PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ไม่มีใครที่เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกคน แต่บางครั้งการเป็นคนที่น่าคบหาก็เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตด้านสังคมหรือหน้าที่การงานด้วย และคุณก็สามารถทำให้คนอื่นมาชอบคุณได้ ปล่อยพลังปรมาจารย์ยิวยิตสูด้านสังคมจากภายในออกมา รับรองว่าไม่ว่าใครก็ต้องชอบคุณเกือบทุกราย เพราะสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้อื่นชอบคุณมากกว่าเดิมอาจจะเป็นแค่การใส่ใจชีวิตและความสนใจของพวกเขามากขึ้นอีกสักนิดก็ได้นะ!

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ฝึกฝนภาษาท่าทางที่น่าคบหา

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยิ้ม. วิธีที่ทำให้คนอื่นชอบคุณได้อย่างง่ายดายที่สุดก็คือการยิ้มอย่างจริงใจ คนเราอยากอยู่ใกล้คนที่สนุกและมีความสุขเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ ก็คือแค่คุณอยู่ตรงนั้นเขาก็รู้สึกดีแล้ว การยิ้มคือสิ่งแรก (และเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุด) ที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะเป็นคนที่พวกเขาอยากอยู่ใกล้ๆ แค่ยิ้มออกมา เท่านี้คุณก็เข้าไปอยู่ในใจพวกเขาแล้ว
    • จำไว้ว่าถ้าคุณทำเหมือนว่าคุณมีความสุข คุณก็อาจจะ รู้สึกมีความสุขขึ้น ได้จริงๆ อย่าฝืนยิ้มปลอมๆ ออกมาเพราะคนอื่นจะจับได้ แต่ก็รู้ไว้ด้วยว่าถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ บางครั้งการฝืนยิ้มก็ช่วยหลอกให้ใจคุณรู้สึกดีขึ้นได้
  2. หวังว่าขั้นตอนนี้คงจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะการสบตาเป็นหนึ่งในวิธีการที่เรียบง่ายที่สุดในการแสดงออกว่าคุณกำลังสนใจ เวลาที่ดูทีวีคุณก็มองมันใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณคุยกับใคร คุณก็ควรมองเขาด้วยใช่ไหม
    • การไม่ค่อยสบตาอาจถูกมองว่าเป็นกิริยาที่หยาบคาย คุณมัวมองอะไรอยู่ อะไรที่แย่งความสนใจจากคุณไป ทำไมบทสนทนาที่อยู่ตรงหน้าถึงไม่ดีพอที่จะทำให้คุณสนใจได้ ถ้าการไม่ค่อยสบตาเป็นปัญหาของคุณ ก็แค่รู้เอาไว้ ทั้งหมดที่คุณต้องปรับปรุงก็คือเรื่องนี้แหละ!
    • แต่การสบตา มากเกินไป ก็อาจทำให้อีกฝ่ายอึดอัดได้ และมันอาจจะดูเหมือนว่าคุณจ้องเขาต่ำลงมา ถ้าคุณรู้ตัวว่าการจ้องตาเขม็งเป็นปัญหาของคุณ ให้พยายามยุกยิกบ้างเป็นครั้งคราว เพราะเป็นไปได้ว่าในการสนทนาอาจจะต้องมีการทำไม้ทำมือ มีอาหาร หรือมีสิ่งอื่นที่เบี่ยงเบนความสนใจของคุณไป แต่ให้ทำแค่แป๊บเดียวเท่านั้น
  3. วิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนี้ก็คือ ในทางวิวัฒนาการการเอียงศีรษะทำให้อีกฝ่ายเห็นหลอดเลือดแดงคอมมอนคาโรติด ซึ่งเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าเราไม่ได้มาหาเรื่อง [1] บางส่วนในส่วนลึกของสมองจะส่งสัญญาณให้เรารู้ว่า คนที่เราคุยด้วยไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยและเราสามารถเข้าหาเขาได้อย่างสบายใจ
    • การเอียงศีรษะเป็นการหลีกเลี่ยงการยืนในลักษณะของการ "ตั้งท่า" เพราะมันเป็นการกระทำที่อ่อนโยนกว่า มีท่าทีของการเห็นอกเห็นใจ และเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าคุณสนใจเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็อยากได้ เพราะฉะนั้นครั้งต้องไปถ้าคุณไม่รู้ว่าต้องยืนแบบไหน ให้เอียงศีรษะเข้าหาเขา เพราะมันบ่งบอกอะไรได้หลายอย่างจริงๆ
  4. วิธีนี้อาจเป็นหนึ่งในการส่งสัญญาณแบบไม่ใช้คำพูดที่คุณเองก็ไม่ทันรู้ตัว เพราะฉะนั้นคุณอาจจะทำแบบนี้อยู่แล้วก็ได้! สัญญาณทั่วไปที่แสดงออกถึงความเป็นมิตร (และบ่งบอกว่าคุณไม่เป็นพิษเป็นภัย) ก็คือการยักคิ้วเร็วๆ แค่ยักคิ้วขึ้นและลงเล็กน้อยเร็วๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักจะทำเวลาเราเดินเข้าไปหาใครและเป็นกิริยาที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ [1]
    • ยักคิ้วพร้อมกับยิ้ม เท่านี้คุณก็มีพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ที่น่าคบหาและเข้าถึงได้แล้ว แต่ให้ยักคิ้วเฉพาะเมื่อเริ่มการสนทนาเท่านั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ๆ ก็ทำระหว่างการสนทนาได้เหมือนกับการเอียงศีรษะ
  5. ถ้าคุณวางตำแหน่งร่างกายแบบเดียวกับอีกฝ่าย เป็นไปได้ว่าคุณน่าจะกำลังคิดเรื่องเดียวกัน [2] คุณอาจจะทำแบบนี้กับคนรอบข้างบ่อยกว่าที่คุณรู้ตัวด้วยซ้ำ ข่าวดีก็คือคุณสามารถใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ได้! คนเราชอบคนที่เป็นเหมือนเรา และวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายด้วย
    • ถ้าคุณคุยกับใครแล้วเขาจัดวางร่างกายแบบเดียวกันกับคุณ คุณมักจะรู้สึกว่าเขาตามคุณทัน และเขาก็จะมองว่าคุณเข้าใจเขาและเชื่อมโยงกันได้ ( ได้คะแนนไปเลย ) เพราะฉะนั้นให้วางท่าทางแบบเดียวกับเขาระหว่างพูดคุยกัน แต่อย่าตั้งใจมาก เพราะถ้าเขาสังเกตได้มันจะดูปลอมและไม่เป็นธรรมชาติ
  6. หนังสือหลายเล่มจะบอกให้คุณตั้งไหล่ให้ตรง เงยหน้าขึ้น และจับมือแน่นๆ เสมอ แม้ว่าข้อปฏิบัติเหล่านี้จะเป็นความคิดที่ดีและเหมาะกับบางสถานการณ์ แต่ในบางสถานการณ์คุณอาจจะไม่ได้อยากดูเป็นคนแข็งกร้าวขนาดนั้นก็ได้ คงความมั่นใจเอาไว้ แต่ก็ส่งสัญญาณว่าคุณให้เกียรติเขาด้วยเพื่อให้มันสมดุลขึ้น
    • ไม่ว่าคุณจะพบใคร การแสดงความเคารพสักเล็กน้อยก็ไม่เสียหายอยู่แล้ว ถ้าคุณพบใครสักคนและกำลังจะจับมือกับเขา ให้ก้าวขาไปหาเขาและโน้มตัวไปเล็กน้อย (เพื่อให้คุณได้ก้มศีรษะ) เอียงศีรษะ ใช้ท่าทางการวางตัวแบบเปิด (คืออย่ากอดอกหรือไขว้ขาตลอดเวลา) และโน้มตัวด้านใดด้านหนึ่งเข้าไปหา การแสดงให้เห็นว่าคุณผ่อนคลายและสนใจอีกฝ่ายจะทำให้อีกฝ่ายชอบคุณไม่ว่าจะเป็นการสนทนาระดับไหนก็ตาม
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ทำให้คนอื่นชอบคุณแบบ 1 ต่อ 1

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สนใจเขา จะมีบทสนทนาไหนที่ดีไปกว่าการได้พูดคุยกับคนที่สนใจในเรื่องที่เราพูดอย่างแท้จริงบ้างล่ะ ถ้าคุณกำลังคุยอยู่กับใครแล้วได้ยินตัวเองพูดว่า "ผมทำโน่น ผมทำนี่" ให้หยุดก่อน ถามเขาด้วยว่าเขาคิดอย่างไร เพราะการสนทนาเกิดจากการพูดคุยของทั้งสองฝ่าย!
    • การหมายความตามที่พูดนั้นดีกว่าเสมอ เพราะคนจะสังเกตได้หากคุณแกล้งทำเป็นถ่อมตัว การตั้งท่าแสดงความสนใจในตัวคนที่คุณไม่ได้สนใจจริงๆ แค่เพื่อให้ได้รับความนิยม นั้นไม่ได้ผลในระยะยาว เพราะฉะนั้นจง เป็น คนที่สนใจคนอื่นอย่างแท้จริง! ถ้าหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมันยากเกินกว่าที่คุณจะแกล้งทำเป็นสนใจได้จริงๆ ให้เบี่ยงเบนบทสนทนาไปทางอื่น
  2. ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนนี้ มันก็อาจจะฟังดูตลกหน่อยๆ มันเป็นเทคนิคที่รู้จักกันในชื่อ "ผลแบบเบนจามิน แฟรงคลิน" หลักการก็คือคุณขอความช่วยเหลือจากเขา แล้วเขาก็ช่วยเหลือคุณ คุณขอบคุณเขา และกลายเป็นว่า เขา ชอบ คุณ มากขึ้น คุณคงคิดว่าคนที่เป็นฝ่ายขอให้คนอื่นทำอะไร ให้ จะเป็นคนที่เกิดความรู้สึกชอบอีกฝ่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะฉะนั้นครั้งหน้าถ้าคุณอยากยืมอะไรใคร ก็ไม่ต้องลังเลที่จะถามเลย!
    • แนวคิดในที่นี้คือทุกคนชอบที่จะเป็นคนที่มีประโยชน์และไม่ว่าใครก็อยากให้คนอื่นติดหนี้บุญคุณตัวเองมากกว่าให้ตัวเองไปติดหนี้คนอื่น พวกเขาได้อำนาจและจุดมุ่งหมายจากคุณ จึงทำให้พวกเขาชอบคุณมากขึ้น [1] แต่อย่าทำแบบนี้ตลอดเวลา เพราะการขอให้คนอื่นช่วยบ่อยเกินไปจะทำให้คนอื่นรำคาญคุณได้
  3. พูดคุยเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ. ถ้าคุณรู้ว่างานอดิเรกหรือสิ่งที่เขาหลงใหลคืออะไร ให้ชวนคุยเรื่องนั้น! วิธีนี้มักจะทำให้เขาคุยกับคุณไม่หยุดหย่อนและทำให้คุณไม่ต้องหาเรื่องอื่นมาคุยด้วย! เขาจะเอาแต่พูดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดและรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานทั้งที่จริงๆ แล้วคุณทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเพราะไม่มีจังหวะให้คุณได้พูดเลย และถ้าคุณจำสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาลอยๆ ได้ เขาจะยิ่งประทับใจเป็นสองเท่า
    • ใช้โอกาสนี้พูดชื่อเขา เพราะคนเราชอบได้ยินชื่อตัวเอง อย่างที่เดล คาร์เนกีกล่าวไว้ว่า สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในภาษานั้นๆ [3] มันเป็นสิ่งยืนยันการมีอยู่ของเขาแล้วเขาก็จะรู้สึกอุ่นใจและมีความสุขมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณหาจังหวะพูดชื่อเขาได้ ก็ทำเลย
  4. แสดงความเข้าอกเข้าใจ. ก็ฟังดูตรงไปตรงมาและสมเหตุสมผลดีใช่ไหมล่ะ แต่ก็แปลกดีที่แม้ว่ามนุษย์จะเข้าใจเรื่องนี้ (ในระดับนึง) แต่เราก็มักจะเผลอละเลยมันไปได้ง่ายๆ เพราะเราเอาแต่คิดถึงเรื่อง ฉัน ฉัน ฉัน และรอว่าเมื่อไหร่จะถึงตาเราพูดบ้างในครั้งถัดไป ในการทำให้เราดูเป็นคนน่าคบหามากยิ่งขึ้นนั้น ให้เบี่ยงเบนความสนใจทั้งหมดไปที่อีกฝ่ายแล้วพยายามเข้าใจเขา
    • แค่คำพูดธรรมดาๆ ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีกับคุณได้ สมมุติว่าอีกฝ่ายกำลังเล่าปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาให้คุณฟัง คุณก็จะตอบไปโดยอัตโนมัติว่า "ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง" ก็ฟังดูไม่ใช่คำพูดที่ใจจืดใจดำนี่นา แต่คุณกำลังเน้นแต่ตัวเองและความสามารถของคุณ และยิ่งกว่านั้นคืออีกฝ่ายอาจจะคิดว่า "ไม่ คุณไม่เข้าใจหรอก" เพราะฉะนั้นให้เปลี่ยนไปใช้คำพูดที่ซ้ำซากน้อยกว่านี้ (ซึ่งจะทำให้คำพูดนั้นมีความหมายมากขึ้นด้วยแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันคือการทำเพื่อตัวเองก็ตาม) เช่น "ก็คือคุณรู้สึกแบบนี้ แบบนี้ และแบบนี้ใช่ไหม" แค่พูดซ้ำสิ่งที่เขาพูดก็ทำให้เขารู้สึกว่าคุณใส่ใจเขาแล้ว แถมยังทำให้เขารู้สึก ดี ด้วย
  5. อีกหนึ่งวิธีที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่โชคร้ายที่การกล่าวชมคนอื่นบางครั้งก็ชวนกระอักกระอ่วน (หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องกล่าวชมคนอื่นยังไง!) และมันดูเหมือนคุณจะมีเจตนาไม่ดีด้วย (เช่นในเรื่องของความสัมพันธ์) สำหรับมือใหม่หัดชม ให้ลืมความรู้สึกตัวเองไปก่อน เพราะไม่ว่าใครก็ชอบคำชมทั้งนั้น อย่างน้อยก็คำชมที่จริงใจและถูกที่ถูกเวลาล่ะนะ!
    • คุณต้องแน่ใจว่าคำชมของคุณมีความหมายและเหมาะสม ถ้าอีกฝ่ายเพิ่งจะผ่านค่ำคืนที่ยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีรอยเปื้อนจากพื้นห้องน้ำสาธารณะร้างติดตามตัวอยู่ ก็อย่าไปบอกว่าคุณสวยจังเลย เพราะอีกฝ่ายจะซาบซึ้งและรับคำชมอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อมันเป็นคำชมที่จริงใจเท่านั้น
    • การบอกผู้ชายว่าคุณชอบเนคไทของเขาก็เป็นคำพูดที่ดีและเหมาะสม แต่จะให้เขาตอบกลับมาว่าอะไรล่ะ "ขอบคุณครับ พวกเด็กๆ ที่อยู่ในโรงงานห่างไกลเป็นคนทำน่ะครับ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย" โอเค เขาคงไม่ตอบกลับมา แบบนั้น หรอก แต่คุณเข้าใจใช่ไหมล่ะ ชมว่าเขาพรีเซนต์ Powerpoint ได้เจ๋งมาก ชมอารมณ์ขันของเขา สิ่งที่มีความหมายกับเขาหรือสิ่งที่เขาได้ลงมือทำจริงๆ เพราะเขาจะต้องชอบที่คุณเห็นผลงานของเขาอยู่แล้วล่ะ
  6. เมื่อเราอายุครบ 5 ขวบครึ่ง เราจะเริ่มรู้แล้วว่าสังคมจับตามองเราตลอด 24 ชั่วโมง และพฤติกรรมบางอย่างก็ถูกมองว่าผิดหรือเป็นที่ยอมรับภายใต้การจับตามอง และเนื่องจากว่ามนุษย์ไม่สามารถทนต่อการถูกจับตามองได้ เราจึงพยายามหนีมันกันจ้าละหวั่น แต่โชคร้ายที่ช่วงเวลาที่น่าอับอายนั้นยังคงเกิดขึ้นกับเรา ทุกคน เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นมันเกิดขึ้นกับใคร เราก็ยังรับรู้ความเจ็บปวดของเขาได้อยู่ แล้วคนๆ นั้นน่ะเหรอ เราก็ยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีกน่ะสิ [4]
    • สมมุติว่าคุณเห็นใครสักคนโดนแกล้งเอากางเกงลง มันจะมีปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เกิดขึ้นกับ คุณทั้งสองคน คนที่ถูกดึงกางเกงลงก็อาจจะหัวเราะ (หวังว่านะ) หน้าแดงนิดหน่อย อาจจะปล่อยมุกออกมา ส่ายหัว เอามือปิดหน้า และพยายามผ่านวันนั้นไปด้วยเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีที่ยังเหลืออยู่ แล้วสิ่งที่เขาทำคืออะไรน่ะเหรอ เขาทำให้คุณเห็นไงว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เขาตระหนักว่าตัวเองไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นและรับรู้ได้จากพฤติกรรมของเขาเอง นั่นแหละคือสิ่งที่น่าคบหา เพราะว่ามันคือของจริง
      • สมมุติว่าเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้ขึ้นอีกครั้งแต่เกิดขึ้นกับคนละคน ครั้งนี้เขาทำหน้านิ่งๆ ดึงกางเกงในกลับขึ้นมาเหมือนเดิม พยักหน้าห้วนๆ แล้วเดินต่อ ซึ่งไม่น่ารักเลย พฤติกรรมของเขาไม่ได้ยอมรับความอับอาย จึงทำให้ไม่มีอะไรที่คนอื่นจะสัมผัสได้ เห็นใจ หรือคิดว่ามีเสน่ห์ได้เลย ไม่น่าคบเลยสักนิด
  7. เอาจริงๆ เลยนะ ถ้าคุณอยากจะเชื่อมโยงกับเขา คุณต้องแตะตัวเขา แน่นอนว่าแต่ละความสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแต่ละความสัมพันธ์จึงต้องการระดับการสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นวิธีสร้างความผูกพันที่ได้ผลดีเลยทีเดียว [5] แค่แตะตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ผลแล้ว!
    • ลองนึกภาพคุณทักทายใครสักคนครู่เดียวตอนที่เดินสวนกันเร็วๆ ว่า "หวัดดี" มันเป็นแค่ช่วงเวลาแป๊บเดียวที่เหมือนว่าคุณไม่มีเวลาให้เขา ตอนนี้ลองมานึกภาพฉากเดียวกันคือคุณเดินสวนกับเขาแป๊บนึง คุณกล่าวสวัดดีสั้นๆ แต่เอามือไปแตะไหล่เขานิดนึงด้วย ตูม! การเชื่อมโยงทางกายเกิดขึ้นแล้ว ใจเขาก็จะจดจ่อมาที่คุณ คุณจะอยู่ในสายตาของเขา แล้วเขาก็จะชอบ ชอบ ชอบคุณ
  8. เป็นอีกวิธีที่รู้ๆ กันอยู่แล้วใช่ไหม หัวข้อหลักโดยรวมของบทความนี้จริงๆ แล้วก็คือการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำอย่างไรเมื่อมีวิธีการต่างๆ เข้ามาให้เลือก คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เราทุกคนล้วนมีคุณลักษณะบางอย่างที่เหมือนกัน เราอยากได้ความสนใจ มีความสุข รู้สึกว่ามีคนห่วงใย และมีประโยชน์ และถ้ามีใครให้สิ่งที่ว่ามานี้กับเรา เราก็จะชอบเขา
    • ในการจะทำให้เขารู้สึกดีนั้นคุณควรใช้หลายๆ เคล็ดลับประกอบกัน เพราะแค่กล่าวชม ขอความช่วยเหลือ หรือยิ้มให้นั้นไม่เพียงพอ คุณจะต้องหว่านล้อมเขามาให้ได้ ถ้าคุณให้ความสนใจกับเขา มันก็จะนำไปสู่การกระทำต่างๆ ต่อมา ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถาม (ให้ความสนใจ) กล่าวชม (ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น) ขอคำแนะนำ (ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองฉลาดและมีคุณค่า) และแสดงความเข้าอกเข้าใจ (เขารู้สึกได้รับความห่วงใย) และเมื่อเขารู้สึกดีกับตัวเองแล้ว เขาก็จะรู้สึกดีกับคุณด้วย
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ทำให้โลกใบนี้ชอบคุณ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. แย่หน่อยที่มนุษย์ทุกคนมักจะมองหาสัญญาณเร็วๆ ที่คุ้นเคยมาด่วนตัดสินคนที่พวกเขาพบเจอ ไม่หรอก มันไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่เราทุกคนทำอย่างนั้นเพราะว่ามันง่ายและก็ไม่เจ็บปวดเท่าไหร่ เมื่อเราเจอสถานการณ์นั้นเราก็จะประเมินจากรูปลักษณ์ภายนอกโดยอัตโนมัติ ถ้าเราไม่ชอบ เราก็จะตัดมันทิ้งไปเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีใครมาตัดสินคุณ ให้รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวคุณอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่อยู่รอบข้างคุณด้วย
    • สิ่งที่กล่าวมาคือการพูดแบบซอฟต์ว่าๆ คุณเองก็ถูกตัดสินจากคนที่อยู่รอบตัวคุณเหมือนกัน ถ้าเพื่อนของคุณดูกระเซอะกระเซิงกันทุกคนแต่คุณไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณก็เสี่ยงต่อการถูกเหมารวมว่าเป็นพวกกระเซอะกระเซิงด้วยเหมือนกันอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Facebook ยิ่งเพื่อนใน Facebook ของคุณน่ารักเท่าไหร่ คุณก็จะดูน่ารักมากขึ้นเท่านั้น [6] มันไม่ถูกต้องหรอก แต่มันเป็นเรื่องจริง
  2. คุณเคยได้ยินที่เขาพูดกันว่า "แต่งตัวให้เข้ากับอาชีพที่คุณอยากทำ ไม่ใช่อาชีพที่คุณทำอยู่" ไหม ก็อย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละ คือให้แต่งตัวตามภาพลักษณ์ที่คุณอยากให้คนอื่นเห็น ไม่ใช่ตามความรู้สึกหรือสิ่งที่คุณเป็น คนเราหลงเชื่อจากเสื้อผ้าได้ง่ายๆ อยู่แล้ว "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง" ใช่ไหมล่ะ อยากได้คำพังเพยอื่นอีกไหม
    • งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้กล่าวว่า การใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมสามารถทำให้คนๆ นั้นมีสถานะที่ดูสูงส่งขึ้นได้ คุณภาพของเสื้อผ้าไม่มีผลอะไรเลย แต่การฟาดโลโก้แบรนด์เนมเข้าไปจะทำให้คนอื่นมองว่าคนใส่อยู่ในสถานะที่สูงส่ง ทำให้คนๆ นั้นดูน่าคบหามากขึ้น [7] ซึ่งเป็นอีกสัญญาณที่บ่งบอกว่ามนุษย์เราชอบด่วนตัดสินคนอื่น มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ได้ผลทุกครั้ง (หรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง) แต่มันง่ายดี
  3. วิธีนี้ไม่สามารถเจาะจงได้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะสิ่งที่คุณทำจะต้องเข้ากับบุคลิกภาพ ของคุณ แต่การเป็นคนมี "ของ" อาจทำให้คุณดูเป็นคนน่าคบหาขึ้นได้ เพราะคุณจะเป็นที่จดจำ มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน (หรืออย่างน้อยคนอื่นก็คิดแบบนั้น) และคนอื่นก็จะพยายามเข้าใจคุณมากขึ้น "เฮ้ย! นั่นมันผู้ชายที่มีนกแก้วเกาะมาด้วยนี่นา! ฉันชอบผู้ชายคนนั้นจัง!" อะไรประมาณนี้
    • ถ้าคุณเคยทำงานในอุตสาหกรรมร้านอาหารมาก่อน คุณก็อาจจะมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นี้ ลองคิดถึงลูกค้าที่ให้ทิปส์ 60 บาททุกครั้งดูสิ หลังจากไปครั้งสองครั้ง พนักงานเสิร์ฟก็จะคอยแย่งกันเสิร์ฟเขา ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะเขามีของไง คนอื่นจำเขาได้แม่นเพราะเขาแตกต่างและน่าสนใจ คนก็เลยพากันชอบเขา [8]
  4. แหงอยู่แล้วว่าคงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้พวกผีเข้าผีออก เพราะถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าคุณจะมาไม้ไหน พวกเขาก็จะอึดอัดและตึงเครียด พยายามทำตัวสบายๆ นิ่ง และมีทัศนคติที่เป็นสุขแม้ว่าอะไรๆ จะไม่เป็นดั่งใจ คนที่ไม่ได้รู้จักคุณดีอาจจะเบือนหน้าหนีเอาได้ถ้าคุณแสดงความเป็นคนเอาใจยาก วิตกจริต หรือความรู้สึกไม่มั่นคงบ้าๆ บอๆ ออกมา
    • ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณซ่อนอารมณ์ของคุณนะ! ไม่ๆๆ คุณต้องแสดงความจริงใจ ถ้าอะไรทำให้คุณไม่พอใจ ก็ปล่อยมัน เพราะถ้าคนอื่นเขาไม่ชอบ ทำยังไงเขาก็ไม่ชอบ แต่ก่อนที่คุณจะโวยวายออกมา ให้เลือกสนามรบด้วย มันคุ้มค่าที่จะแสดงความคิดเห็นหรือเปล่า ถ้าคุ้มก็เอาเลย แต่ถ้าไม่ก็ให้ประเมินปฏิกิริยาตอบโต้ของคุณที่มีต่อสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
  5. ระดับอายุ กลุ่ม และประเภทของคนที่แตกต่างกันก็จะมองหาสิ่งที่อยู่ในตัวเพื่อนและคนรักไม่เหมือนกัน ยิ่งคุณอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้างก็น่าจะค่อยเป็นค่อยไปและหวือหวาน้อยลง ด้วยเหตุนี้ภาพลักษณ์ในมุมที่ต่างกันจึงอาจจะใช้ได้ผลกับคนอีกกลุ่มมากกว่า คุณจึงต้องรู้ว่าคุณกำลังรับมือกับใครและพวกเขากำลังมองหาอะไร
    • ความสัมพันธ์ในช่วงมัธยมต้นกับมัธยมปลายจะไม่เหมือนในโลกของผู้ใหญ่ wikiHow รู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องพูดสิ่งนี้ แต่ในวัยมัธยมคนอาจจะชอบคุณมากกว่าถ้าคุณร้ายและเห็นแก่ตัวนิดๆ งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า ความนิยมของคนๆ หนึ่งจะเพิ่มขึ้นหากเขาเป็นพวกอันธพาลหน่อยๆ [9] นั่นเป็นเพราะในช่วงวัยนั้นเด็กคนอื่นจะมองว่าความแข็งแกร่งคือตัวอย่างของสิ่งที่ดี โดยไม่รู้ว่าโลกมันไม่ได้เป็นแบบนั้น สรุปสั้นๆ ก็คือพวกเด็กๆ น่ะร้าย
  6. รักษา สุขอนามัย ขั้นพื้นฐาน. ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนเหม็นเน่า ทั้งแบบที่เหม็นเน่าจริงๆ และในเชิงเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้นอาบน้ำ สระผม โกนขนถ้าจำเป็น แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน หวีผม อมลูกอมหรือหมากฝรั่งรสมินต์ ตัด/ทำความสะอาดเล็บ ใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือ และอื่นๆ เป็นประจำ ก็ไม่มีอะไรที่เหลือบ่ากว่าแรงนี่!
    • มองว่าสิ่งนี้คือการลงทุนในตัวเอง เวลาที่เสียไปกับการทำให้ตัวเองดูดี (และรู้สึกดีด้วย!) จะรับประกันประโยชน์ที่คุณจะได้ในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะมันไม่ได้แค่ดีในแง่ที่ว่าทำให้คนอื่นชอบคุณเท่านั้น แต่มันยังดีต่อสุขภาพของคุณด้วย
  7. ชอบตัวเอง. เอาจริงๆ นะ ถ้าคุณเองยังไม่ชอบตัวเองเลย แล้วคนอื่นเขาจะมาชอบคุณทำไม ความคิดแบบลบๆ ที่อยู่ข้างในมันจะแทรกซึมออกมาผ่านการกระทำในแต่ละวันและคนอื่นเขาก็จะมองออก แล้วทำไมคุณถึงไม่ชอบตัวเองล่ะ คุณเจ๋งจะตาย อย่างน้อยก็เจ๋งพอๆ กับคนรอบข้างคุณนั่นแหละ
    • อย่าพยายามเป็นคนที่คุณไม่ได้เป็น เพราะถ้าคุณพยายามคนเขาจะดูออก รู้ว่าตัวเองเป็นใครและปรับเคล็ดลับเหล่านี้ให้เข้ากับบุคลิกของคุณ เพราะมันให้ผลดีกับคุณในระยะยาวแม้ว่าคุณจะมีแนวคิดหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมือนคนอื่นก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามที่คุณพยายามฝืนสุดท้ายมันก็จะค่อยๆ หายไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นเป็นธรรมชาติตั้งแต่แรกดีที่สุด
  8. มีอารมณ์ขัน. เป็นไปได้ว่าคุณเองก็มีอารมณ์ขันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใช้มันเลย! ถ้าคุณทำให้เขาหัวเราะได้ เท่านี้คุณก็ได้แต้มแล้ว! แค่ระวังว่ามุกที่เล่นจะต้องเหมาะกับกาลเทศะ เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่การทำให้ใครไม่พอใจ แต่ เป็น การทำให้เขายิ้มออกมาได้ต่างหาก
    • ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ใช่คนตลก ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องพยายามตลก คุณอาจจะมีอารมณ์ขันที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเท่าไหร่ คุณอาจจะเป็นคนชอบพูดจาเสียดสี เป็นคนแปลกๆ หรือฉลาดเป็นกรด และทั้งหมดนี้สามารถกลายเป็นช่วงเวลาที่ตลกได้ เพราะฉะนั้นแสดงสิ่งที่คุณมีออกมาแล้วไหลไปตามนั้น เพราะมันสามารถกลายเป็นความตลกขบขันได้
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • มีช่วงเวลาที่มีคุณภาพร่วมกับเพื่อนๆ ไปพร้อมๆ กับการสร้างเพื่อนใหม่ ถ้าคุณไม่ทำแบบนี้ คุณอาจจะเหินห่างจากเพื่อนเก่าได้
  • ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณโกหกคนอื่น ครั้งถัดไปที่คุณบอกอะไรเขา เขาก็จะไม่เชื่อคุณอีกแล้ว
  • พยายามทำตัวตลกๆ แบบเป็นธรรมชาติเป็นครั้งคราวเพื่อให้เพื่อนๆ จำได้
  • อย่าถกเรื่องที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เช่น ศาสนา การเมือง หรือการทำแท้ง ยกเว้นว่าคุณจะรู้จักคนๆ นั้นเป็นอย่างดี
  • อย่าทำตัวเหมือนกับว่าคุณพยายามทำให้คนอื่นชอบคุณเพราะมันอาจทำให้ใครเบือนหน้าหนีคุณตั้งแต่แรก หลักการเดียวกับคำเตือนด้านบนคือพยายามอย่าเสแสร้งไม่ว่าเรื่องอะไร
  • อย่าคบหากับคนที่ไม่เหมาะสม คบหากับคนดีๆ ที่ทำให้คนอื่นเห็นว่าคุณเป็นคนดีน่าคบหาอยู่เสมอ
  • อย่านินทาใครลับหลังไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือศัตรู เพราะมันจะถึงหูเขาเสมอ และสุดท้ายคนก็จะมองว่าคุณเป็นพวกแทงข้างหลังและก็จะไม่มีใครอยากเข้าใกล้คุณ คุณจะเสียเพื่อนที่คุณมี และอาจจะเสียคนที่อาจจะเป็นเพื่อนของคุณในอนาคตได้
  • บางครั้งก็อาจจะมีคนไม่ชอบคุณ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครชอบคุณเลย
  • เป็นกันเองและหัวเราะมุกของคนอื่นแม้ว่ามันจะไม่ได้ตลกขนาดนั้นก็ตาม
  • อย่าพูดจาเหน็บแนมยกเว้นว่าคุณจะรู้จักเขาดีและปล่อยมุกใส่กันได้
  • อย่าทิ้งใครไว้ให้โดดเดี่ยว คุณต้องให้ความสนใจกับทุกคน แม้ว่าคุณจะไม่ชอบเขาก็ตาม
  • อย่าเอามือกอดอกหรือไขว้ขา เพราะมันจะทำให้เขาเห็นว่าคุณไม่อยากอยู่ใกล้เขา และยังทำให้เขาคิดว่าคุณไม่อยากสุงสิงกับใครด้วย
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าแกล้งทำเป็นชอบในสิ่งที่คุณไม่ได้ชอบ เพราะสุดท้ายคุณจะต้องเสียมิตรภาพนั้นไปเสมอ
  • อย่านินทาหรือแม้แต่จะร่วมวงกับกลุ่มที่กำลังนินทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการนินทาว่าร้าย เดินออกมาเลย แล้วเป็นคนที่ดีกว่านี้!
  • เวลาที่สบตากับใคร ต้องสบตาอย่างเป็นมิตรและแสดงถึงการตั้งใจฟัง ไม่ใช่จ้องเขม็งแบบนักแม่นปืนที่กำลังเล็งเป้าลงมา
  • อย่าพยายามซื้อมิตรภาพด้วยการเอาของไปปรนเปรอเขา มันจะทำให้เขาอึดอัดและรู้สึกเหมือนว่าต้องตอบแทนคุณด้วย และเพื่อนที่คุณอยากจะคบหาคงเรียกว่าเพื่อนไม่ได้ถ้าเขาวัดมิตรภาพจากสิ่งที่คุณสามารถซื้อให้เขาได้
  • อย่าคาดหวังจากคนอื่นมากเกินไป ตระหนักด้วยว่าคนอื่นจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างไร
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 5,177 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา