PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

รอยแมลงกัดทุกชนิด ทั้งยุง ริ้นดำ เหลือบ หมัด ไร ไรอ่อน ตัวเรือด เห็บ ฯลฯ ไม่มีตัวไหนที่เป็นเรื่องสนุกเลยสักตัวเดียว แม้ว่ารอยกัดหรือรอยต่อยเองนั้นอาจจะไม่ได้แย่เท่าไร แต่อาการบวมและอาการคันหลังจากนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญสุดๆ โชคยังดีที่คุณสามารถทำได้หลายวิธีเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการคันจากรอยแมลงกัดทั้งโดยมีและไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ และในที่สุดก็จะกำจัดรอยแมลงกัดได้อย่างสิ้นเชิง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

การรักษารอยแมลงกัด

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. อย่างแรกเลยให้ทำความสะอาดบริเวณที่มีรอยกัดให้ทั่วถึงด้วยสบู่และน้ำอุ่นก่อน ถ้ามีอาการบวมที่บริเวณรอยแมลงกัด คุณสามารถวางประคบเย็นหรือถุงน้ำแข็งบนรอยกัดเพื่อช่วยลดอาการบวมได้ ความเย็นจะช่วยบรรเทาอาการปวดและอาการคันได้ชั่วคราวอีกด้วย [1]
    • ใช้ประคบเย็นหรือถุงน้ำแข็งนานที่สุด 10 นาทีในแต่ละครั้ง หลังจากใช้นาน 10 นาทีแล้วให้หยุดพัก 10 นาที ทำเวียนไปจน 1 ชั่วโมง
  2. บริเวณรอยกัดมีแนวโน้มที่จะคันและคุณจะรู้สึกอยากเกามากๆ แต่อย่านะ พยายามหลีกเลี่ยงอย่าเกา เพราะว่าการเการอยแมลงกัดนั้นอาจจะทำให้อะไรๆ แย่ลงโดยทำให้เกิดการติดเชื้อ [2]
  3. ถ้ารอยกัดยังคันอยู่ คุณสามารถทาคาลาไมน์โลชั่น ยาแก้แพ้เฉพาะที่ หรือครีมคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เพื่อช่วยบรรเทาอาการ โลชั่นและครีมทั้งหมดเหล่านี้เป็นยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาในท้องถิ่นของคุณ ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ใดใช้ได้ผลดีที่สุดสำหรับคุณ ให้ปรึกษาเภสัชกร [3]
  4. ถ้าคุณต้องการบรรเทาอาการปวดหรืออาการคัน คุณก็สามารถกินยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เช่น ไทลินอล (Tylenol) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เช่น แอดวิล(Advil) หรือยาแก้แพ้ เช่น คลาริทิน (Claritin) ได้ [4]
    • ถ้าคุณกินยาสำหรับภูมิแพ้ทุกวันอยู่แล้ว โปรดระวังถ้าคุณอยากกินยาแก้แพ้เพิ่มอีก ตรวจสอบกับแพทย์หรือเภสัชกรว่าคุณสามารถเพิ่มขนาดยาหรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
  5. ผสมน้ำอุ่นและผงฟูลงในชามจนกลายเป็นเนื้อเหนียวข้นเป็นยาพอก ทายาพอกลงบนรอยแมลงกัดโดยตรง ซึ่งนี่จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ชั่วคราว ล้างยาพอกจากผงฟูออกหลังจาก 15-20 นาที [5]
    • โดยทั่วไป ยาพอกนี้ควรใช้ผงฟู 3 ส่วนกับน้ำ 1 ส่วน
  6. ใช่ คุณอ่านถูกต้องแล้วล่ะ ผสมผงหมักเนื้อนุ่มที่ไม่ปรุงรสชาติเข้ากับน้ำอุ่นจนกลายเป็นเนื้อเหนียวข้นเป็นยาพอก ทายาพอกโดยตรงที่รอยแมลงกัดเพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน ล้างออกหลังจาก 15-20 นาที [6]
  7. แช่ถุงชาในน้ำอุ่นสักครู่ จากนั้นวางถุงชาเปียกบนรอยแมลงกัดเพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน ถ้าคุณใช้ถุงชาที่ชงชาจริงๆ ก่อนหน้านั้น ก็ให้แน่ใจว่ามันเย็นลงพอที่จะวางบนผิวของคุณได้ ทิ้งถุงชาไว้บนผิวเป็นเวลา 15-20 นาที [7]
  8. มีผักและผลไม้หลายชนิดที่มีเอนไซม์ซึ่งอาจจะช่วยลดอาการบวมและอาการคันได้ ลองใช้หนึ่งในตัวเลือกต่อไปนี้ดูสิ: [8]
    • มะละกอ - วางชิ้นมะละกอไว้บนรอยแมลงกัดประมาณ 1 ชั่วโมง
    • หอมหัวใหญ่ - ถูหอมหัวใหญ่ที่หั่นเป็นชิ้นบนรอยแมลงกัด
    • กระเทียม - บดกระเทียม 1 กลีบและทากระเทียมบดบนบนรอยแมลงกัด
  9. หลังจากที่เกิดรอยกัดขึ้นให้แช่ในน้ำส้มสายชูในแอปเปิลไซเดอร์ทันที (ถ้าเป็นไปได้) สักสองสามนาที ถ้ารอยกัดยังคงคันอยู่ ให้เทน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์บนสำลีก้อนและติดสำลีก้อนบนรอยแมลงกัดด้วยพลาสเตอร์ [9]
  10. ใช้ช้อนหรือครกและสากบดยาแอสไพรินหนึ่งเม็ด เติมน้ำนิดหน่อยเพื่อทำให้ผงมีลักษณะเหนียวข้นเป็นยาพอก จากนั้นทายาพอกลงบนรอยกัด คุณสามารถปล่อยยาพอกทิ้งไว้บนผิวของคุณ (คล้ายกับที่คุณทำกับคาลาไมน์โลชั่น) และล้างออกตอนคุณอาบน้ำครั้งต่อไป [10]
  11. ทาน้ำมันทีทรีหนึ่งหยดลงบนรอยกัดวันละครั้ง นี่อาจจะไม่ช่วยเรื่องอาการคัน แต่อาจจะช่วยลดและขจัดอาการบวมได้ [11]
    • อีกทางเลือกหนึ่ง ให้ใช้น้ำมันลาเวนเดอร์หรือเปปเปอร์มินต์ประมาณ 1-2 หยดเพื่อช่วยหยุดอาการคัน
  12. มียาที่ใช้รักษาด้วยธรรมชาติบางอย่างที่ได้รับการแสดงว่าใช้ได้ผลกับรอยแมลงกัด แต่ว่าควรจะใช้อันไหนและมากเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไปพบนักธรรมชาติบำบัดหรือไปร้านขายยาที่ใช้รักษาด้วยธรรมชาติ เพื่อขอให้ช่วยเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ [12]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

การจัดการกับรอยเห็บกัด

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เห็บอาศัยอยู่กลางแจ้งและมีขนาดเล็กมาก พวกมันไม่เหมือนแมลงอื่นๆ ตรงที่พวกมันไม่ได้แค่กัดแล้วไป แต่พวกมันจะฝังตัวอยู่ในผิวหนังและยังคงกินอาหารจากมนุษย์ต่อไป พวกมันชอบบริเวณขนาดเล็กและมีขนหนาอย่างเช่น หนังศีรษะ หลังหู ในรักแร้หรือขาหนีบ ง่ามนิ้วมือและนิ้วเท้า เมื่อตรวจหาเห็บก็ให้เริ่มต้นที่บริเวณเหล่านี้ แต่ตรวจดูให้ทั่วทั้งร่างกายเพื่อให้แน่ใจ [13]
  2. ต้องเอาเห็บออกจากร่างกายของมนุษย์ที่เป็นแหล่งอาหาร คนที่ถูกกัดมีแนวโน้มว่าจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเห็บอยู่ในที่ที่ยากจะเข้าถึง อย่าสัมผัสเห็บด้วยมือเปล่า [14]
    • ถ้าคุณอยู่คนเดียว ประหม่า ไม่แน่ใจ หรือไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม ก็ให้ไปพบนักปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพเพื่อให้เอาเห็บออกให้ คุณไม่จำเป็นต้องไปที่แผนกฉุกเฉินหรอก ยกเว้นแต่กรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง
    • ใช้แหนบคีบเห็บใกล้ๆ ปากหรือหัวของมัน
    • คีบเห็บให้ใกล้ผิวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • อย่าใช้แหนบบีบเห็บ
    • ดึงเห็บขึ้นแบบตรงๆ อย่างช้าๆ และเบาๆ อย่าบิด
    • อย่าใช้อะไรอย่างเช่น ปิโตรเลียมเจลลี่ ตัวทำละลาย มีด หรือไม้ขีดไฟ
    • ถ้าตัวเห็บแตก ให้แน่ใจว่าได้เอาส่วนใดๆ ที่เหลือของมันออกจากผิวหนังด้วย
    • อย่าทิ้งเห็บ แม้ว่าตัวมันจะแตก
  3. ใช่แล้วล่ะ คุณควรเก็บเห็บไว้ชั่วคราว เนื่องจากเห็บสามารถนำโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคไลม์ (Lyme) คุณอาจจะต้องเก็บเห็บไว้ทดสอบถ้าคุณมีอาการของโรคไลม์หรือแม้ว่าคุณจะไม่มีอาการก็ตาม ถ้าผลการทดสอบเป็นบวก คุณอาจจะต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม [15]
    • ใส่เห็บไว้ในถุงพลาสติกซิปล็อคหรือภาชนะขนาดเล็ก (เช่น ขวดยาเปล่า เป็นต้น)
    • ถ้าเห็บยังมีชีวิตอยู่ ให้เก็บมันไว้ในตู้เย็นได้นาน 10 วัน [16]
    • ถ้าเห็บตายแล้ว ให้เก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นาน 10 วัน
    • ถ้าคุณไม่สามารถส่งเห็บไปตรวจได้ภายใน 10 วัน ก็ให้ทิ้งไป แม้จะแช่แข็งหรือแช่เย็น แต่เห็บจะไม่สามารถนำมาทดสอบได้หลังจาก 10 วัน
  4. ถ้าเห็บฝังตัวลึกลงไปในผิวหนังหรือมีคนสามารถเอาเห็บออกได้แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง คุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อเอามันออก นอกจากนี้คุณควรไปพบแพทย์ถ้าคุณมีอาการของโรคไลม์ด้วย [17]
    • อาการเริ่มแรกของโรคไลม์ที่พบมากที่สุด คือ ผื่นเป็นรูปเป้ายิงปืน (Bulls-eye Pattern Rash)
    • อาการของโรคไลม์ที่พบได้บ่อยอื่นๆ ได้แก่ ความเหนื่อยล้า อาการไข้หรือหนาวสั่น ปวดศีรษะ อาการชักหรืออ่อนเพลีย อาการชาหรือเป็นเหน็บ ต่อมน้ำหลืองบวมและ/หรือผื่นผิวหนัง [18]
    • ในกรณีที่รุนแรงกว่า บุคคลนั้นอาจจะประสบกับความบกพร่องของการทำงานของสมอง ความผิดปกติของระบบประสาท อาการข้ออักเสบและ/หรือการเต้นของหัวใจผิดปกติอีกด้วย
  5. ใช้สบู่และน้ำเพื่อล้างบริเวณรอยเห็บกัด ทายาฆ่าเชื้อบางชนิดที่บริเวณนั้นเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่รอยกัด เช่น แอลกอฮอล์ล้างแผล เจลทำความสะอาดมือ เป็นต้น อย่าลืมล้างมือหลังจากทำขั้นตอนนี้เสร็จแล้ว [19]
  6. การทดสอบมักกระทำโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น ตรวจสอบกับแผนกสุขภาพเพื่อดูว่าในท้องถิ่นของคุณมีการทดสอบหรือไม่ ห้องปฏิบัติการสาธารณสุขจะเริ่มจากการตรวจสอบชนิดของเห็บก่อน เนื่องจากมีบางชนิดเท่านั้นที่เป็นพาหะนำโรค ถ้าเห็บนั้นเป็นกรณีที่กังวล จากนั้นพวกเขาอาจจะดำเนินการทดสอบหรือส่งไปยังห้องปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อทดสอบต่อไป [20]
    • ถ้าคุณอาศัยอยู่ที่แคนาดาในจังหวัดที่ไม่มีห้องปฏิบัติการประจำจังหวัดที่จะทดสอบเห็บ คุณสามารถส่งเห็บไปที่ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาแห่งชาติ (National Microbiology Laboratory: NML) เพื่อทดสอบก็ได้ ปฏิบัติตามคำแนะนำบน เว็บไซต์ ของรัฐบาลแคนาดาเพื่อส่งเห็บไปห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาแห่งชาติ
    • ถ้าคุณอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา แผนกสาธารณสุขของแต่ละรัฐจะมีขั้นตอนในการส่งเห็บสำหรับการทดสอบ ตรวจสอบเว็บไซต์สาธารณสุขของรัฐของคุณเพื่อดูคำแนะนำโดยละเอียด [21]
    • ถ้าคุณมีอาการติดเชื้อแต่ยังคงรอผลการทดสอบเห็บอยู่ ก็อย่าประวิงเวลาในการรักษาเลย และจำไว้ว่าอาจจะเกิดผลลบปลอมก็ได้ หรือคุณอาจจะถูกเห็บชนิดอื่นกัดและไม่รู้ตัว
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

การป้องกันไม่ให้แมลงกัด

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. แมลงบางชนิดดึงดูดต่อกลิ่นบางอย่าง หรือแค่สิ่งที่มีกลิ่นแตกต่างจากสิ่งที่พวกมันคุ้นเคย หลีกเลี่ยงการใส่น้ำหอมหรือทาโลชั่นและครีมที่มีกลิ่นหอมเมื่อออกไปข้างนอก [22]
  2. ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงนั้นมีทั้งแบบสเปรย์และโลชั่น ใช้ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงก่อนที่จะออกไปข้างนอกเพื่อช่วยป้องกันแมลงไม่ให้มาเกาะคุณ สเปรย์นั้นจะปกป้องทั้งร่างกายของคุณได้ง่ายกว่า เพราะว่าสามารถฉีดพ่นได้โดยตรงบนเสื้อผ้าของคุณ อย่างไรก็ตามคุณสามารถทาโลชั่นโดยตรงบนผิวของคุณและสามารถเน้นที่บริเวณที่อยู่พ้นเสื้อผ้าได้ [23]
    • อ่านคำแนะนำของโลชั่นไล่แมลงว่าคุณสามารถใช้บนใบหน้าได้หรือไม่ และอย่าทาใกล้ดวงตา
    • ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่มี DEET นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด
    • ถ้าคุณเพิ่งทาครีมกันแดดไป ให้รออย่างน้อย 30 นาทีก่อนที่จะทายาไล่แมลง
  3. นอกจากการใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวแล้ว คุณยังสามารถใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันแมลงโดยเฉพาะได้ เสื้อผ้าพิเศษนี้ ได้แก่ หมวกที่มีตาข่ายบางๆ ห้อยลงมาคลุมใบหน้า คอ และไหล่ ถ้าคุณกำลังจะไปบริเวณที่มีแมลงเยอะๆ นี่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ายาไล่แมลงก็ได้ [24]
    • คุณยังสามารถสอดขากางเกงลงไปในถุงเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงกัดข้อเท้าของคุณได้อีกด้วย
  4. น้ำที่ขังในแอ่งน้ำและคูน้ำ หรือน้ำใดๆ ก็ตามที่ไม่เคลื่อนที่ไปกับกระแสน้ำอาจจะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ไข่ยุงได้ ถ้ามีแหล่งน้ำนิ่งอยู่ในที่พัก ให้กำจัดเสียเพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดยุง ถ้าคุณอยู่ข้างนอก ให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีน้ำนิ่งถ้าเป็นไปได้ [25]
  5. เทียนที่ทำจากตะไคร้หอม ไลนาโลออล (Linalool) และเจอรานิออล (Geraniol) ล้วนแล้วแต่ได้รับการแสดงว่าสามารถไล่แมลงได้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยุงนั่นเอง ในความเป็นจริงแล้วมีการศึกษาที่แสดงว่าตะไคร้หอมจะลดจำนวนยุงตัวเมียในเบริเวณนั้นได้ 35% ไลนาโลออลลดจำนวนได้ประมาณ 65% และเจอรานิออลลดจำนวนได้ถึง 82% เลยทีเดียว [26]
    • นอกจากนี้ยังมีแผ่นกลิ่นตะไคร้หอมที่คุณสามารถแปะบนเสื้อผ้าของคุณได้อีกด้วย
  6. มีน้ำมันหอมระเหยที่เป็นที่รู้จักในการช่วยไล่แมลง และเมื่อผสมกับน้ำแล้วจะสามารถนำมาทาบนผิวของคุณเพื่อช่วยป้องกันแมลงได้ คุณอาจจะลองใช้เครื่องพ่นน้ำมันหอมระเหยแทนเทียนได้อีกด้วย [27]
    • น้ำมันหอมระเหยต่อไปนี้สามารถใช้ไล่แมลงได้: ยูคาลิปตัส กานพลู ตะไคร้หอม น้ำมันหรือครีมสะเดา และเจลการบูรและเมนทอล
    • ถ้าคุณจะทาสารละลายโดยตรงบนผิวของคุณ ให้ระวังอย่าทาใกล้ดวงตา
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

การระบุสิ่งที่ต้องทำ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. แม้ว่าอาจจะดูค่อนข้างชัดเจน แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องแน่ใจว่าคุณกำลังรักษารอยแมลงกัดอยู่ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นอย่างเช่น พอยซั่นไอวี่ นอกจากนี้อาการบางอย่างอาจจะคล้ายกับภาวะทางการแพทย์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณแพ้แมลงที่กัดคุณ [28]
    • มักจะพบอาการต่อไปนี้ที่หรือใกล้บริเวณที่มีรอยกัดจริงๆ ได้แก่ อาการปวด บวม แดง คัน ร้อนอุ่นๆ ลมพิษ และ/หรือมีเลือดออกเล็กน้อย คุณอาจจะพบอาการเหล่านี้หนึ่งอย่าง บางส่วน ทั้งหมด หรือแม้กระทั่งไม่มีอาการใดๆ จากอาการเหล่านี้เลย ขึ้นอยู่กับว่าคุณตอบสนองต่อแมลงและรอยกัดที่เฉพาะเจาะจงอย่างไร [29]
    • อาการต่อไปนี้ร้ายแรงกว่าและอาจจะบ่งบอกว่ามีอาการแพ้ต่อรอยแมลงกัดที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ได้แก่ การไอ อาการเหน็บชาในคอ อาการแน่นในคอหรือหน้าอก ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ หายใจเสียงฮืดฮาด คลื่นไส้อาเจียน อาการเวียนศีรษะหรือเป็นลม เหงื่อออก กระวนกระวายและ/ หรืออาการคันและผื่นในบริเวณอื่นบนร่างกายนอกเหนือจากบริเวณรอยกัด [30]
  2. ถ้ามีคนถูกแมลงกัดข้างในปาก จมูก หรือคอ หรือกำลังมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่อาจจะรุนแรง ให้โทร 191 หรือ 1669 หรือพาบุคคลนั้นไปห้องฉุกเฉินทันที คนที่มีเกิดอาการแบบนี้อาจจะต้องการการช่วยเหลือทางการแพทย์เพื่อช่วยให้พวกเขาหายใจ และอาจจะต้องใช้ยาบางอย่างเพื่อบรรเทาอาการ เช่น อิพิเนฟริน (Epinephrine) คอร์ติโคสเตียรอยด์(Corticosteroids) เป็นต้น [31]
    • ถ้าบุคคลที่ถูกแมลงกัดเป็นโรคภูมิแพ้ต่อรอยแมลงกัดบางอย่างที่เขารู้อยู่แล้ว เขาอาจจะพก อีพิเพน (เข็มฉีดอิพิเนฟรินแบบพกพา) ติดตัวอยู่ด้วย ถ้าเขาพกไว้ ให้ทำตามคำแนะนำบนอีพิเพนเพื่อให้ยาแก่บุคคลนั้นทันที คำแนะนำในการใช้อีพิเพนนั้นยังสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของพวกเขา ที่นี่
    • บุคคลนั้นยังต้องไปพบแพทย์ทันที แม้ว่าคุณจะฉีดอิพิเนฟรินให้เขาไปแล้ว
  3. ถ้าบุคคลที่ถูกแมลงกัดไม่ได้เกิดอาการภูมิแพ้รุนแรง (หรือไม่ได้ถูกกัดในทางเดินหายใจ) เขาอาจจะไม่เป็นไรชั่วคราว แต่ถ้าเขาเริ่มมีอาการใดๆ ต่อไปนี้แล้วล่ะก็ เขาอาจจะต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป [32]
    • การติดเชื้อทุติยภูมิอาจจะเกิดจากอาการคันและทำให้ผิวหนังเกิดรอยถลอกที่ทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าไปได้ ผิวหนังเป็นชั้นแรกของการป้องกันการติดเชื้อ
    • อาการปวดหรืออาการคันอย่างเรื้อรัง ไข้ อาการของการติดเชื้อที่บริเวณรอยแมลงกัด
    • ยกตัวอย่าง ถ้าบุคคลนี้เกิดการติดเชื้อ เขามีแนวโน้มว่าจะต้องการยาปฏิชีวนะเพื่อสู้กับอาการติดเชื้อนั้น
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าแมลงที่กัดคุณเป็นแมลงที่บินได้อย่างเช่น ผึ้ง หรือตัวต่อ ให้แน่ใจว่าได้เอาเหล็กในออกจากผิวของคุณก่อนที่จะทำการรักษาใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าใช้นิ้วมือเอาออกไม่ได้ คุณสามารถใช้แหนบได้ [33]
โฆษณา
  1. http://www.besthealthmag.ca/best-you/home-remedies/natural-home-remedies-insect-and-spider-bites
  2. http://www.besthealthmag.ca/best-you/home-remedies/natural-home-remedies-insect-and-spider-bites
  3. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  4. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  5. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  6. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  7. http://healthycanadians.gc.ca/diseases-conditions-maladies-affections/disease-maladie/lyme/ticks-removal-enlever-tiques-eng.php
  8. http://healthycanadians.gc.ca/diseases-conditions-maladies-affections/disease-maladie/lyme/ticks-removal-enlever-tiques-eng.php
  9. http://healthycanadians.gc.ca/diseases-conditions-maladies-affections/disease-maladie/lyme/symptoms-symptomes-eng.php
  10. http://healthycanadians.gc.ca/diseases-conditions-maladies-affections/disease-maladie/lyme/ticks-removal-enlever-tiques-eng.php
  11. http://healthycanadians.gc.ca/diseases-conditions-maladies-affections/disease-maladie/lyme/ticks-removal-enlever-tiques-eng.php
  12. http://www.doh.wa.gov/Portals/1/Documents/Pubs/333-179.pdf
  13. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  14. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  15. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  16. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  17. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  18. http://umm.edu/health/medical/altmed/condition/insect-bites-and-stings
  19. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  20. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  21. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  22. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  23. http://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/adult/pediatrics/bites_and_stings_insects_85,p01032/
  24. http://www.medicinenet.com/bug_bite_treatment-page2/views.htm

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,161 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา