PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการยกระดับความปลอดภัยให้แก่บัญชีผู้ใช้ อุปกรณ์พกพา Firewall คอมพิวเตอร์ และข้อมูลในเครือข่ายให้คุณเอง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ป้องกันคนแฮกบัญชีผู้ใช้

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. รหัสผ่านของบัญชีผู้ใช้ในแอพหรือเว็บต่างๆ ต้องผสมกันระหว่างตัวเลข ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็ก และอักขระพิเศษ ให้ยากต่อการคาดเดา
    • อย่าใช้รหัสผ่านเดียวทุกบัญชี จะได้กระจายความเสี่ยง เผื่อบัญชีไหนถูกแฮกไป [1]
  2. เอาไว้เก็บและใส่รหัสผ่านของบัญชีต่างๆ อัตโนมัติ คราวนี้อยากตั้งรหัสผ่านโหดหินแค่ไหนก็ตามสะดวก เพราะไม่ต้องมานั่งกรอกรหัสผ่านทุกครั้งไป ถึงคุณเองควรจะจำรหัสผ่านของแต่ละบัญชีไว้บ้าง แต่ password manager จะช่วยให้อุปกรณ์ของคุณปลอดภัยขึ้นอีกระดับแน่นอน
    • password manager ที่คนนิยมใช้กันก็เช่น "Dashlane 4", "LastPass 4.0 Premium", "Sticky Password Premium" และ "LogMeOnce Ultimate"
    • เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะมี password manager ในตัว ใช้เก็บและใส่รหัสผ่านให้คุณอัตโนมัติ
  3. อันนี้ใครๆ ก็รู้ แต่ขอเตือนอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ถ้าไม่ใช่คอมโรงเรียนละก็ อย่าไปเชื่อถ้าแอดมินของเว็บไหนถามรหัสผ่านของคุณเวลาขอความช่วยเหลือ [2]
    • รวมถึงเจ้าหน้าที่แผนก IT และเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่วยเหลือของ Microsoft กับ Apple ด้วย
    • นอกจากนี้ที่ห้ามบอกคนอื่นอีกอย่างคือ PIN หรือ passcode ของมือถือหรือแท็บเล็ต ถ้าเผลอบอกเพื่อนไป ระวังเพื่อนเผลอไปบอกคนอื่นอีกทีจะยุ่ง
    • ถ้ามีเหตุจำเป็นให้ต้องบอกรหัสผ่านกับคนอื่นจริงๆ ให้รีบเปลี่ยนทันทีที่ใครคนนั้นเสร็จธุระกับบัญชีของคุณ
  4. นอกจากห้ามบอกรหัสผ่านกับใครแล้ว ยังต้องเปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นประจำ อย่างน้อยทุก 6 เดือน
    • อย่าใช้รหัสผ่านเดิมซ้ำสอง (เช่น รหัสผ่าน Facebook ก็ต้องเป็นคนละอันกับรหัสผ่านบัญชีธนาคาร เป็นต้น)
    • ตอนเปลี่ยนรหัสผ่านต้องให้ไม่เหลือเค้าเดิม อย่าเปลี่ยนแค่บางตัวเลขหรือตัวอักษร
  5. two-factor identification คือนอกจากใส่ username กับรหัสผ่านแล้ว ต้องใส่โค้ดที่ได้ทาง SMS หรือช่องทางอื่นๆ ด้วย ถึงจะล็อกอินเข้าบัญชีได้ ทำให้แฮกข้อมูลยากขึ้นอีก ถึงรู้รหัสผ่านแล้วก็เข้าถึงบัญชีไม่ได้
    • เว็บดังๆ และโซเชียลมีเดียที่คนนิยมใช้กันส่วนใหญ่ จะมี two-factor authentication ให้เลือกใช้ ยังไงลองเข้า settings ของบัญชีดู ว่าจะเปิดฟีเจอร์นี้ได้ตรงไหน
    • ใครมีบัญชี Google ก็ทำได้
    • แอพดังๆ นอกจากส่งโค้ดทาง SMS แล้ว ยังมี Google Authenticator และ Microsoft Authenticator ให้ใช้กันด้วย
  6. หลีกเลี่ยงการใช้คำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามเพื่อความปลอดภัย. เวลาตั้งคำถามเพื่อความปลอดภัย อย่าตอบด้วยคำตอบที่ถูกต้อง แฮคเกอร์สามารถหานามสกุลก่อนแต่งงานของแม่คุณหรือถนนที่คุณเกิดได้อย่างง่ายดาย ให้ตอบผิดๆ เสีย หรือเข้าท่ากว่านั้นให้ตอบแบบรหัสไปเลย โดยไม่เกี่ยวกับคำถามอย่างสิ้นเชิง
    • เช่น สำหรับคำถามเพื่อความปลอดภัยที่ว่า "นามสกุลก่อนแต่งงานของแม่คุณคืออะไร?" ให้ตอบไปว่า "สัปปะรด"
      • จะดีขึ้นไปอีก ถ้าคุณสุ่มเลือกตัวเลข ตัวอักษร และสัญลักษณ์มารวมกัน อย่าง "Ig690HT7@"
    • คุณอาจต้องจดคำตอบสำหรับคำถามเพื่อความปลอดภัยและเก็บในที่ปลอดภัย เพื่อจะสามารถกู้บัญชีเวลาลืมคำตอบได้
  7. เว็บไหนที่ให้คุณกรอกข้อมูล ต้องมี privacy policy ที่บอกรายละเอียดว่าจะเอาข้อมูลนั้นไปใช้อย่างไร และจะเอาไปเผยแพร่ต่อให้ใครหรือเปล่า [3]
    • คนส่วนใหญ่จะคลิกผ่านไปโดยไม่เสียเวลาอ่าน privacy policy ก็ "ยาววววววว" ซะขนาดนั้น แต่บอกเลยว่าลองอ่านผ่านๆ ดูสักนิด อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าเขาเอาข้อมูลเราไปทำอะไร ถือว่าทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
    • ถ้ามีข้อมูลไหนใน privacy policy ที่คุณไม่เห็นด้วย หรือไม่สบายใจ คงต้องใช้วิจารณญาณ ว่าจะแชร์ข้อมูลให้เว็บนั้นหรือเปล่า
  8. แค่ปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์บางทีก็ไม่พอ เพราะงั้นต้องคลิก (หรือแตะ) ที่ชื่อบัญชีตัวเอง แล้วเลือก Log Out (หรือบางเว็บก็เป็น Sign Out ) ทุกครั้ง เพื่อลงชื่อออกจากบัญชีนั้น ไม่ให้ข้อมูลล็อกอินของคุณค้างอยู่
  9. ต้องเช็คให้ดีว่าเป็นเว็บจริง แล้วค่อยใส่รหัสผ่าน. พวก phishing scams หรือมิจฉาชีพ มักปลอมหน้าล็อกอินของโซเชียลมีเดียหรือธนาคาร วิธีนี้แหละที่คนโดนแฮกกันบ่อยๆ ถ้าอยากจับผิดเว็บปลอม ต้องรู้จักสังเกต URL ถ้าเหมือนจะใช่ (แต่ไม่ใช่) URL ของเว็บนั้น (เช่น "Faecbook" แทน "Facebook") แสดงว่ามิจฉาชีพแน่นอน [4]
    • ต้องล็อกอินกับเว็บจริงเท่านั้น เช่น พิมพ์ url ของเว็บ Twitter เอง แล้วค่อยล็อกอิน อย่าเข้าจากลิงค์อื่น โดยเฉพาะที่ส่งมาในอีเมล ที่สำคัญห้ามล็อกอินตามเว็บที่บอกให้กรอกข้อมูลก่อนแล้วถึงจะแชร์บทความหรือดาวน์โหลดไฟล์ได้
    • แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่น มหาวิทยาลัยที่ใช้อีเมลของเว็บอื่น (เช่น Gmail) ในหน้า home ของตัวเอง
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ป้องกันคนแฮกมือถือ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. รหัสผ่านที่แข็งแรงแน่นหนาและการเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่บ่อยๆ นี่แหละด่านแรกที่สำคัญในการป้องกันคนเข้าถึงหรือขโมยข้อมูลของคุณ
    • ต้องเปลี่ยน passcode ไปเลย อย่าเปลี่ยนแค่เลขหลักเดียว
    • ในมือถือส่วนใหญ่คุณเลือกใช้ "complex" หรือ "advanced" password ได้ แบบนี้จะมีตัวอักษรกับอักขระพิเศษเข้ามาผสมด้วย
    • หลีกเลี่ยงการใช้ Touch ID หรือพวกที่ใช้ลายนิ้วมือพิสูจน์ตัวตน แม้จะดูน่าปลอดภัยกว่า passcode แต่จริงแล้วมันแฮกได้ง่ายกว่าเพราะแฮคเกอร์สามารถจำลองลายนิ้่วมือของคุณด้วยพรินเตอร์ [5] ลายนิ่้วมือก็ไม่ได้รับการคุ้มกันจากบัญญัติในรัฐธรรมนูญข้อที่ 5 ในขณะที่ passcodes ได้รับ [6]
  2. ไม่ว่าจะแอพ Facebook ในมือถือหรือระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์ ถ้ามีอัพเดทใหม่เมื่อไหร่ให้รีบทำ
    • อัพเดทส่วนใหญ่จะเป็น patch ใหม่ไว้แก้บั๊กและอุดช่องโหว่เพื่อความปลอดภัย ถ้าไม่อัพเดท ไวรัสหรือแฮกเกอร์จะอาศัยช่องโหว่พวกนี้ เจาะระบบเข้ามาขโมยข้อมูลของคุณได้
    • ถ้ามีตัวเลือกให้ดาวน์โหลดอัพเดททั้งหมดอัตโนมัติ ก็ใช้ฟีเจอร์นั้นเลย จะได้ไม่เสียเวลามานั่งอัพเดทที่ละอย่าง
  3. ทั้งพอร์ทที่คอมและในรถ (ถ้ามี) ระวังพอร์ท USB สาธารณะ เช่น ตามร้านกาแฟ ห้าง หรือสนามบิน พวกนี้เสี่ยงข้อมูลรั่วไหลมาก
    • เพราะแบบนี้นอกจากสายชาร์จแล้วคุณจึงควรนำพาวเวอร์แบงค์หรือปลั๊กไปเองด้วยเวลาเดินทาง
  4. อย่า jailbreak (หรือ root) มือถือ หรือดาวน์โหลดแอพนอก store. ทั้ง iPhone และ Android จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ bypass ผ่านไปได้ด้วยการ jailbreak (iPhone) หรือ root (Android) แต่พอทำแล้วก็เท่ากับเปิดช่องโหว่ให้มือถือโดนแฮกข้อมูลหรือติดไวรัส ทั้งที่แต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้การดาวน์โหลดแอพจากแหล่งอื่นที่ไม่น่าเชื่อถือ (แอพ "side-load") ก็ทำให้อุปกรณ์คุณเสี่ยงติด malware เช่นกัน
    • มือถือ Android จะมี security suite ในตัว ป้องกันไม่ให้คุณไปดาวน์โหลดแอพจากแหล่งอื่น ถ้าไปปิดตัวเลือกนี้ (ใน tab Security ของ Settings) ก็ต้องระวังเองเวลาจะไปดาวน์โหลดมาจากเว็บไหน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ป้องกันคนแฮกคอมพิวเตอร์

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าเข้ารหัสฮาร์ดไดรฟ์แล้ว แฮกเกอร์จะไม่มีโอกาสเปิดดูข้อมูลในคอมเลยถึงจะเข้าถึงได้แล้วก็เถอะ ถ้าวิธีอื่นช่วยป้องกันไม่ให้ใครเจาะเข้าคอมได้ การเข้ารหัสก็เป็นการปกป้องอีกชั้นไม่ให้เขาเปิดดูข้อมูลได้
    • Mac - FileVault ใช้เข้ารหัสข้อมูลใน Mac เปิดได้โดยคลิกไอคอน Apple ที่มุมซ้ายบนของหน้าจอ คลิก System Preferences คลิกไอคอน Security & Privacy คลิก tab FileVault แล้วคลิก Turn On FileVault อาจจะต้องคลิกไอคอนรูปแม่กุญแจก่อน ถึงค่อยป้อนรหัสผ่านแอดมินของ Mac [7]
    • Windows - ตามค่า default Windows จะใช้ BitLocker ในการเข้ารหัสข้อมูล คุณเปิดได้โดยพิมพ์ "bitlocker" ในแถบค้นหาของ Start คลิก "Bitlocker Drive Encryption" แล้วคลิก Turn on BitLocker ถ้าเป็น Windows 10 Home จะยังใช้ BitLocker ไม่ได้ จนกว่าจะอัพเกรดเป็น Windows 10 Pro ก่อน
  2. นอกจากอัพเกรดแล้ว การติดตั้งอัพเดทใหม่ของระบบเรื่อยๆ ก็ช่วยให้คอมปลอดภัยยิ่งขึ้น [8]
  3. ถึงจะป้องกันอย่างดีที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ใช่จะไม่มีโอกาสที่ข้อมูลจะรั่วไหล ทั้งด้วยการแฮก หรือคอมเสียจนกู้ข้อมูลคืนไม่ได้ เพราะงั้นให้หมั่น backup ข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เสียข้อมูลไหนไป
    • คุณ backup ข้อมูลเข้าเว็บในระบบ cloud ก็ได้ แต่ต้องอ่านเงื่อนไขการใช้งานดีๆ ก่อนเลือกใช้ แน่นอนว่าหลายคนเลือกที่ราคาถูก แต่จริงๆ ต้องพิจารณาเว็บที่ข้อมูลจะปลอดภัยที่สุด
    • หรือใช้ external hard drive แบบเข้ารหัส backup ข้อมูลไว้ โดยกำหนดให้คอม backup อัตโนมัติทุกวัน ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน
  4. อย่าคลิกลิงก์ที่ไม่รู้แน่ว่าคืออะไร และไม่ตอบอีเมลคนแปลกหน้า. ถ้าอยู่ๆ ได้อีเมลไม่พึงประสงค์ หรืออีเมลจากผู้ส่งที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ถือว่าเสี่ยงถูกแฮกมาก ห้ามคลิกลิงก์ไหนหรือให้ข้อมูลส่วนตัวกับผู้ส่งอีเมลนั้นเด็ดขาด
    • แค่ตอบอีเมลก็เท่ากับบอกให้ผู้ส่งรู้แล้วว่าคุณยังใช้อีเมลนี้อยู่ เป็นอีเมลถูกต้อง มีเจ้าของ ถึงจะบอกว่าอีเมลไป "ด่า" แต่บอกเลยว่ามิจฉาชีพพวกนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว คุณอาจเผลอคุยต่อไปจนเผยเรื่องส่วนตัวที่เขาใช้มาแฮกคุณได้
  5. ทั้ง Windows และ Mac จะมี firewall ให้ใช้กันอยู่แล้ว เอาไว้ป้องกันไม่ให้ใครแฮกเข้าเครื่องคุณ แต่ปกติค่า default ของคอมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิด firewall ไว้
    • เข้า security settings ของคอม แล้วมองหา "firewall" settings จากนั้นเปิดใช้งาน ให้แน่ใจว่าจะบล็อกการเชื่อมต่อที่คุณไม่อนุญาต
    • ถ้ามีสัญญาณ Wi-Fi (wireless network) เราเตอร์ก็ต้องใช้ firewall ด้วย
  6. ถ้าคอมเปิดฟีเจอร์นี้ไว้ ผู้ใช้ก็ต้องใส่รหัสผ่านก่อนรีบูทจาก disk หรือเข้า single-user mode ซึ่งแฮกเกอร์จะข้าม firmware password นี้ไปไม่ได้ เว้นแต่มีเครื่องคอมที่คุณใช้อยู่จริงๆ จุดสำคัญคือคุณอย่าลืมรหัสผ่านนี้ซะเอง เพราะบอกเลยว่ารีเซ็ตยากมาก วิธีตั้ง firmware password ก็คือ
    • Mac - รีสตาร์ท แล้วกด Command กับ R ค้างไว้ตอนบูทเครื่อง คลิก Utilities คลิก Firmware Password Utility คลิก Turn On Firmware Password แล้วตั้งรหัสผ่าน
    • Windows - รีสตาร์ท แล้วกดปุ่ม BIOS ค้างไว้ (ปกติคือ Esc , F1 , F2 , F8 , F10 หรือ Del ) ตอนคอมกำลังบูท จากนั้นกดปุ่มลูกศรเพื่อเลือกตัวเลือกรหัสผ่าน จากนั้นตั้งรหัสผ่าน
  7. อาจมีเหตุให้คุณต้องเข้าใช้งานคอมจากระยะไกล หรือให้ช่างเข้าใช้งานเพื่อช่วยซ่อมคอมบ้าง แต่ปกติขอให้ปิดไว้ตามค่า default แล้วเปิดเฉพาะช่วงสั้นๆ ที่ต้องใช้จริงๆ
    • ถ้าเปิด remote access ไว้ตลอด ก็เท่ากับเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาค้นและขโมยข้อมูลตามสะดวก ยังไงอย่างงั้นเลย
  8. เพราะจะคอยสแกนดักจับและกำจัดไฟล์และโปรแกรมที่อาจเป็นอันตรายได้ทันทีที่ดาวน์โหลด Windows Defender นี่แหละแนะนำสำหรับคนใช้ PC ปกติจะมาพร้อมกับ Windows 10 อยู่แล้ว ส่วน Mac แนะนำ AVG หรือ McAfee นอกจาก Gatekeeper ที่เป็นโปรแกรมตามค่า default อยู่แล้ว [9]
    • นอกจากนี้ต้องเช็คให้แน่ใจว่าโปรแกรม firewall และฟังก์ชั่น Bluetooth ของคอมจะอนุญาตเฉพาะการเชื่อมต่อที่รู้จักและปลอดภัยเท่านั้น
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ป้องกันคนแฮกสัญญาณอินเทอร์เน็ต

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. พูดง่ายๆ ก็คือสัญญาณเน็ตที่ต้องกรอกรหัสผ่านก่อนถึงจะเชื่อมต่อและใช้งานได้ ในบางสถานที่ (เช่น สนามบินหรือร้านกาแฟ) คุณจะได้รหัสผ่านก็ต่อเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการ
    • ถ้าสัญญาณ Wi-Fi เป็นแบบไม่ต้องใส่รหัสผ่าน คอมจะบอกก่อนเชื่อมต่อ ในบางระบบปฏิบัติการจะมีเครื่องหมายตกใจขึ้นเด่นเป็นสง่าข้างชื่อสัญญาณเลย
    • ถ้าต้องใช้เน็ตแต่ไม่มีสัญญาณแบบเข้ารหัส ให้เปลี่ยนรหัสผ่านต่างๆ ทันทีหลังต่อเน็ตแบบเข้ารหัส
    • ถ้าที่บ้านมี Wi-Fi ต้องแน่ใจว่าเป็นแบบเข้ารหัส มีการรักษาความปลอดภัย บอกเลยว่าตอนซื้อมา เราเตอร์จะยังไม่มีการเข้ารหัส ต้องตั้งเองทีหลัง
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Chiara Corsaro

    ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์
    ชิอาร่า คอร์ซาโรเป็นผู้จัดการทั่วไปและช่างซ่อม Mac & iOS ที่ได้ใบรับรองจาก Apple ให้กับ macVolks, Inc. ตัวแทนของ Apple ในซานฟรานซิสโก macVolks, Inc. ตั้งขึ้นในปี 1990 ได้รับการให้เครดิตจาก Better Business Bureau (BBB) ด้วยเรท A+ และเป็นส่วนหนึ่งของ the Apple Consultants Network (ACN)
    Chiara Corsaro
    ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์

    ผู้เชี่ยวชาญของเราเห็นด้วย: ถ้าจะให้คอมพิวเตอร์ปลอดภัย ให้แน่ใจว่าได้เชื่อมเครือข่ายที่ปลอดภัยเสมอเวลาใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ใช่เครือข่ายสาธารณะ นั่นเป๋นสาเหตุที่จะโดนล้วงข้อมูลได้มากที่สุด

  2. ดาวน์โหลดโปรแกรมจาก เว็บดังที่เชื่อถือได้เท่านั้น . ห้ามดาวน์โหลดตอนที่เชื่อมต่อแบบไม่เข้ารหัสด้วย ถ้าเว็บไหนไม่มีไอคอนรูปแม่กุญแจทางซ้ายของ URL กับ "HTTPS" หน้า "www" ใน URL ก็อย่าเข้า (หรือดาวน์โหลดอะไร) เลยดีกว่า
  3. นอกจากไม่เข้าเว็บที่ไม่มี "HTTPS" กับไอคอนแม่กุญแจหน้า URL แล้ว ต้องเช็คซ้ำด้วยว่า URL ของเว็บถูกต้องหรือยัง แล้วค่อยกรอกรหัสผ่าน บางเว็บจะปลอมเป็นเว็บดังเพื่อขโมยข้อมูลล็อกอินของคุณ (ก็คือ phishing scam) คุณจับสังเกตได้ว่ามักมีตัวอักษรเกินมา (หรือขาดหายไป) มีขีดกลางระหว่างคำ หรือสัญลักษณ์พิเศษ
    • เช่น เว็บปลอมของ Facebook จะใช้ URL faceboook.com แทน
    • เว็บที่มีขีดกลางระหว่างชื่อเว็บแต่ละคำ (ชื่อเว็บจะอยู่ระหว่าง "www" กับ ".com") ก็น่าสงสัยเหมือนกัน
  4. เว็บแชร์ไฟล์ส่วนใหญ่มักโฮสต์ไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ แถมเต็มไปด้วยแฮกเกอร์ คุณอาจจะคิดว่าคุณกำลังดาวน์โหลดเพลงล่ามาแรงหรือหนังใหม่ชนโรง แต่จริงๆ แล้วกลายเป็นไฟล์ไวรัสหรือ malware แทน
    • ไฟล์พวกนี้มักมีไวรัสหรือ malware สอดไส้อยู่แบบที่โปรแกรม anti-virus สแกนไม่เจอ และไวรัสจะยังไม่แพร่เข้าระบบคุณจนกว่าคุณจะเปิดไฟล์ต้นเหตุนั่นแหละ
  5. ซื้อของออนไลน์เฉพาะเว็บที่ปลอดภัย. อย่าไปกรอกเลขบัญชีหรือเลขและรหัสบัตรเครดิตในเว็บที่ไม่มี "https://" นำหน้า "www" ใน address ตัว "s" นั่นแหละที่บอกว่าเว็บนั้นปลอดภัย ถ้าไม่มีแปลว่าเว็บนั้นไม่ได้เข้ารหัสปกป้องข้อมูลไว้
  6. คุณอาจจะคิดว่าไม่เห็นเป็นไร มีแต่เพื่อนกันทั้งนั้น แต่ถ้าคิดอะไรก็โพสต์หมด คนใน Facebook รู้ทั้งเรื่องส่วนตัวและชีวิตประจำวันของคุณ ก็เท่ากับเปิดช่องให้คนมาแฮกดีๆ นี่เอง เพราะงั้นข้อมูลสำคัญหรือเรื่องส่วนตัว เก็บไว้บอกคนที่จำเป็นต้องรู้จริงๆ ดีกว่าแชร์ลงโซเชียลตลอดเวลา [10]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • firewall และโปรแกรม anti-virus มีให้ดาวน์โหลดได้ในเน็ต ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน
  • อย่าตั้งรหัสผ่านเหมือนกับ username หรืออีเมล
โฆษณา

คำเตือน

  • สรุปแล้วถ้ากลัวใครจะแฮกหรือกลัวข้อมูลรั่วไหลเอามากๆ ในยุคสมัยที่โลกจริงแทบจะแยกกันไม่ออกกับโลกออนไลน์แบบนี้ คงมีแต่เลิกใช้เทคโนโลยีหรือเลิกใช้เน็ตไปเลยเท่านั้น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,511 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา