ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คำว่า "อีโก้แบบผู้ชาย" เป็นคำที่มักนิยมใช้กันทั่วไปโดยไม่มีคำนิยามที่แน่ชัด เพื่อให้เข้าใจว่าอีโก้แบบผู้ชายมีส่วนสร้างความคิดและพฤติกรรมของผู้ชายอย่างไร เราต้องหันมาสนใจวิธีที่สังคมสร้างอีโก้แบบผู้ชายขึ้นมาก่อน หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่เราคิดว่าเป็น "อีโก้แบบผู้ชาย" นั้นมีรากฐานมาจากการสันนิษฐานและความคิดเหมารวมที่มีมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับความเป็นชายและความเป็นผู้ชายที่มีความหมายในทางสังคม และกลายเป็นพื้นฐานจิตใจของผู้ชายส่วนใหญ่โดยไม่รู้ตัว

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสังคม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คำว่าอีโก้มีที่มาจากงานของนักจิตวิทยาและนักจิตวิทยาบำบัดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีความหมายตามพื้นฐานทั่วไปว่าตนเอง สรุปก็คือคำว่า "อีโก้" นั้นมีความหมายว่า "ฉัน" ในภาษาละติน [1] อีโก้เป็นส่วนหนึ่งของจิตใจที่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างแรงผลักและแรงขับของซูเปอร์อีโก้ (จิตสำนึกและตัวตนในอุดมคติของเรา) กับอิด (ส่วนของจิตใจที่ทำหน้าที่สนองความต้องการพื้นฐาน) อีโก้ทำหน้าที่อยู่ในความเป็นจริง และยังทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยความต้องการของเรากับวิธีที่จะสนองความต้องการเหล่านั้นในสภาพแวดล้อมของเราด้วย อีโก้รักษาความสัมพันธ์กับคนอื่น ประนีประนอมแรงขับจากอิดและซูเปอร์อีโก้ในโลกภายนอก นักจิตวิทยาหลายคนสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับอีโก้บนพื้นฐานคำอธิบายเรื่องอีโก้ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ [2]
    • หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อีโก้แบบผู้ชายนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพสะท้อนตัวตนของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นคำนิยามของความเป็นชายและความคิดที่ว่าผู้ชายควรคิดและทำอะไรด้วย ดังนั้นอัตลักษณ์ของผู้ชายจึงได้รับอิทธิพลจากสังคม สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ยังเป็นสัตว์สังคมอยู่ดี! [3]
  2. เพื่อให้เข้าใจอีโก้แบบผู้ชายมากยิ่งขึ้น เราก็ต้องทำความเข้าใจว่าบทบาททางเพศพัฒนาขึ้นและทำงานอย่างไรในสังคม บทบาททางเพศกำหนดวิธีคิดและการกระทำ บทบาททางเพศเป็นชุดความเชื่อและการกระทำที่หล่อหลอมอยู่ในบริบทในบริบทหนึ่งและเกี่ยวข้องกับเพศกำเนิด (ชายหรือหญิง) บทบาทช่วยสร้างความแตกต่างระหว่างเพศ เพราะฉะนั้นผู้ชายจึงถูกมองว่าเป็นอย่างหนึ่งในขณะที่ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง และการสวมบทบาททางเพศนี้เองที่ทำให้บางคนสามารถเข้ากับบริบททางสังคมได้ดีกว่า ในขณะที่คนอื่นอาจจะเผชิญความลำบากในการใช้ชีวิตในสังคม [4]
    • เพื่อให้เข้าใจอีโก้แบบผู้ชาย คุณต้องเข้าใจว่าสังคมทำให้ผู้ชายมีความคาดหวังต่อตนเองอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะผู้ชายหลายคนต้องพยายามรับมือกับความต้องการทางสังคมเหล่านี้ ในหลายกรณีผู้ชายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสังคมมีอิทธิพลต่อพวกเขาอย่างไร เช่น ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงเป็นแฟนกีฬาหรือคิดว่าสีฟ้า สีเขียว และสีเทานั้นเป็นสีของเด็กผู้ชาย ในขณะที่สีชมพูและสีม่วงเป็นสีของเด็กผู้หญิง
  3. เรียนรู้ลักษณะพื้นฐานของอีโก้แบบผู้ชายที่สังคมสร้างขึ้น. อีโก้แบบผู้ชายนั้นขับเคลื่อนด้วยการเป็นที่รู้จัก ความสนใจ และการกระทำ ผู้ชายมักถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่กระตือรือร้นที่จะทำเรื่องสำคัญๆ (เช่น เป็นผู้นำทางการเมือง ทหาร นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น) และเป็นคนที่ควรได้รับความสนใจจากผู้อื่น ถ้าหากมองภาพอีโก้แบบผู้ชายในลักษณะนี้ ผู้ชายนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกาย แรงขับเคลื่อนทางเพศ และชีววิวัฒนาการในฐานะสิ่งมีชีวิตที่แข่งขันเพื่อให้ได้ความสนใจจากเพศหญิง ทำให้พวกเขาชอบการแข่งขัน กระหายความยิ่งใหญ่และอำนาจ และหลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์และความอ่อนแอ [5] [6]
    • เช่น ในสังคมอเมริกันส่วนใหญ่ บทบาททางเพศของผู้ชายมักจะเข้าใจและอธิบายด้วยคำที่เป็นเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ ผู้ชายนั้นกล้าหาญ แข็งแรง ชอบการแข่งขัน พึ่งพาตัวเองได้ และมั่นคง (ในขณะที่ผู้หญิงนั้นเฉื่อยชา ชอบใช้อารมณ์ อ่อนแอ และใส่ใจสังคมมากกว่า) หรืออีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ชายในสังคมตะวันตกหลายแห่งรวมทั้งในสังคมไทยถูกคาดหวังไม่ให้แสดงอารมณ์ออกมา จำคำที่ผู้ใหญ่มักพูดว่า "เป็นเด็กผู้ชายร้องไห้ได้ยังไง" ได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นผู้ชายจึงถูกคาดหวังให้แสดงความเป็นลูกผู้ชายและเข้มแข็งเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายส่วนตัว เช่น การสูญเสีย ความโศกเศร้า และความเสียใจ [7]
  4. รู้ว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่สบายใจกับการปฏิบัติตามวิถีทั่วไปที่สังคมสร้างขึ้น. ผู้ชายหลายคนรู้สึกขัดแย้งกับการที่จะต้องเป็นผู้ชายแบบใดแบบหนึ่ง เช่น แล้วถ้าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ชอบผู้หญิงแม้ว่าสังคมทุกวันนี้จะยังถือว่าการรักเพศตรงข้ามเป็นมาตรฐานล่ะ หรือถ้าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบดูแลเท้าและใบหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องของ "สาวๆ" หรือผู้หญิงกันล่ะ
    • คุณจำเป็นต้องเข้าใจว่า ผู้ชายแต่ละคนรู้สึกและตอบสนองต่อความคาดหวังทางสังคมที่มีต่อความคิดที่ว่าผู้ชาย ควร เป็นอย่างไรไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไปในแต่ละกรณี
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รับมือกับอีโก้แบบผู้ชาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พิจารณาว่าความคาดหวังของสังคมทำให้ผู้ชายรับมือกับอารมณ์อย่างไร. ผู้ชายและผู้หญิงทุกคนล้วนมีอารมณ์แม้ว่าจะแสดงออกต่างกัน ผู้ชายที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ก็ยังมีอารมณ์ แต่กระบวนการทางสังคมทำให้พวกเขาไม่แสดงอารมณ์มากเกินไปหรือไม่แสดงออกเลย [8]
    • นี่อาจจะหมายความว่าสามี/แฟนของคุณอาจจะนิ่งเฉยได้แม้ว่าคนสำคัญในชีวิตของเขาจะตายไป
    • เนื่องจากความโกรธเป็นอารมณ์ที่ผู้ชายได้รับการยอมรับให้แสดงออกได้มากกว่า ในสถานการณ์ที่เขาเศร้า เขาอาจจะแสดงความโกรธออกมาแทน [9]
    • ถ้าคุณสับสนในปฏิกิริยาของผู้ชายข้างกาย การนึกถึงกระบวนการทางสังคมจะช่วยให้คุณเข้าใจปฏิกิริยาของเขา เขามีอารมณ์ แต่เขาถูกสอนไม่ให้แสดงออกมา เพราะอารมณ์ถือเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ
  2. ผู้ชายมักถูกสอนให้ข่มอารมณ์ ซึ่งไม่ใช่วิธีรับมือกับอารมณ์ที่มีประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ การข่มอารมณ์อาจทำให้ขาดการเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์กับความคิด ซึ่งหมายความว่าผู้ชายอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ผู้ชายต้องพยายามแสดงอารมณ์ออกมา เพราะการข่มอารมณ์นั้นอาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายและจิตใจ [10]
    • การข่มอารมณ์อาจทำให้ผู้ชายของคุณไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ถ้าเขาเต็มใจที่จะพยายามแก้ไขปัญหานี้กับคุณ คุณต้องเข้าใจว่ามันอาจจะต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนและเวลา
    • ตระหนักว่าการข่มอารมณ์ไม่ได้เป็นลักษณะนิสัยของผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงเองก็เก็บอารมณ์เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้หญิงยังต้องพยายามแสดงอารมณ์ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย เพียงเพราะผู้หญิงถูกมองว่าแสดงอารมณ์ได้ดีกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนจะแสดงอารมณ์ได้ดีเสมอไป คนเราเกิดมาไม่รู้หรอกว่าจะแสดงอารมณ์ได้อย่างมีความหมายและมีประสิทธิภาพได้อย่างไร เพราะมันเป็นทักษะที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต้องเรียนรู้ [11]
  3. ท้าทายความคิดเหมารวมที่ล้าสมัยเกี่ยวกับผู้ชายและความเป็นชาย. ผู้ชายไม่ได้มาจากดาวอังคารและผู้หญิงก็ไม่ได้มาจากดาวศุกร์อย่างที่พูดกัน ผู้ชายและผู้หญิงเหมือนกันมากกว่าที่ใครหลายคนจะยอมรับ ที่จริงแล้วนักวิทยาศาสตร์หลายคนนิยมพูดประเด็นเรื่องความแตกต่างทางเพศจากมุมมองกว้างๆ ของความเป็นไปได้ มากกว่าที่จะแบ่งสองฝั่งออกจากกันอย่างชัดเจน [12]
    • คุณต้องหลีกเลี่ยงการคาดเดาเกี่ยวกับผู้ชาย และไม่คาดหวังว่าพฤติกรรมของเขาจะสอดคล้องกับบทบาททางเพศและการแสดงออกที่คุณคาดหวังโดยทั่วไป เช่น อย่าไปคิดว่าเขาจะชอบกีฬา หรือเขาชอบเบียร์และเกลียด "หนังโรแมนติก" ซึ่งล้วนเป็นความคิดเหมารวมทั่วไปเกี่ยวกับผู้ชาย คุณควรจะทำความรู้จักกับสามี/แฟนของคุณในฐานะคนๆ หนึ่งดีกว่าทำความรู้จักเขาในแบบที่คุณคิดว่าผู้ชายทั่วไปน่าจะเป็น สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับคุณ มีความคิด ความรู้สึก และความเชื่อเป็นของตนเอง
  4. พยายามเข้าใจว่าสามี/แฟนของคุณมาจากไหนเวลาที่เขาทำให้ให้คุณตกใจหรือไม่พอใจ ผู้หญิงเองก็มักจะรู้สึกกดดันที่จะต้องทำตามบทบาทที่กำหนดไว้ว่าผู้หญิงควรประพฤติตัวและวางตัวให้เป็นผู้หญิงอย่างไร แทนที่จะมองว่าเขาห่วย คุณอาจจะแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจแทน บางทีเขาอาจไม่ได้ตั้งใจจะทำตามอีโก้แบบผู้ชายก็ได้ เพียงแต่ที่เขาแสดงออกแบบนี้ก็เพราะกระบวนการทางสังคมที่หล่อหลอมว่าเขาควรจะทำตัวอย่างไร
    • เช่น ถ้าเขาพูดแทรกขึ้นมาในวงสนทนาว่า เขาคิดว่ากีฬาผู้หญิงนั้นไม่คุ้มค่าแก่การเสียเวลาด้วย ก็อย่าโทษว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นผลมาจากอีโก้แบบผู้ชาย พยายามเข้าใจว่าเขาอยู่ในโลกที่คนไม่ได้ให้คุณค่ากับกีฬาผู้หญิงเท่ากับกีฬาผู้ชาย ในหลายๆ แง่ทัศนคติแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะสังคมคือผู้ที่บอกทั้งผู้ชายและผู้หญิงเองว่า กีฬาผู้ชายนั้นสำคัญกว่ากีฬาผู้หญิง ดังนั้นปัญหาจึงอาจจะไม่ใช่ที่ตัวผู้ชายคนนี้ แต่เป็นสังคมในภาพรวมและวิธีที่สังคมพูดถึงผู้ชาย ผู้หญิง และบทบาททางเพศ
    • ความเห็นอกเห็นใจเป็นขั้นตอนสำคัญสู่เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง เมื่อคุณเข้าใจว่าพฤติกรรมของเขาได้รับอิทธิพลจากความคาดหวังและค่านิยมทางสังคมอย่างไร คุณก็สามารถเริ่มเปิดบทสนทนาเพื่อท้าทายกระบวนการทางสังคมได้ เช่น คุณอาจจะเริ่มเปิดประเด็นว่าทำไมเราถึงไม่เห็นคุณค่าของนักกีฬาผู้หญิงเท่ากับนักกีฬาผู้ชายในกีฬาหลักๆ บทบาททางสังคมประเภทไหนที่ทำให้เราคิดว่ากีฬาผู้หญิงไม่สำคัญเท่าไหร่ เช่น การรายงานข่าว เงินเดือน เป็นต้น
    • ความเห็นอกเห็นใจแบบนี้ยังอาจมาในรูปแบบของการเช็กปฏิกิริยาโดยทันทีของคุณเมื่อแฟน พ่อ เพื่อนหรือคนในครอบครัวที่เป็นผู้ชายมีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับความคิดเหมารวมทางเพศ เช่น ถ้าเขาบอกว่าเขาอยากไปดูบัลเลต์จริงๆ สัญชาตญาณของคุณที่ตั้งอยู่บนค่านิยมทางเพศดั้งเดิมอาจจะทำให้คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องของ "ผู้หญิง" และดูไม่ค่อยเป็นผู้ชายสักเท่าไหร่ แทนที่จะคิดแบบนั้น ให้เช็กปฏิกิริยาเหล่านั้นและจำไว้ว่า คุณเองก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการพิสูจน์อีโก้แบบผู้ชายด้วยเช่นกัน
  5. งานวิจัยพบว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างใช้อารมณ์ขันในการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศอย่างแยบยล และทดสอบเส้นแบ่งระหว่างเพศ [13] แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ วิธีที่อารมณ์มีผลต่อผู้ชายและผู้หญิงในแง่ของการรักษาบทบาททางเพศบางอย่างในสังคม แม้ว่าผู้ชายบางคนอาจจะชอบเล่นมุกที่สนับสนุนความคิดเหมารวมทางเพศแบบดั้งเดิม เช่น พวกที่มองว่าผู้หญิงด้อยกว่า แต่ก็มีผู้ชายบางคนที่ท้าทายความคิดเหมารวมเหล่านั้นด้วยการเล่นตลกกับวิธีที่ผู้ชายคิดว่าตัวเองเหนือกว่า วิธีที่ผู้ชายเล่นมุกเกี่ยวกับความเป็นชายของตัวเอง และความคิดเหมารวมแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับผู้ชายและผู้หญิงในวัฒนธรรมของเขาบ่งบอกบุคลิกภาพและความเชื่อในความคิดเหมารวมเหล่านี้ ซึ่งหลายอย่างก็ได้รับการพิสูจน์จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดแล้วว่าเป็นสิ่งที่ล้าสมัย [14]
    • ถ้าเขาเล่นมุกที่แสดงถึงการดูถูกผู้หญิงและแสดงถึงความเหนือกว่าของผู้ชาย คุณจะเจอปัญหาในการพยายามลดอีโก้แบบผู้ชายของเขา ขั้นแรกคือคุณต้องคุยกับเขาอย่างจริงจังว่า มุกเหล่านั้นโดยธรรมชาติแล้วมันไม่ตลกและถามเขาว่าทำไมเขาถึงเล่นมุกแบบนั้น ซึ่งหวังว่าเขาจะเข้าใจได้ว่ามุกเหล่านี้ไม่ตลกและเขาก็เล่นมุกพวกนี้เพราะใครๆ ก็เล่นเท่านั้น การทำให้ผู้ชายรับรู้ถึงพฤติกรรมของตนเอง และดึงความสนใจของเขามาสู่สิ่งที่เขาทำลงไปโดยแทบไม่รู้ตัวสามารถช่วยให้เขาตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาพูดและทำมากยิ่งขึ้น
  6. ยิ่งคุณใกล้ชิดกับผู้ชายมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งแยกตัวตนที่แท้จริงของเขาออกจากความคาดหวังที่สังคมมอบให้เขาได้ แต่จำไว้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลา เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะเปิดใจทันที เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ การสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมนั้นต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบคนรักหรือเพื่อนก็ตาม แต่ขณะที่ความสัมพันธ์ดำเนินไปและคุณก็เริ่มจะเจาะลึกไปถึงหัวข้อเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสนใจและมุมมองที่มีต่อโลกมากขึ้น เขาก็อาจจะสามารถปล่อยวางความคาดหวังเกี่ยวกับเพศลงได้
    • พูดคุยและทำความรู้จักกันให้มากขึ้น เล่ารายละเอียดส่วนตัวในอดีต เรื่องที่ทำให้เขารู้ว่าคุณเป็นใคร คุณเติบโตมาอย่างไร และอะไรที่ทำให้คุณเป็นคุณทุกวันนี้ ขอให้ผู้ชายเล่าเรื่องของเขาบ้าง คุณอาจจะต้องประหลาดใจในความซื่อสัตย์ของเขา และเมื่อเวลาผ่านไประดับอีโก้แบบผู้ชายก็อาจจะค่อยๆ หลุดออกไปจนคุณเห็นเนื้อแท้ของเขา บางทีเขาอาจจะสารภาพกับคุณก็ได้ว่าเขาร้องไห้ตอนที่ดู รักเธอหมดใจ ขีดไว้ให้โลกจารึก หรือว่าจริงๆ แล้วเขาเกลียดกีฬาที่จัดขึ้นทุกประเภท อะไรก็แล้วแต่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นชายตามขนบ
    • พูดอีกอย่างก็คือ เมื่อเขารู้สึกไว้ใจและเปิดเผยกับคุณมากขึ้น เขาอาจจะแสดงความไม่แน่ใจในบางแง่มุมของบทบาททางเพศที่เขาควรปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะกลายเป็นอีกเส้นทางที่นำไปสู่การสื่อสารที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เข้าใจตัวเองในฐานะผู้ชาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เข้าใจกรอบความคิดเรื่องความกดดันจากบทบาททางเพศ. ความกดดันจากบทบาททางเพศคือ ความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับบทบาททางเพศเมื่อไม่สามารถปฏิบัติตามบทบาททางเพศได้อย่างเพียงพอหรือเหมาะสม ความกดดันจากบทบาททางเพศแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้:
    • ความกดดันจากความขัดแย้ง - เกิดขึ้นเมื่อเราไม่สามารถปฏิบัติตามกรอบทางเพศโดยทั่วไปได้ เช่น ผู้ชายคนหนึ่งอาจเผชิญกับความหดหู่และตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่า "เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน"
    • ความกดดันจากความบอบช้ำทางจิตใจ เกิดขึ้นเมื่อเราประสบเหตุการณ์ที่สร้างความบอบช้ำในจิตใจระหว่างที่เรากำลังอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ที่จะเข้าสังคมตามบทบาททางเพศที่เหมาะสม เช่น ผู้ชายคนหนึ่งอาจจะเผชิญกับความหดหู่ ส่วนหนึ่งเพราะวิธีการเลี้ยงดูแบบ "ผู้ชาย" ของพ่อที่เข้มงวดมากและสอนว่า "เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้"
    • ความกดดันจากการไม่สามารถปฏิบัติตามบทบาททางเพศได้ เกิดขึ้นเมื่อเราสวมบทบาททางเพศที่เป็นอันตรายหรือสร้างความเดือดร้อนให้เรา เช่น ถ้าผู้ชายคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้าแต่ไม่เข้ารับการรักษาเนื่องจากคิดว่าเป็นผู้ชายต้องไม่ขอความช่วยเหลือ โรคซึมเศร้าของเขาก็จะไม่หายและอาจจะเลวร้ายกว่าเดิม
  2. ตระหนักว่าความกดดันจากบทบาททางเพศอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อชีวิตของผู้ชาย. ในฐานะผู้ชาย คุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกรับความกดดันอันหนักหน่วงในการที่จะปฏิบัติตามความเป็นชายในอุดมคติ ภาพยนตร์ ทีวี นิตยสาร และแม้กระทั่งคนรอบข้างก็คอยส่งสัญญาณว่า คุณควรทำตัวอย่างไรและผู้ชายควรจะเป็นอย่างไร แต่จะเป็นอย่างไรถ้าตัวตนของคุณไม่สอดคล้องกับความคาดหวังเหล่านั้น ความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่สามารถทำตามบทบาทได้อย่างสมบูรณ์นี้ส่งผลต่อการมองตัวเองของคุณอย่างไร ความคาดหวังของสังคมที่ว่าผู้ชายควรจะเป็นอย่างไรนั้นอาจเป็นอันตราย ทำให้คุณมีความภาคภูมิใจและมีภาพลักษณ์แห่งตนต่ำ [15] ในบางกรณีผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจแย่กว่านั้น ผู้ชายบางคนพยายามที่จะรับมือกับความเครียดเหล่านี้ด้วยการสร้างนิสัยที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง เช่น ใช้สารเสพติด หลีกหนีความเป็นจริง และใช้ความรุนแรง [16]
    • เช่น ความผิดปกติด้านการรับประทานอาหารเริ่มจะเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปในผู้ชาย อันเนื่องมาจากความกดดันของสังคมที่ว่า ผู้ชายต้องแข็งแรง หุ่นนักกีฬา กำยำล่ำสัน ผู้ชายที่ไม่มีมีหุ่นที่ 'สมบูรณ์แบบ' เหล่านี้ก็จะรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองต่ำและสุดท้ายก็จะลงโทษร่างกายตัวเองที่ไม่สมบูรณ์แบบ [17]
    • จำไว้ว่า เนื่องจากการพึ่งพาตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของอีโก้แบบผู้ชายโดยทั่วไป ผู้ชายจึงมักจะไม่ค่อยขอความช่วยเหลือเท่าไหร่
  3. เนื่องจากสังคมคาดหวังในตัวผู้ชายสูง ผู้ชายจึงต้องหาวิธีรับมือกับความกดดัน ผู้ชายส่วนใหญ่ใช้ 1 ใน 3 วิธีต่อไปนี้เพื่อรับมือกับความคาดหวังและความกดดันจากบทบาททางเพศ:
    • พวกเขาเปลี่ยนตัวเองตามความคาดหวังของสังคม การเปลี่ยนตัวตนของคนๆ หนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และในหลายกรณีผู้ชายก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการปฏิบัติตามความคาดหวังของสังคม สำหรับผู้ชายแล้วประโยชน์เหล่านี้มีมากมายนัก ทั้งในเรื่องของการได้รับการยอมรับในหมู่ผู้ชายด้วยกัน ความภาคภูมิใจในตนเองที่มากขึ้น สถานภาพทางสังคมที่สูงขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย
    • พวกเขาปฏิเสธความคาดหวังของสังคม ในกรณีนี้ ผู้ชายที่ไม่ยอมรับแรงกดดันจากสังคมอาจได้รับผลกระทบเชิงลบ เช่น การไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ชายคนอื่นๆ สถานภาพที่ต่ำกว่า โอกาสทางสังคมและความรักที่น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ผู้ชายส่วนใหญ่จึงไม่เลือกวิธีนี้ และคิดว่าการพยายามทำตัวให้เข้ากับกรอบทางเพศแบบเดิมนั้นง่ายกว่า จึงพยายามที่จะรับมือกับความขัดแย้ง (ที่อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีเสมอไป) แทน
    • พวกเขาเปลี่ยนความคาดหวังของสังคม แม้ว่าทางเลือกนี้จะเป็นทางเลือกในอุดมคติ และอาจสร้างความแตกต่างทางบวกให้เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็เป็นทางเลือกที่ยากมาก กรอบบทบาททางเพศนั้นหยั่งรากลึกในสังคมของเราและการพยายามที่จะเปลี่ยนมันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในอดีตก็เคยมีกรณีที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน เช่น การยอมรับเรื่องการรักร่วมเพศและคนข้ามเพศที่มีมากขึ้น
  4. โดยทั่วไปแล้วผู้ชายมีทางเลือกในการที่จะแสดงออกทางเพศไม่มากนัก ซึ่งทางเลือกเหล่านั้นก็ล้วนเข้มงวดและทางเลือกที่กล่าวมาในข้างต้นก็ไม่มีทางเลือกไหนที่ผู้ชายอยากจะเลือกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ชายสามารถทำได้เพื่อรับมือกับความคาดหวังของสังคมก็คือ การสร้างความแข็งแกร่งจากการขัดเกลาทางสังคมเพศ คุณลักษณะบางอย่างในอีโก้แบบผู้ชายที่ทำให้เกิดความยากลำบากนั้นสามารถกลายเป็นทรัพยากรและความแข็งแกร่งให้กับผู้ชายได้
    • เช่น ในช่วงวิกฤตหรือสถานการณ์คับขันและในบางอาชีพ ความสามารถในการที่จะ "นิ่ง" และ "ตัดสินใจเรื่องยากๆ" ได้นั้นมีคุณค่าเป็นอย่างมาก ทักษะเหล่านี้มีประโยชน์ต่ออาชีพตั้งแต่การดูแลผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินไปจนถึงการบริหารบริษัทระดับแนวหน้าของประเทศ ทักษะชีวิตที่มีคุณค่าเหล่านี้ช่วยให้เราดูแลและสนับสนุนผู้อื่นในฐานะพ่อแม่ เพื่อน และสมาชิกในชุมชนได้ [18]
    • ความท้าทายหลักในที่นี้คือ คุณต้องให้คุณค่ากับความรู้และทักษะบางอย่างที่เป็นส่วนสำคัญของอีโก้แบบผู้ชาย โดยที่ไม่ให้มันกลายเป็นหนทางเดียวที่คุณยึดถือ เช่น แม้ว่าการที่ผู้ชายจะนิ่งและไม่ปล่อยให้อารมณ์มาควบคุมนั้นจะเป็นประโยชน์ในบางสถานการณ์ แต่ในสถานการณ์อื่นๆ คุณก็ต้องแสดงและทำความเข้าใจอารมณ์ของตนเอง เพราะฉะนั้นพยายามยอมรับความแข็งแกร่งของบทบาทเพศชาย แต่ไม่ต้องถึงกับเชื่อหมดใจหรืออย่างไม่มีข้อสงสัย [19]
  5. จำไว้ว่าเอกลักษณ์ทางเพศของคุณนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากเป็น คุณต้องเป็นคนเลือก บางทีคุณอาจจะอยากคงความเป็นชายตามที่สังคมกำหนดในบางด้านและปฏิเสธบางด้าน คุณอาจจะอยากชอบกีฬา ใส่กางเกงขายาวและกางเกงขาสั้นต่อไป (แต่ไม่ใส่ชุดกระโปรง) แต่คุณก็อาจจะเลือกเป็นพ่อบ้าน (ซึ่งเป็นตำแหน่งในความสัมพันธ์ที่สังคมมองว่าเป็นตำแหน่งของผู้หญิง)
    • คุณเติบโตและผูกพันกับสังคมที่คุณอยู่ แม้คุณจะตระหนักว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้นได้รับอิทธิพลจากสังคมมากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด จริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้เพราะแนวคิดเรื่องบทบาททางเพศนั้นมาก่อนแง่มุมอื่นๆ ในสังคมเราทั้งหมด!
    • กล่าวคือ การตระหนักว่าสังคมกำหนดบทบาททางเพศอย่างไรจะทำให้คุณสังเกตความคิดและพฤติกรรมของคุณได้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถยอมรับแง่มุมในอีโก้แบบผู้ชายที่ช่วยพัฒนาคุณ (เช่น การเป็นคนมีเป้าหมายหรือเป็นผู้นำ) และปฏิเสธบางแง่มุมที่เป็นอันตรายต่อความเป็นอยู่ที่ดีของตัวคุณและผู้อื่น เช่น ความต้องการที่จะครอบงำผู้อื่น หรือการมองว่าอารมณ์คือความอ่อนแอ
  6. ถ้าคุณรู้สึกว่าความกดดันระหว่างสิ่งที่สังคมบอกให้คุณเป็นกับตัวตนของคุณนั้นมีมากเกินไปและเริ่มจะส่งผลที่ไม่ดีต่อความเป็นอยู่ที่ดีด้านจิตใจ คุณก็ควรพบนักให้คำปรึกษา นักให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้คุณเข้าใจปัญหาที่กวนใจคุณ ซึ่งอาจจะทำให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขขึ้นได้
    โฆษณา


เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 18,166 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา