ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ตามหลักการแล้วห้องนอนควรเป็นสถานที่ที่สร้างความสงบและความสบาย แต่ถ้าห้องนอนมีกลิ่นหมักหมมแล้วล่ะก็ มันก็ยากจะที่อยู่ในห้องนอนได้อย่างสบายใจ น้ำหอมปรับอากาศทั่วไปมักจะมีสารเคมีที่เป็นพิษที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเวลาที่คุณสูดลมหายใจเข้าไป (เช่น พาทาเลตที่เชื่อว่าเป็นสารก่อกวนระบบต่อมไร้ท่อในมนุษย์และสัตว์ป่า) [1] แต่โชคดีที่มีวิธีอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยให้ห้องนอนของคุณกลับมาหอมสดชื่นอีกครั้งโดยไม่ต้องเอาตัวเองหรือคนรอบข้างไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ทำความสะอาดห้องนอน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าเป็นไปได้ให้เปิดหน้าต่างอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้อากาศสดชื่นเข้ามาในห้องบ้าง [2] เพราะอากาศที่ไหนก็ไม่ดีเท่าอากาศสดชื่นจากภายนอก อีกทั้งแสงแดดที่ส่องมาโดยตรงยังช่วยฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นอีกด้วย นอกจากนี้อากาศภายนอกยังเป็นพิษน้อยกว่าอากาศในบ้านเสียอีก ซึ่งขัดกับความเชื่อทั่วไป เพราะในบ้านนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นตะกั่ว เรดอน และสารพิษอื่นๆ สะสมอยู่
    • ในช่วงที่อากาศดีๆ ให้เปิดหน้าต่างทุกวันอย่างน้อยวันละ 5 นาที
  2. ทำความสะอาด เครื่องนอน . ซักผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนสัปดาห์ละครั้ง และซักผ้าคลุมเตียงอย่างน้อยฤดูกาลละ 1 ครั้ง (ทุก 3 เดือน) เพราะเครื่องนอนอาจจะมีกลิ่นได้ถ้าคุณไม่ได้ซักเป็นประจำ
    • แทนที่จะเก็บที่นอนทันทีหลังจากตื่นนอน ให้ดึงผ้าปูที่นอนลงมาเพื่อให้ฟูกได้ระบายอากาศอย่างน้อย 30 นาที ร่างกายของคุณปล่อยความชื้นขณะที่คุณหลับ ทำให้เครื่องนอนชื้นและกลายเป็นแหล่งอาหารของเชื้อราและแบคทีเรีย
  3. ใช้ผ้าขี้ริ้วไมโครไฟเบอร์เพื่อดักจับฝุ่น หรืออาจจะใช้ผ้าขี้ริ้วจุ่มน้ำมะนาวเพื่อเพิ่มความหอมชื่น เตรียมผ้าขี้ริ้วไว้ก่อน จากนั้นนำผ้าขี้ริ้วไปเช็ดตามตู้หนังสือ ขอบหน้าต่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ
    • ผสมน้ำ 1 ถ้วย (240 มล.) น้ำส้มสายชูขาว 1 ถ้วย (240 มล.) และน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.) เข้าด้วยกัน
    • แช่ผ้าขี้ริ้ว 2-3 ผืนไว้ในส่วนผสม หรือคุณอาจจะคืนชีพให้เสื้อยืด ชุดชั้นใน และถุงเท้าเก่าๆ ให้กลายเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดระดับห้าดาวก็ได้!
    • บิดผ้าขี้ริ้วให้หมาด นำไปใส่ไว้ในโหลแก้ว จากนั้นนำเปลือกมะนาวฝานเป็นชิ้นๆ จำนวน 1 ลูกวางทับลงไป ปิดขวดโหลให้แน่น
    • เพื่อเพิ่มความหอมให้ของใช้ในห้องนอน ให้หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่คุณชอบลงไปในน้ำสัก 2-3 หยด นำผ้าขี้ริ้วชุบลงในส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยแล้วนำไปเช็ดพื้นผิวที่มีฝุ่น
  4. หลังจากทำความสะอาดห้องแล้ว การดูดฝุ่นจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณทำความสะอาดพื้นได้อย่างหมดจด อย่าลืมซอกต่างๆ ใต้เตียง เฟอร์นิเจอร์ที่มีที่หุ้ม หรือแม้กระทั่งผนังที่อาจมีฝุ่นสะสมอยู่ได้ [3]
    • แผ่นกรองอากาศ HEPA ช่วยดักจับสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น คราบสกปรกและฝุ่น ไม่ให้มันลอยอยู่ในอากาศ
    • ถ้าเป็นไปได้ให้ดูดฝุ่นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และล้างแผ่นกรองอากาศ HEPA เป็นประจำ
  5. ผนังของห้องอาจจะกักเก็บกลิ่นต่างๆ ที่หมักหมมอยู่ ซึ่งน้ำส้มสายชูสามารถช่วยกำจัดกลิ่นเหล่านี้ได้ ผสมน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วย (60 มล.) กับน้ำ 2 ลิตร นำฟองน้ำหรือผ้าขนหนูจุ่มลงไปในส่วนผสมแล้วนำไปทำความสะอาดผนัง
    • ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นน้ำส้มสายชู เพราะพอมันแห้งกลิ่นก็จะหายไปเอง
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

กำจัดกลิ่น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กลิ่นบุหรี่จะติดตามเสื้อผ้าและเครื่องเรือน และเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษทางอากาศในบ้าน คุณอาจจะเลิกสูบบุหรี่ไปเลยเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพสูงสุดทั้งต่อตัวคุณและคนรอบข้าง หรืออย่างน้อยที่สุดก็สูบบุหรี่นอกบ้านเท่านั้น [4]
  2. ถ้าคุณมีถังขยะในห้องนอน อย่าลืมเอาขยะไปทิ้งเป็นประจำและเช็ดถังขยะให้สะอาดด้วยการนำผ้าขี้ริ้วกับสเปรย์มาเช็ดตัวถังขยะ และฉีดสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศเพื่อกำจัดสารพิษที่ส่งกลิ่นต่างๆ
    • ใช้ถังขยะที่มีฝาปิดสนิท เพราะถังขยะแบบนี้จะช่วยเก็บกลิ่นไม่พึงประสงค์เอาไว้ข้างใน
    • ถ้าเป็นไปได้อย่าทิ้งขยะที่เป็นอาหารลงในถังขยะในห้องนอน เพราะขยะที่มาจากอาหารจะทำให้ห้องมีกลิ่นเหม็นได้ไวมากแม้ว่าจะอยู่ในภาชนะที่มีฝาปิดก็ตาม เวลามีขยะจากเศษอาหารให้นำออกจากห้องนอนทันทีและเอาไปทิ้งในถังขยะในครัวหรือถังขยะนอกบ้าน
  3. รองเท้าเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกที่น่ารังเกียจมากมายตั้งแต่มูลสัตว์ไปจนถึงสารเคมีที่เป็นพิษที่อยู่ตามทางเท้าในเมือง การถอดรองเท้าไว้หน้าห้องจะช่วยให้ห้องนอนของคุณเป็นสถานที่ที่ทั้งเอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพและกลิ่นหอมน่าอยู่ด้วย [5]
  4. พรมมักเป็นแหล่งสะสมของกลิ่นอับ ฉีดสเปรย์น้ำหอมสำหรับพรมลงบนพรม จากนั้นก็ดูดฝุ่น (ทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้) หรือคุณอาจจะทำน้ำยาทำความสะอาดพรมใช้เองที่จะช่วยให้พรมของคุณมีกลิ่นหอมสดชื่นอย่างรวดเร็วก็ได้ :
    • ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วย (110 ก.) กับสารบอแรกซ์ครึ่งถ้วย (100 ก.) ลงในชามพลาสติก จากนั้นใส่น้ำมันหอมระเหยที่ชอบ (ส้มป่าเป็นยากันเห็บหมัดจากธรรมชาติ) 1 ช้อนชา (5 มล.) หรือจะใส่อบเชยหรือกานพลู 1 ช้อนชา (ประมาณ 2 กรัม) แทนก็ได้ (กานพลูช่วยป้องกันแมลง) คนให้เข้ากันจนกว่าส่วนผสมจะหายจับกันเป็นก้อน
    • โรยส่วนผสมลงบนพรมและปล่อยทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก
    • ถ้าคุณกังวลว่าจะมีคราบบนพรมสีอ่อน ก็ไม่ต้องใช้อบเชยหรือกานพลู แต่อาจจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยกลิ่นอบเชยหรือกานพลูแทน
    • ถ้าคุณหรือคนอื่นไวต่อกลิ่น ให้ใช้เบกกิ้งโซดาอย่างเดียว แค่โรยลงบนพรมและปล่อยทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นก็ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก [6]
  5. ถ้าคุณมีเลี้ยงสัตว์ในห้องนอน คุณต้องดูแลรักษาที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงให้สะอาด เอาขยะเปียกไปทิ้งทุกวันและทำความสะอาดกล่องขับถ่าย กรง และตู้ปลาเป็นประจำ
    • ถ้าสัตว์เลี้ยงนอนห้องเดียวกับคุณ ให้ทำความสะอาดเครื่องนอนของสัตว์เลี้ยงให้บ่อยกว่าเครื่องนอนของคุณเอง เพราะที่นอนและผ้าห่มของสัตว์เลี้ยงจะสะสมกลิ่นหมักหมมได้ไวกว่า
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ใช้น้ำหอมปรับอากาศธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. งานวิจัยกล่าวว่าต้นไม้นอกจากจะช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับห้องนอนแล้ว ยังช่วยกรองอากาศที่ปล่อยออกมาจากวัสดุสังเคราะห์ได้ด้วย แต่ก็นึกไว้อย่างนึงว่าต้นไม้บางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ในกลุ่มคนที่แพ้ เพราะฉะนั้นเวลาเลือกต้นไม้มาปลูกในบ้านก็ให้ระวังด้วย [7]
    • ถ้าบ้านคุณมีสัตว์เลี้ยงหรือเด็ก ต้องแน่ใจว่าต้นไม้ถ้าเผลอกินเข้าไปจะไม่เป็นพิษ
    • ดูให้ดีว่าต้นไม้ที่เลือกมาเหมาะกับสภาพแวดล้อมในห้องนอน เพราะต้นไม้บางชนิดชอบแสงแดดโดยตรง แต่บางต้นก็ชอบแดดแค่รำไร หาข้อมูลว่าต้นไม้ต้องการอุณหภูมิและความชื้นเท่าไหร่ ร้านขายต้นไม้บางร้านจะมีป้ายบอกวิธีการดูแลรักษาไว้แล้ว
  2. แต้มสารสกัดจากวานิลลา 2-3 หยดลงบนหลอดไฟที่ไม่ร้อน. เวลาที่คุณเปิดไฟ ความร้อนจากหลอดไฟก็จะส่งกลิ่นหอมออกมา [8]
  3. ในขณะที่น้ำหอมปรับอากาศที่ขายตามท้องตลาดเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นอันตราย น้ำมันหอมระเหยผสมน้ำกลับเป็นตัวเลือกง่ายๆ ที่ใช้แทนกันได้เป็นอย่างดี แค่ผสมน้ำกลั่น ¼ ถ้วย (60 มล.) กับน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ 10-15 หยดลงในขวดสเปรย์เปล่า
    • กลิ่นลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย ส่วนกลิ่นซิตรัสอย่างกลิ่นเลมอน ส้ม ส้มป่า และเกรปฟรุตช่วยให้รู้สึกสดชื่น [9]
    • หรือคุณจะผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา (4 ก.) ลงไปด้วยก็ได้ ซึ่งจะกลายเป็นสเปรย์ดับกลิ่นสำหรับเฟอร์นิเจอร์ [10]
    • คุณสามารถใช้ส่วนผสมนี้กับผ้าต่างๆ ผ้าม่าน และพรมได้
  4. ใช้เทียนหอมธรรมชาติที่ทำจากถั่วเหลืองหรือขี้ผึ้ง. เทียนช่วยเพิ่มบรรยากาศและทำให้อากาศในห้องมีกลิ่นน่าอภิรมย์มากขึ้น เพราะฉะนั้นคุณต้องช่างเลือกสักหน่อยเวลาเลือกซื้อเทียน เทียนหลายชนิดมีพาราฟินที่ปล่อยสารเคมีก่อมะเร็งเวลาจุด และวัสดุที่ใช้ทำไส้เทียนก็มักจะมีตะกั่วและกลิ่นสังเคราะห์ที่อาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นให้มองหาเทียนที่ทำจากถั่วเหลืองหรือขี้ผึ้งที่แต่งกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่จะส่งกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ ออกมาด้วย [11] [12]
    • หรือคุณจะทำเทียนใช้เองที่บ้านก็ได้
  5. เครื่องหอมคือส่วนผสมของของหอมต่างๆ เช่น กลีบดอกไม้แห้ง ใบไม้ และเครื่องเทศที่ทำให้ห้องนอนของคุณอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอย่างยาวนาน คุณสามารถหาซื้อเครื่องหอมได้ตามร้านขายสมุนไพร ร้านขายของตกแต่งบ้าน หรือทางออนไลน์ หรือคุณจะทำเครื่องหอมเองก็ได้ง่ายๆ แค่ผสมโป๊ยกั๊กดาว ก้านอบเชย และกานพลูลงในโหลหรือจานใบเล็กๆ แล้ววางไว้ในห้องนอน
    • แต่ถ้าคุณอยากได้กลิ่นที่ซับซ้อนกว่านั้น คุณก็สามารถนำแอปเปิลและส้มไปอบให้แห้งในเตาอบและใส่ลงไปในส่วนผสมได้ด้วย หั่นแอปเปิลและส้มออกเป็นแผ่นบางๆ วางลงบนถาดอบคุกกี้โดยวางชั้นเดียวไม่ซ้อนกัน จากนั้นอบในเตาอบที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียสเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งหรือจนกว่าจะแห้ง [13]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • การฟังเพลงโปรดขณะทำความสะอาดห้องจะทำให้การทำความสะอาดรื่นรมย์ขึ้น
  • ฉีดน้ำหอมปรับอากาศให้ทั่วห้อง จากนั้นเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อให้อากาศในห้องออกไปข้างนอก หรือคุณจะเปิดพัดลมเพื่อให้อากาศหมุนเวียนแล้วฉีดน้ำหอมปรับอากาศด้วยก็ได้
  • จุดเทียน เพราะเทียนเพิ่มความหอมสดชื่นและทำให้คุณอารมณ์ดีด้วย
  • คุณอาจจะวางเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วย (520 ก.) ไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องเพื่อดูดซับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และคอยเปลี่ยนเบกกิ้งโซดาใหม่อยู่เรื่อยๆ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 32,693 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา