ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การถูกลืมจากกลุ่มเพื่อนๆ นั้นเป็นสิ่งเจ็บปวดมากไม่ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงวัยไหนก็ตาม แม้ว่าทุกคนล้วนเคยเจอกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองถูกทอดทิ้งบ้างในบางครั้งของชีวิต แต่การเป็นคนที่ถูกลืมนั้นสามารถทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวและเศร้าได้ และเพื่อที่จะรับมือกับการถูกลืมแบบนี้ มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกแบบนั้น การให้กำลังใจตัวเอง และการพูดคุยกับเพื่อนในสิ่งที่คุณรู้สึก จำไว้ว่าความรู้สึกของคุณนั้นก็ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าความรู้สึกของคนอื่นหรอก ลองอ่านวิธีการต่อไปนี้ดูสิ เผื่อว่าคุณจะได้มีไอเดียในการรับมือเมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกลืมหรือถูกทอดทิ้งอยู่

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทำความเข้าใจว่าทำไมการเป็นคนที่ถูกลืมมันถึงเจ็บปวด. การรู้สึกว่าตัวเองถูกลืมนั้น มักจะเป็นผลที่เกิดมาจากการถูกตัดออก หรือถูกปฏิเสธจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่คุณต้องการให้พวกเขาชื่นชอบและยอมรับในตัวคุณ ซึ่งคุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง เพราะว่าคุณถูกตัดขาด และ/หรือปฏิเสธโดยกลุ่มเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน และมันเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคุณถูกผลักไสหรือถูกปฏิเสธ เพราะว่าคนเราทุกคนก็ล้วนอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ พวกเราเป็นสัตว์สังคมและเมื่อความปรารถนาของเราไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังไว้ เราก็เลยรู้สึกเจ็บปวดและเศร้า [1] แต่แค่เพียงเพราะว่าการรู้สึกเจ็บปวดเมื่อตัวเองเป็นคนที่ถูกลืมนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดา ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ความเจ็บปวดลดน้อยลงแต่อย่างใด ดังนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องพัฒนาวิธีการรับมือกับการถูกปฏิเสธจากคนอื่นให้ได้
  2. คอยเตือนตัวเองว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นแค่สิ่งเล็กๆ ในชีวิต. ทุกคนล้วนเคยมีความรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งเหมือนกันทั้งนั้น เว้นแต่ว่าคุณเองได้ไปทะเลาะหรือทำให้คนที่คุณรักโกรธนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง การถูกทิ้งไว้คนเดียวนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะปกติสักเท่าไร แต่คุณอาจจะสบายใจขึ้นได้ หากคุณรู้ว่าการถูกปฏิเสธจากคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น และนั้นหมายถึงว่าคุณจะไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิเสธอยู่ตลอดเวลาแน่นอน [5]
  3. ในบางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองถูกลืม เมื่อเราหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเราถึงต้องรู้สึกแบบนั้น และเพื่อที่เราจะดูว่าเราสมควรจะรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องมองตามความเป็นจริงเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นให้ได้ก่อน ซึ่งการอยู่กับความเป็นจริง หมายถึง การมองสถานการณ์จากหลายๆ มุม แล้วพิจารณาทุกแง่มุมของสถานการณ์นั้นไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง คนอื่นที่เกี่ยวข้อง และแม้แต่สิ่งที่อยู่รอบๆ สถานการณ์นั้น [6] และเพื่อที่จะทำให้ตัวเองมองสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งด้วยเหตุผลได้นั้น มันจะช่วยได้มากหากคุณทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
    • หาหลักฐานที่ว่าทำไมคุณถึงถูกปฏิเสธ แล้วหลักฐานที่ได้มานั้นมันมีเหตุผลมาสนับสนุนความรู้สึกที่คุณมีหรือไม่?
    • ถามตัวเองว่ามีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำให้คนบางคนแสดงออกแบบนั้นกับคุณจนทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง? ไม่แน่ บางทีพวกเขาอาจจะมีอะไรอย่างอื่นอยู่ในใจในตอนนั้น หรือไม่ก็อาจจะต้องรีบไปที่ไหนสักที่ก็ได้
    • ความเข้าใจของเราที่มีต่อสถานการณ์นี้ มันอยู่บนพื้นฐานอารมณ์หรืออยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงกันแน่? [7]
    • ถามคนที่เป็นกลางและไม่มีอคติว่าความเข้าใจที่คุณมีต่อสถานการณ์ที่เจอ มันถูกต้องหรือไม่
    • ลองเดาถึงเจตนาที่ดีของคนอื่นไปก่อน จนกว่าคุณจะเจอหลักฐานอย่างอื่น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อใดก็ตามที่คุณรับรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงแล้ว ให้คุณพยายามก้าวข้ามสถานการณ์นั้นไป ด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยพัฒนาอารมณ์ของคุณ เพราะการยึดติดอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว หรือไปคิดว่ามันทำให้คุณรู้สึกยังไง ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด มีแต่จะทำให้คุณรู้สึกแย่กว่าเดิม ดังนั้น ให้คุณหันไปโฟกัสกับอย่างอื่นจะดีกว่า ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะมองหาสิ่งดีๆ ในขณะนั้น ด้วยการเขียน 3 สิ่งที่คุณรู้สึกยินดีในชีวิตลงกระดาษ หรือไม่ก็พาตัวเองออกมาจากการยึดติดกับสถานการณ์นั้น ด้วยการหันไปทำในสิ่งที่คุณชอบ เช่น
    • หากคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากจะออกไปไหน ในขณะที่เพื่อนๆ ของคุณออกไปสนุกข้างนอกกัน ให้คุณหาอะไรสักอย่างที่จะมาปลอบตัวคุณเอง เช่น แช่น้ำฟองสบู่ในอ่างอาบน้า พร้อมกับจุดเทียนหอมกลิ่นที่คุณชอบ และอ่านหนังสือโปรด หรือไม่ก็เดินหรือวิ่งออกกำลังกายแล้วก็ฟังเพลงใน iPod ไปด้วย หรือเข้าเมืองไปช้อปปิ้ง และเดินดูตามร้านค้าต่างๆ ซึ่งไม่ว่าคุณจะทำวิธีไหนก็แล้วแต่ ให้คุณทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อตัวเอง และทำให้ตัวเองมีความสุขก็พอ
  2. การถูกปฏิเสธนั้นสามารถทำให้คุณหัวเสีย และอาจจะรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดหรือเครียดได้ ซึ่งจากการวิจัยพบว่า การใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อฝึกหายใจลึกๆ สามารถช่วยลดความเครียดและช่วยให้ทำให้รู้สึกสงบมากกว่าเดิมได้ [8]
    • สำหรับการฝึกหายใจลึกๆ นั้น ให้คุณหายใจเข้าช้าๆ และลึกๆ 5 วินาที จากนั้นค้างไว้อีก 5 วินาที แล้วค่อยหายใจออกช้าๆ อีก 5 วินาที โดยให้คุณฝึกหายใจแบบนี้ด้วยการหายใจแบบธรรมดาสองครั้ง จากนั้นก็หายใจแบบลึกๆ ช้าๆ ตามที่บอกไว้
    • นอกจากนี้คุณอาจจะลองฝึกโยคะ ฝึกนั่งสมาธิ หรือฝึกไท่เก๊กเพื่อช่วยให้ตัวเองรู้สึกสงบขึ้นก็ได้
  3. ใช้การพูดให้กำลังใจตัวเองหลังจากที่ถูกคนอื่นปฏิเสธ. การเป็นคนที่ถูกลืมนั้นสามารถทำให้คุณรู้สึกเศร้าและโทษแต่ตัวเองได้ ซึ่งการพูดให้กำลังใจตัวเองนั้นสามารถช่วยคุณต่อสู้กับความรู้สึกลบๆ และรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ถูกปฏิเสธได้ โดยหลังจากที่คุณถูกปฏิเสธจากคนอื่นนั้น ให้คุณใช้เวลามองตัวเองในกระจกสักพัก และพูดบางอย่างเพื่อให้กำลังใจตัวเอง คุณอาจจะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเชื่อมั่นในตัวเอง หรือไม่ก็พูดถึงบางสิ่งอย่างที่คุณอยากจะเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเองก็ได้ [9] ซึ่งตัวอย่างในการให้กำลังใจตัวเองก็มีดังนี้
    • “ฉันเป็นคนตลกและน่าสนใจ”
    • “ฉันเป็นเพื่อนที่ดี”
    • “ผู้คนต่างก็ชอบฉัน”
    • “คนอื่นๆ สนุกกับการใช้เวลาอยู่กับฉัน”
  4. การดูแลตัวเองสามารถทำให้คุณรู้สึกถึงการถูกรักมากกว่าการถูกปฏิเสธ ซึ่งวิธีการของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป เพราะแต่ละคนจะรู้สึกว่าตัวเองได้รับการดูแลด้วยสิ่งที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การทำอาหารอร่อยๆ ให้ตัวเองทาน การลงแช่ในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่นานๆ หรือไม่ก็ทำโปรเจกต์ที่ตัวเองชอบ หรือดูหนังเรื่องโปรด ซึ่งคุณควรจะมั่นใจด้วยว่าคุณดูแลร่างกายของตัวเองดีแล้ว เพราะถ้าคุณดูแลร่างกายตัวเอง นั่นแสดงว่าคุณได้ส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณสมควรที่จะได้รับการดูแล นอกจากนี้ คุณต้องแน่ใจว่าคุณมีเวลาพอสำหรับความต้องการพื้นฐานในการออกกำลังกาย กินอาหาร และนอนหลับพักผ่อนด้วย [10]
    • ตั้งเป้าไว้ว่าจะออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน
    • กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืช และลีนโปรตีน (โปรตีนที่มีไขมันต่ำ)
    • นอนหลับให้ได้ 8 ชั่วโมงต่อคืน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

รับมือกับสถานการณ์ที่เจอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อเราถูกปฏิเสธ เราอาจจะพยายามลืมความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่แทนที่คุณจะพยายามลืมความรู้สึกของตัวเอง ให้คุณปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกเจ็บไปสักพักจะดีกว่า ถ้าคุณรู้สึกเจ็บปวดมากจนอยากจะร้องไห้ ปล่อยให้ตัวเองร้องไป เพราะการได้รับรู้ความรู้สึกของตัวเองจะช่วยให้คุณใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้าและรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ [11]
    • ใช้เวลาสักพักเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าตัวเองถูกลืม มันทำให้คุณรู้สึกอย่างไร และทำไมมันทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น ตัวอย่างเช่น “ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกลืมก็เพราะว่า เพื่อนๆ ของฉันออกไปปาร์ตี้โดยที่ไม่มีฉันไปด้วยเมื่อตอนสุดสัปดาห์ ฉันรู้สึกว่าตัวเองโดนหักหลัง และฉันรู้สึกเศร้าเพราะว่ามันทำให้ฉันคิดว่าพวกเขาต้องไม่ชอบฉันมากแน่ๆ เลย” [12]
    • ลองเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองรู้สึกลงในไดอารี่ดู แต่ถ้าหากคุณไม่ชอบเขียน การวาดรูปหรือเล่นดนตรีเพื่อระบายความรู้สึกตัวเองออกมา ก็อาจจะช่วยทำให้คุณรับรู้ความรู้สึกของตัวเองและรับมือกับมันได้
  2. พิจารณาการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครบางคนฟังดู. การเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนที่คอยให้กำลังใจคุณหรือคนในครอบครัว อาจจะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และช่วยคุณระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ นอกจากนี้มันยังช่วยทำให้คุณมั่นใจขึ้นได้ว่า แม้ว่าเพื่อนของคุณจะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งและไม่เป็นที่ต้องการ แต่ก็ยังมีคนที่แคร์คุณอยู่ หากคุณตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับใครสักคน คุณต้องแน่ใจว่าคนที่คุณเลือกเป็นคนที่คอยให้กำลังใจคุณและยินดีที่จะรับฟังคุณ หากคุณเลือกคนที่ปฏิเสธที่จะรับฟังความรู้สึกของคุณ หรือไม่มีการให้กำลังใจคุณใดๆ เลย อาจจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกแย่กว่าเดิม [13]
  3. สิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการรับมือกับสถานการณ์ที่คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกลืมโดยกลุ่มเพื่อนๆ ของคุณก็คือ บอกกับพวกเขาไปเลยว่าคุณรู้สึกอย่างไร และถามพวกเขาว่าทำไมถึงทิ้งคุณไว้คนเดียว บอกให้พวกเขารู้ว่าคุณรู้สึกเหมือนตัวเองถูกลืม ด้วยการอธิบายว่าเหตุการณ์ไหนที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น และทำไมคุณถึงอยากจะให้พวกเขาชวนคุณไปข้างนอกหรืออยู่กับคุณในงานใดงานหนึ่งบ้าง และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถามเพื่อนๆ ของคุณด้วยความสุภาพว่าทำไมสถานการณ์มันถึงเป็นแบบนี้ อย่าเพิ่งเหมารวมเองว่าพวกเขามีความผิดที่ทิ้งให้คุณอยู่คนเดียว ให้ถามแค่เพียงคำถามที่จะสามารถนำไปสู่การสนทนาที่เป็นผลได้ โดยคุณอาจจะพูดว่า [14]
    • “ฉันรู้สึกเสียใจตอนที่พวกเธอออกไปเล่นโรลเลอร์เบลดเมื่อเสาร์ที่แล้ว แล้วพวกเธอไม่ได้ชวนฉันไปด้วย ฉันรู้นะว่าเมื่อตอนคืนวันศุกร์ฉันเหนื่อยมาก แต่ฉันก็อยากจะออกไปทำกิจกรรมข้างนอกเมื่อวันเสาร์เหมือนกัน และพอมีคนมาบอกฉันว่าพวกเธอออกไปข้างนอกกัน ฉันก็เลยรู้ว่าไม่มีใครมาชวนฉันเลย ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกลืม ฉันอยากรู้เหตุผลว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ชวนฉันไปบ้าง?”
    • “ฉันชอบงานปาร์ตี้ที่พวกเราไปกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งตอนที่พวกเธอเดินออกไปจากวงสนทนา แล้วคนที่ฉันเพิ่งจะรู้จักไม่ได้สนใจที่จะคุยกับฉันเลย และพอฉันพยายามมองหาพวกเธอสองคน ฉันก็หาไม่เจอและรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง เพราะว่าฉันไม่รู้จักคนอื่นเลย บางทีพวกเธออาจจะไม่ได้สังเกตว่าฉันอยากอยู่กับพวกเธอมากกว่าที่จะต้องไปคุยกับคนอื่น พวกเธอรู้ไหมว่าฉันโดดเดี่ยวมากในงานปาร์ตี้นั้น?”
  4. พวกเขาอาจจะตกใจก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกลืม พวกเขาอาจจะบอกคุณว่าคุณเพิ่งจะหายป่วย/เพิ่งเลิกกับแฟน/ไปเยี่ยมญาติ/เงินไม่พอ/พ่อแม่เข้มงวด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ชวนคุณ โดยให้คุณใช้เหตุผลเหล่านี้มาช่วยพิจารณาหาเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่ได้ชวนคุณไปไหนต่อไหนด้วย [15]
    • ซื่อตรงกับตัวเอง ลองถามตัวเองว่า คุณได้ทำอะไรที่ทำให้เพื่อนๆ ของคุณปล่อยคุณไว้คนเดียวหรือเปล่า? ตัวอย่างเช่น คุณชอบไปเรียกร้อง เร่งเร้า หรือไม่คิดถึงความต้องการของพวกเขาบ้างหรือเปล่า? หรือบางทีคุณอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดนิดหน่อยก็ได้ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่ชวนคุณไปตั้งแต่แรก เพื่อที่พวกเขาจะได้มีพื้นที่ว่างและความสงบของตัวเองบ้าง หากนี่ตรงกับสิ่งที่คุณทำ ให้คุณยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไป และขอโทษเพื่อนๆ ของคุณ และเดินหน้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ใช้ชีวิตต่อไป

ดาวน์โหลดบทความ
  1. บางครั้งทางที่ดีที่สุดในการเอาชนะความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ในวงสนทนา หรือตามงานอีเวนท์ต่างๆ ก็คือทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการต้อนรับและไม่ถูกแบ่งแยก วิธีการนี้จะช่วยทำให้คุณลืมไปว่าตัวเองรู้สึกอึดอัดหรือเจ็บปวดมากแค่ไหนเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้น และนี่จะช่วยเพิ่มพลังให้คุณเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของตัวเองในงานอีเวนท์ต่างๆ ได้ โดยคุณสามารถทำให้คนอื่นรู้สึกไม่โดดเดี่ยวได้ โดยทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ [16]
    • ยิ้มและทักทายคนอื่น
    • เริ่มบทสนทนา
    • ถามเกี่ยวกับตัวพวกเขาและพยายามทำความรู้จักตัวตนพวกเขา
    • เป็นผู้ฟังที่ดี
    • เป็นมิตรและต้องมีความเกรงใจ
    • แสดงความสนใจด้วยความจริงใจในสิ่งที่คนอื่นพูดออกมา
  2. หากคุณคิดว่าการที่คุณถูกทิ้งไว้คนเดียวอาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องส่วนตัวของคุณ (เช่น เรียนหนักทุกวัน ทำงานนานหลายชั่วโมง งานบ้านที่ต้องทำ งานอดิเรกหรือ กีฬาที่คุณต้องซ้อม ฯลฯ) ถ้าเป็นอย่างนั้น ให้คุณช่วยเพื่อนคุณหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เลยจะดีกว่า ด้วยการเสนอแนะสิ่งที่จะพอดีกับตารางเวลาของคุณ และความพยายามของคุณที่จะวางแผนแก้ไขสิ่งเหล่านี้และพบกับพวกเขาแบบครึ่งทางนั้น จะเป็นสิ่งที่ได้รับการชื่นชมจากพวกเขา
    • หากตารางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายของคุณนั้นเข้ามาทำให้การทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อนคุณมีปัญหา ลองขอร้องให้เพื่อนของคุณทำกิจกรรมบางอย่างที่คุณทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วดู เช่น ไปออกกำลังกายที่ยิม [17]
    • วางแผนใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ อย่างเต็มความสามารถมากที่สุด แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่าควรจะต้องหยุดขอร้องพวกเขาตอนไหน หากเพื่อนๆ ของคุณปฏิเสธข้อเสนอแนะของคุณครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นอาจจะหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องการจะรักษามิตรภาพระหว่างคุณและพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น อย่าพยายามขอร้องเพื่อนคุณต่อไปอีกเลย หากพวกเขาชอบปฏิเสธคุณอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะกลับคำในนาทีสุดท้าย
  3. ตัดสินใจว่าตัวเองควรจะหาเพื่อนใหม่ได้แล้วหรือยัง. ในกรณีที่คุณมักจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอยู่เรื่อยๆ คุณอาจจะต้องยอมรับว่าคุณไม่สามารถวางใจให้คนเหล่านั้นมาเป็นเพื่อนคุณได้แล้ว และอาจจะต้องทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เสียที โดยให้คุณตัดสินใจหาเพื่อนใหม่ที่มีความเคารพในตัวคุณและแคร์คุณจะดีกว่า แม้ว่านี่อาจจะดูยาก แต่มันเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่าการอยู่กับคนที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ และทำเหมือนกับว่าคุณไม่มีค่า เพราะจริงๆ คุณสมควรจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น
    • ลองพิจารณาการเป็นอาสาสมัครดู หรือไม่ก็เข้าร่วมชมรมแถวๆ พื้นที่ๆ คุณอยู่ ที่เป็นชมรมที่รวมผู้คนที่มีความสนใจเดียวกับคุณ และเข้าร่วมงานอีเวนท์ในท้องถิ่นที่คุณเห็นว่าน่าสนใจ การอยู่ร่วมกับผู้คนที่มีความสนใจและหลงใหลในสิ่งเดียวกับคุณนั้น จะเป็นตัวที่รับประกันว่าผู้คนที่คุณพบเจอนั้น จะมีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกับคุณแน่นอน ซึ่งอาจจะนำไปสู่มิตรภาพครั้งใหม่ได้ [18]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • หากกลุ่มเพื่อนที่คุณเคยใกล้ชิดด้วยกันมากๆ มาตีตัวออกห่างจากคุณและมีปฏิกิริยาต่อต้านคุณแบบกะทันหัน ให้ลองดูว่ามีใครมาพูดนินทาคุณลับหลังหรือไม่ ลองถามเพื่อนสนิทของคุณว่า คนเหล่านั้นนินทาอะไรคุณบ้าง เพราะบ่อยครั้งที่คนที่มุ่งร้ายกับใครบางคนนั้นสามารถทำลายชีวิตทางสังคมของคนบางคนไปทั้งชีวิตด้วยการปล่อยข่าวลือ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นคำโกหกที่ไม่มีมูล เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่ได้แก้ต่างให้ตัวเอง เพราะว่าตัวคุณเองก็นึกไม่ออกว่าไปทำสิ่งเหล่านั้นตอนไหน หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ ให้คุณดูว่าคำโกหกนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร จากนั้นบอกความจริงออกไปให้คนอื่นรู้ แล้วตามหาว่าใครเป็นคนโกหกและหาเหตุผลว่าเขาทำไปทำไม บางครั้งมันไม่ใช่สิ่งคุณทำหรอก แต่มันเป็นเพราะว่ามีใครบางคนกำลังอิจฉาคุณอยู่
  • หากคุณถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวอยู่ตลอดเวลา และไม่มีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจหรือคนรู้จักอื่นๆ ให้ใช้เวลาด้วยกันหรือพูดคุยด้วย ให้คุณลองขอคำปรึกษาดู เพราะผู้ให้คำปรึกษามืออาชีพนั้นสามารถช่วยสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่ดีให้กับคุณได้ และพวกเขาอาจจะเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ บางครั้งเราก็ต้องใช้มุมมองจากคนภายนอกเข้าช่วย
  • หากเพื่อนๆ ของคุณทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกลืมอยู่ตลอดเวลา นั้นแสดงว่าพวกเขาไม่เหมาะกับคุณแล้วล่ะ
  • พยายามอยู่และโฟกัสกับคนที่เหมาะกับคุณ หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างที่คุณชอบ เพื่อที่คุณจะได้เลิกคิดถึงเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้น
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่ายึดติดกับคนที่เลือกที่จะทิ้งคุณไว้คนเดียว เพียงเพราะต้องการจะจบมิตรภาพกับคุณ หรือพูดบางสิ่งบางอย่างออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างมากหรือกลัวที่จะพูดแบบตรงไปตรงมากับคุณ เพราะก็มีหลายคนเหมือนกันที่เลือกหยุดมิตรภาพ ด้วยการตีตัวออกห่างมากกว่าที่จะต้องเจอหน้ากันแบบเสี่ยงๆ จำไว้ว่าไม่ใช่ทุกมิตรภาพที่จะอยู่แบบยั่งยืน และมันจำเป็นมากที่คุณจะต้องรับรู้ถึงความเข้ากันไม่ได้ระหว่างคุณและพวกเขา มากกว่าที่จะไปโทษตัวเองและวิจารณ์ตัวเองสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะบางที คุณอาจจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แตกต่างจากพวกเขาก็ได้
  • อย่าพูดเรื่องศาสนากับคนที่ไม่รู้จักหรือคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับคุณ เก็บประเด็นนี้ไว้คุยเล่นๆ กับคนที่ชอบแชร์มุมมองกับคุณจะดีกว่า


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 29,706 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา