ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

แม้ว่าแผลถลอกที่หัวเข่าจะเป็นแผลถลอกเพียงเล็กน้อย แต่คุณควรทำตามขั้นตอนเพื่อให้แผลหายอย่างรวดเร็วและปลอดภัย [1] ด้วยอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายเพียงไม่กี่ชิ้น คุณก็สามารถทำความสะอาดและดูแลแผลได้ ทำตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างถูกต้อง แล้วแผลของคุณจะกลับมาหายดีเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ประเมินสถานการณ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. โดยส่วนใหญ่แล้วแผลถลอกที่หัวเข่ามักเป็นเพียงแผลเล็กๆ ซึ่งสามารถรักษาเองได้ที่บ้าน แต่คุณควรตรวจดูบาดแผลให้แน่ใจเสียก่อน บาดแผลที่ไม่รุนแรงและสามารถรักษาเองได้โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์จะต้องไม่มีอาการดังต่อไปนี้ [2]
    • ไม่ลึกเกินไปจนสามารถมองเห็นชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ หรือกระดูก
    • ไม่มีเลือดไหลพุ่งออกมา
    • ขอบแผลไม่ขรุขระหรือเปิดกว้าง
    • ให้ไปพบแพทย์หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้
    • หากคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักเป็นเวลาสิบปี ควรพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน
    • หากคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักห้าปีและแผลนั้นเกิดจากของสกปรกหรือเป็นแผลเจาะลึก (แผลที่ลึกมากกว่าเปิดกว้าง) ควรพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน
  2. [3] เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อในระหว่างการทำแผล คุณควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำอุ่นก่อนทำแผล หากต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ ให้สวมถุงมือแบบใส่แล้วทิ้งก่อนเริ่มทำความสะอาดแผล
  3. หากบาดแผลมีเลือดออก ให้ห้ามเลือดโดยออกแรงกดที่บาดแผล
    • ล้างแผลด้วยน้ำและทำความสะอาดบริเวณบาดแผลหลังห้ามเลือดเสร็จเรียบร้อย หากมีเศษดินหรือสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันตรงบริเวณที่มีเลือดออก ให้ล้างออกด้วยน้ำก่อนทำการห้ามเลือด
    • ในการห้ามเลือด ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซกดทับบนแผลเพื่อซับเลือด ออกแรงกดไว้ประมาณ 2-3 นาที
    • เปลี่ยนผ้าหรือผ้าก๊อซหากเริ่มชุ่มเลือด
    • หากเลือดไม่หยุดไหลหลังผ่านไป 10 นาที ให้ไปพบแพทย์ เนื่องจากคุณอาจจำเป็นต้องเย็บแผล [4] [5] [6]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ล้างและทำแผล

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปล่อยให้น้ำเย็นไหลผ่าน หรือเทน้ำล้างแผล ควรล้างนานพอเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำไหลผ่านทั่วบริเวณแผล เพื่อให้เศษดินและ/หรือสิ่งสกปรกถูกล้างออกจนหมด [7] [8]
  2. ทำความสะอาดรอบๆ บาดแผลด้วยสบู่ต้านเชื้อแบคทีเรียและน้ำเปล่า แต่พยายามอย่าให้สบู่โดนบาดแผล เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ [9] [10] การทำความสะอาดแผลจะช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรียและต่อต้านการติดเชื้อ
  3. หากพบสิ่งสกปรกในบาดแผล เช่น ดิน ทราย เศษต่างๆ เป็นต้น ให้ใช้แหนบค่อยๆ หนีบออกไปอย่างระมัดระวัง ก่อนใช้แหนบ ให้ล้างและฆ่าเชื้อโรคแหนบโดยเช็ดด้วยสำลีก้อนหรือผ้าก๊อซที่จุ่มไอโซโพพิลแอลกอฮอล์ [14] [15] ล้างแผลด้วยน้ำเย็นหลังจากกำจัดสิ่งสกปรกออกจนหมดแล้ว
  4. หลังจากล้างและทำความสะอาดบาดแผลเสร็จแล้ว ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าขนหนูซับเบาๆ ให้แห้ง ไม่ควรถูแรงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเจ็บปวด
  5. ใช้ยาทาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแผลสกปรก. การใช้ยาทาปฏิชีวนะสามารถป้องกันการติดเชื้อและช่วยรักษาแผลให้หายเป็นปกติ [17] [18]
    • ยาทาปฏิชีวนะมีหลายประเภท ซึ่งมีสารออกฤทธิ์หรือส่วนประกอบที่แตกต่างกัน (เช่น แบซิทราซิน (bacitracin) นีโอมัยซิน (neomycin) และโพลีมัยซิน (polymyxin)) ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ทั้งปริมาณที่เหมาะสมและวิธีการใช้ยา
    • ยาทาบางประเภทมีส่วนประกอบของยาระงับปวดอ่อนๆ สามารถผ่อนคลายอาการปวดได้
    • ยาทาบางประเภทอาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคนได้ หากคุณสังเกตเห็นรอยแดง อาการคัน การบวม หรืออื่นๆ หลังการใช้ยาทา ให้หยุดใช้และลองใช้ชนิดอื่นที่มีส่วนประกอบแตกต่างกัน
  6. ปิดแผลด้วยผ้าพันแผล เพื่อป้องกันสิ่งสกปรก การติดเชื้อ และการระคายเคืองจากเสื้อผ้า โดยสามารถใช้ผ้าพันแผลชนิดมีกาว หรือใช้ผ้าก๊อซปลอดเชื้อแล้วติดให้แน่นด้วยเทปหรือหนังยาง [19] [20]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ดูแลแผลให้หายดี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ทุกวัน หรือบ่อยครั้งตามต้องการหากผ้าพันแผลเริ่มแฉะหรือสกปรก [21] [22] ควรล้างสิ่งสกปรกออกให้หมดก่อนเริ่มเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่
    • มีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการดึงผ้าพันแผลออกอย่างรวดเร็วอาจทำให้คุณรู้สึกเจ็บน้อยกว่าการค่อยๆ ดึงออกมา ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพบาดแผลของคุณ [23] [24]
    • นำน้ำมันถูที่ขอบของผ้าพันแผล และทิ้งไว้สักครู่ เพื่อช่วยให้รู้สึกเจ็บน้อยลงเมื่อดึงผ้าพันแผลออก
  2. [25] แม้ว่าการทายาจะไม่ได้ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ ยาทาปฏิชีวนะยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของแผล ซึ่งจะป้องกันการตกสะเก็ดและการเกิดแผลเป็นที่อาจเกิดขึ้นหากแผลแห้ง โดยทั่วไปแล้วควรทายาวันละ 1-2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ควรดูคำแนะนำของความถี่ในการใช้ยาให้ดีก่อน [26]
  3. การที่แผลจะหายดีเร็วหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ โภชนาการ การสูบบุหรี่ ระดับความเครียด การเจ็บป่วย เป็นต้น ยิ่งกว่านั้น ยาทาปฏิชีวนะยังทำหน้าที่เพียงป้องกันการติดเชื้อ แต่ไม่ได้ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น หากบาดแผลของคุณหายช้าลงอย่างผิดปกติ ให้เข้ารับการตรวจจากแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการที่หนักขึ้น เช่น การเจ็บป่วย [27]
  4. ไปพบแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ [28] [29] [30]
    • ข้อต่อที่หัวเข่าเคลื่อนไหวผิดปกติ
    • รู้สึกชาที่หัวเข่า
    • บาดแผลมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
    • มีสิ่งสกปรกหรือสิ่งแปลกปลอมในบาดแผลที่ไม่สามารถเอาออกได้
    • บาดแผลเริ่มมีการอักเสบหรือบวม
    • มีรอยแดงเป็นริ้วๆ กระจายออกมาจากบาดแผล
    • บาดแผลมีหนอง
    • มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
    โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • น้ำเปล่า
  • สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • แหนบ
  • ผ้าขนหนูหรือผ้าอื่นๆ ที่สะอาด
  • ยาทาปฏิชีวนะ
  • ผ้าพันแผล
  1. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  2. http://www.med.wisc.edu/news-events/hydrogen-peroxide-provides-clues-to-immunity-wound-healing-tumor-biology/32917
  3. http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=2978
  4. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  5. http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=2978
  6. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  7. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  8. http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=2978
  9. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  10. http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=2978
  11. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  12. http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=2978
  13. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  14. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20028307
  15. https://www.mja.com.au/journal/2009/191/11/fast-versus-slow-bandaid-removal-randomised-trial
  16. http://studentaffairs.centralstate.edu/documents/Student_Self-Care_Guide_001.pdf
  17. http://www.healthcenter.vt.edu/assets/docs/WoundCare.pdf
  18. http://goaskalice.columbia.edu/how-do-wounds-cuts-scrapes-lacerations-heal
  19. http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=2978
  20. http://health.williams.edu/files/StudentOnline/SkinInjuries_SO.html
  21. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 57,909 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา