเองมาสนับสนุนก่อน อย่าเชื่อเพียงเพราะเพื่อนคุณบอกว่ามันเป็นความจริง คุณควรหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ก่อน คุณอาจจะไปห้องสมุดหรือคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าว เพื่อหาคำตอบดูก่อน คนที่ถูกหลอกง่าย มักจะขี้เกียจหา เพราะพวกเขาไม่อยากเหนื่อยเอง และการคล้อยตามไปมันง่ายกว่ากันเยอะ
    • หากคุณกำลังค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาวิชาการ คุณควรหาอ่านวารสารที่มีการรีวิวจากคนในแวดวงเดียวกันก่อน จะได้รู้ว่ามันเชื่อถือได้หรือไม่ คุณไม่ควรเอาข้อมูลเชิงวิชาการมาจากบล็อกส่วนตัวของใคร เว้นแต่ว่าเขาหรือเธอจะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงดังกล่าว
    • ห้องสมุดเป็นที่ๆ คนสมัยนี้มักมองข้าม หากคุณอยากไปห้องสมุดแต่รู้สึกอาย ก็ลองถามบรรณารักษ์ดูก็ได้ว่า จะหาข้อมูลได้ด้วยวิธีใดบ้าง
  3. อีกวิธีหนึ่งจะช่วยไม่ให้ถูกคนอื่นหลอกง่าย ก็คือการยอมรับว่าตัวเองโง่ในบางเรื่อง และยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เหมือนกับคนอื่นๆ ในสังคมนั่นแหละ หากคุณวางฟอร์มทำเป็นรู้ไปหมด และลักจำเอาสิ่งที่ได้ฟังหรืออ่านมา โดยเชื่อไปตามนั้น คุณก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่ได้ท้าทายความเชื่อตัวเองเลย ตัวอย่างเช่น หากยอมรับว่าคุณไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับเรื่องการเมือง คุณก็จะเริ่มเห็นว่าแต่ละฝ่ายไม่ได้พูดความจริงไปเสียทุกเรื่อง เหมือนที่คุณเชื่อในตอนแรก
    • มันเป็นการถ่อมตัวดี ที่คุณยอมรับว่าตัวเองไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง และยังเป็นก้าวแรกในการฝึกคิดแบบมีวิจารณญาณ และตระหนักว่าข้อเท็จจริงบางอย่าง มันเป็นอาจมีอะไรเบื้องหลังซับซ้อนกว่านั้น และซับซ้อนกว่าที่คุณให้เครดิตมันด้วย
    • แม้ว่าคุณควรจะยอมรับกับตัวเองว่าโง่ในบางเรื่อง แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศให้บางคนฟัง เช่น หากคุณกำลังไปเลือกซื้อรถ แต่คุณดันไปบอกคนขายว่า “ชั้นไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องรถหรอก…” คุณก็มีโอกาสถูกคนขายเอาเปรียบได้มากทีเดียว
  4. คนที่รู้จักมองหาข้อมูล มักจะอ่านและศึกษามากกว่าผู้อื่น ไม่ใช่เอาแค่แหล่งข้อมูลเดียวมาอ้างอิง และไม่ได้อ่านจากคนเขียนซ้ำๆ กันทุกเรื่อง พวกเขามักจะตามสืบความจริงด้วยตัวเองเพิ่มเติม ไม่ว่าจะได้ข้อมูลนั้นๆ มาจากบทความทางวิทยาศาสตร์ หรือมาจากนิยายก็ตาม พวกเขาไม่เคยรู้สึกเพียงพอ เพราะรู้ว่ายังมีอะไรที่ให้สืบค้นอีกมาก และแน่วแน่ในการหาคำตอบให้ได้
    • จัดสรรเวลาทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ สำหรับการอ่านโดยเฉพาะ เช่น คุณอาจวางระบบและกำหนดความตั้งใจว่า จะศึกษาหาข้อมูลทุกเรื่องที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ หรือกวีร่วมสมัย หรือจะอ่านอะไรก็ได้ที่คุณสนใจในช่วงเวลานั้น สิ่งสำคัญคือ การพัฒนาความกระหายใคร่ความรู้ และรู้จักตั้งคำถามสิ่งต่างๆ
    • หากใครมีความรู้เยอะและอ่านเยอะ คนๆ นั้นมักจะไม่ค่อยหลอกคุณ หรือโกหกให้คุณต้องลำบากหรอก
  5. หากคุณไม่ต้องการถูกหลอกง่ายๆ สิ่งหนึ่งที่ควรทำก็คือ การถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเลือกซื้อรถใหม่ บ้านใหม่ หรือมีใครมาแนะนำวิธีย้อมผมให้คุณ มันสำคัญมากที่จะหาข้อมูลเพิ่ม ก่อนที่จะตัดสินใจหรือเชื่อไปตามนั้น หลายคนๆ ไม่กล้าถาม เพียงเพราะไม่อยากยอมรับ หรือถูกมองว่าตัวเองโง่ แต่มันเป็นวิธีที่คุณจะรู้ทันคนอื่นมากขึ้น และไม่ถูกหลอกง่าย
    • นอกจากนี้ หากคนอื่นเห็นว่าคุณเป็นคนช่างถาม พวกเขาก็มักจะไม่กล้าหลอกหรือโน้มน้าวอะไรคุณ
    • เวลาอยู่ในชั้นเรียน หากคุณถามจุกจิกมากไป ครูผู้สอนก็อาจจะถูกรบกวนได้ พยายามถามเฉพาะเรื่องสำคัญหลักๆ และเก็บที่เหลือไว้ถามตอนหลังเลิกเรียนก็ได้
  6. หากคุณอยากเป็นคนมีวิจารณญาณ หรือมองสถานการณ์ได้ทะลุ คุณก็ไม่ควรจะรับเอาข้อมูลมาจากแหล่งเดียว แน่นอนว่า เพื่อนคุณอาจจะเกือบทำให้คุณเชื่อได้แล้วว่า จะทำขนมเค้กยังไง หรือจะเดาะบอลวิธีไหนดีที่สุด แต่คุณก็ควรจะถามคนอื่นๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มด้วย หากคุณชอบด่วนเชื่อใน “ข้อเท็จจริง” จากคนๆ เดียว แทนที่จะถามความเห็นผู้อื่นก่อน คุณก็มักจะถูกหลอกได้ง่าย
    • การอ่านข่าวก็เช่นเดียวกัน พยายามอย่าอ่านจากแหล่งเดียว ไม่งั้นความคิดของคุณอาจถูกชี้นำได้ พยายามอ่านสัก 2-3 แหล่ง จะได้ไม่ถูกหลอก หรือเชื่ออะไรง่ายๆ ว่าเป็นความจริงทั้งหมด
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

หลีกเลี่ยงเล่ห์เหลี่ยมและอุบาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คนที่ถูกหลอกง่ายบางคน เป็นพวกไม่กล้าปฏิเสธเพราะขี้เกรงใจหรือสุภาพเกินไป บางคนถูกสอนว่า อย่าทำร้ายจิตใจผู้อื่น และการปฏิเสธเป็นการเสียมารยาท บางคนถูกสอนให้เชื่อใจผู้อื่น ซึ่งการปฏิเสธมันแสดงถึงสิ่งตรงข้าม อย่างไรก็ดี หากคุณไม่ต้องการสิ่งใด มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะปฏิเสธบางเรื่องอย่างสุภาพและเหมาะสม โดยเฉพาะกับพวกเซลแมนหรือคนแปลกหน้า
    • บางคนอาจใช้จุดอ่อนของการที่คุณอยากทำตัวเป็นคนดี มาตำหนิคุณเมื่อคุณตอบปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น พวกเสือผู้หญิง ที่พยายามทำให้ผู้หญิงบางคนรู้สึกผิด ที่ไม่ยอมมีอะไรกับพวกเขา
    • หากคุณรู้สึกว่า มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล การระวังตัวไว้ก่อน ย่อมดีกว่าการถูกหลอก
    • แน่นอนว่า การวิตกจริตมากเกินไป หรือคิดว่าจะมีใครมาหลอกหรือทำร้ายคุณอยู่เสมอ อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนถูกหลอกง่าย คุณควรจะวิตกมากๆ ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลัง
    • หากบางคนพยายามเสนอขายอะไรแก่คุณ คุณควรระวังอย่าตอบตกลงง่ายเกินไป ถามตัวเองก่อนว่า ต้องการสินค้าชิ้นนั้นจริงๆ หรือไม่ หรือมันมีข้อเสนอดีจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงเพราะคุณกลัวที่จะปฏิเสธ ไม่อยากให้คนขายผิดหวัง
  2. หากคุณไม่อยากถูกใครหลอกง่ายๆ ก็เลิกเชื่อพวกข่าวลือหรือคำบอกเล่าต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับดาราคนดัง หรือยัยแว่นคนนั้นที่โรงเรียน เว้นแต่ว่า คุณจะได้รับข้อมูลทางตรงมาเอง ไม่งั้นแล้วส่วนใหญ่มักเกิดจากความอิจฉา ความเบื่อ หรือเกิดจากพวกจ้องทำลายผู้อื่น ซึ่งเรื่องจากปากคนพวกนี้ มักไม่จริง พยายามคิดแบบตั้งแง่กับพวกข่าวลือเอาไว้ก่อนว่า มันไม่ใช่ความจริง แทนที่จะสรุปว่ามันเป็นความจริงทันที
    • ลองคิดดูสิ หากมีคนปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับคุณ คุณก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกันใช่ไหม พยายามอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ และรู้ไว้เลยว่า ข่าวลือก็คือข่าวลือ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
    • หากคุณมักทำให้ผู้อื่นเห็นว่าเชื่ออะไรง่ายๆ คนอื่นก็มักจะเห็นคุณเป็นเหยื่อ เอาไว้ปล่อยข่าวลือแกล้งคุณ
  3. ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ เพื่อนๆ หรือคนข้างบ้านก็ตาม หากพวกเขาเคยหลอกคุณมาก่อน คุณก็ควรจะตั้งแง่ไว้เลยนับจากนี้ไป เวลาที่พวกเขามาบอกอะไรคุณอีก ต่อให้สิ่งที่เขาเคยหลอกคุณ อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันก็ย่อมหมายความว่า พวกเขาจะอาจจะหลอกคุณอีกได้เสมอ หากคนๆ นั้นชอบหลอกหรืออำคุณ เขาหรือเธอมักจะทำให้คนอื่นเห็นเพื่อความสะใจ ดังนั้น หากครั้งต่อไปพี่ชายคุณเดินมาพร้อมเพื่อนๆ ของเขา พร้อมกับรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ล่ะก็ พยายามตั้งกำแพงเอาไว้ก่อน
    • จำไว้ว่า มันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการไว้ใจใครสักคน หากใครเคยหลอกคุณมาก่อน คุณก็ไม่ควรเชื่อใจคนนั้นเร็วเกินไป
    • หากใครดูพยายามหว่านล้อมคุณในเรื่องไร้สาระจนผิดปกติ คุณควรกลอกตาและแกล้งหัวเราะ “ฮ่าๆ” เพื่อให้พวกเขารู้ว่า คุณไม่ได้ถูกหลอกง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว
  4. โดยทั่วไปแล้ว หากมีคนส่งเมลมาขอเงิน หรืออ้างว่าเป็นญาติพี่น้องที่จากไปนาน หรือหลอกให้คุณกดปุ่มนั่นนี่เพื่อให้ชิงหรือเอาไปแลกรางวัล พวกนั้นมักหวังว่าคุณจะโง่พอที่จะทำตาม หากคุณเจออีเมลพวกนั้นในโฟลเดอร์ขยะหรือสแปมล่ะก็ ลบมันทิ้งไปเลยก็ดี จะได้ไม่โดนหลอก บางคนอาจใช้วิธีเล่าเรื่องเศร้าเพื่อขอเงินจากคุณ แต่คุณไม่ควรตกหลุมพรางทางอีเมลเหล่านั้น
    • หากคุณได้รับอีเมลแจ้งว่า คุณได้เงินรางวัลสำหรับการแข่งขันใดๆ ที่คุณไม่ได้สมัครไว้ ก็ย้ายมันไว้ในโฟลเดอร์ขยะได้เลย คนส่วนใหญ่มักหลอกตัวเองว่า อาจได้ลาภก้อนใหญ่โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่จริงแล้วๆ เรื่องโชคดีแบบนั้นแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ
  5. อีกสาเหตุหนึ่งที่หลายคนมักถูกล่อหลอก คือ พวกเขามักถูกดูดเข้าไปอยู่ในโลกของเซลขายของบางคน เวลาที่สนทนากัน ไม่ว่าจะเป็นเซลเคาะตามบ้าน หรือในห้างสรรพสินค้าก็ตาม คุณควรจะเรียนรู้วิธีการปลีกตัวอย่างสุภาพ แต่ยืนกรานหนักแน่นว่าไม่สนใจ และหลีกเลี่ยงการให้อีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลส่วนตัวใดๆ เพื่อใช้สมัครหรือลงทะเบียน พยายามแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังรีบไป ไม่มีเวลาฟัง และคุณไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรใครง่ายๆ ด้วย
    • แม้ว่าเซลบางคนอาจไม่ได้มีนิสัยชอบหลอกล่อโดยสันดาน แต่คุณก็อาจจะคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว หากมัวแต่ฟังคำบรรยายสรรพคุณสินค้านั้นๆ ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้สนใจแต่แรก
  6. พยายามใส่ใจภาษากายของคนอ่าน จะช่วยให้คุณรู้ได้ว่าคนๆ นั้นกำลังพยายามหลอกอะไรคุณหรือไม่ หากเขาหรือเธอแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ มองไปทางอื่น หรือแม้แต่มีท่าทีกระตือรือร้นผิดปกติ พวกเขาอาจกำลังหลอกลวงคุณ หากใครดูท่าทางจริงจังขึงขัง แต่เวลาพวกเขาหันไปทางอื่น มันดูเหมือนพวกเขาพยายามกลั้นหัวเราะล่ะก็ พวกเขาอาจกำลังหลอกคุณเช่นเช่นกัน หากใครมาบอกอะไรคุณ แต่ไม่ยอมสบตาคุณ พวกเขาอาจกำลังโกหกคุณอยู่ก็ได้
    • อีกวิธีหนึ่งที่จะบอกได้ว่า ใครกำลังโกหกคุณหรือไม่นั้น ก็จากน้ำเสียงของพวกเขาว่ามั่นใจแค่ไหน แม้ว่าพวกช่ำชองอาจจะพูดจาเหมือนคนปกติได้ แต่พวกมือใหม่อาจจะตะกุกตะกักหรือพูด “เอ่อ…” หรือ “อ่า…” มากจนผิดสังเกต เวลาที่พวกเขาพยายามบอกบางสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริงแก่คุณ
    • ดูปฏิกิริยาของพวกเขา เวลาที่คุณซักถาม หากพวกเขากำลังโกหก พวกเขามักจะรู้สึกสะดุ้ง กลัว หรือสร้างกำแพงขึ้นมาทันที
  7. วันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่เลวร้ายที่สุด สำหรับคนที่ถูกหลอกง่าย หากคุณตื่นมาในวันนี้ พยายามตั้งแง่เอาไว้ก่อนว่า คุณต้องถูกคนอื่นๆ หลอกให้เชื่อเรื่องไร้สาระบางอย่างแน่ๆ ลองฟังสิ่งที่เพื่อนๆ พี่ๆ หรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ของคุณบอก โดยใช้ความคิดสักนิดและพยายามอย่ามองอะไรตื้นๆ ในวันดังกล่าวนี้ แม้ว่าคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้คิดแกล้งคุณ แต่คุณคงไม่อยากเจอตะโกนใส่หน้าว่า “เอพริลส์ฟูล!” (“April’s fool”) หรือทำให้ตัวเองขายหน้าเพียงเพราะเชื่อในเล่ห์เหลี่ยมกระจอกๆ หรอกนะ
    • พยายามฟังหูไว้หูเกี่ยวกับข่าวต่างๆ ในวันดังกล่าวนี้ด้วย หนังสือพิมพ์บางฉบับมักเล่นกับเค้าด้วยเหมือนกัน ดังนั้น อย่าหลงไปโพสต์ข่าวลวงให้เพื่อนๆ หรือคนในเฟสบุ๊คอ่านกัน โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังโดนหลอกตะหากล่ะ
    • วันนี้ควรจะเป็นวันที่คุณเอาคืนคนที่เคยหลอกคุณ โดยแกล้งหลอกพวกเขาให้สาสมแก่ใจ!
    โฆษณา

เข้าใจ "ความจริงบางอย่างของชีวิต"

  1. การเป็นคนไร้เดียงสาหรือหัวอ่อน ไม่ได้ช่วยให้คุณรอดจากการถูกคนอื่นเอาเปรียบ หากคุณยังเป็นหนุ่มสาว หรือไม่ค่อนทันโลกทันสังคม มันจะดีมาก หากรู้จักสอบถามผู้รู้ก่อนที่จะทำการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ
  2. ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ลาภลอย” หรอก หากใครมาบอกว่ามีวิธีทำเงินของคุณให้งอกเงยได้อย่างรวดเร็ว หรือมีกำไรงาม พวกเขามักกำลังโกหก และเป็นไปได้สูงว่า คุณจะไม่ได้รับเงินคืนด้วย การลงทุนอาจทำให้เกิดผลกำไรงามได้จริง แต่ยิ่งเสี่ยงมาก โอกาสขาดทุนก็ยิ่งมาก
  3. ระวังคนที่คุณไว้ใจมากเกินไป เรื่องเศร้าคือ คนพวกนี้แหละที่มีโอกาสหลอกใช้ ทรยศ หักหลัง หรือนอกใจคุณได้มากที่สุด การถูกหลอกเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย


เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 31,322 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา