ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ศิลปะของการให้ผลตอบรับเชิงวิจารณ์ช่วยให้คนเราก้าวหน้าและไม่รู้สึกแย่ คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ช่วยพัฒนาพฤติกรรมของผู้คนและช่วยเลี่ยงการกล่าวโทษและการโจมตีส่วนตัว [1] คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์มีผลดีและมุ่งเน้นไปยังจุดประสงค์ที่ชัดเจนและเป็นไปได้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

การวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์กับคำวิจารณ์เชิงทำลาย. คำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ช่วยพัฒนาพฤติกรรมของผู้คนและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ในขณะที่คำวิจารณ์เชิงทำลายนั้นประณามและบั่นทอนกำลังใจของผู้คน
    • คำวิจารณ์เชิงทำลายนั้นลดคุณค่า ทำลายชื่อเสียงและทำร้ายผู้คน
    • ในทางกลับกัน คำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ช่วยพัฒนาพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงโดยปราศจากการโจมตีส่วนตัว ความเชื่อมั่นในตัวเองของพวกเขายังคงมีเท่าเดิม
  2. เหตุผลของคุณในการวิจารณ์งานหรือพฤติกรรมของใครสักคนนั้นส่งผลต่อวิธีที่คุณหยิบยื่นผลตอบรับ หากคุณมีเป้าหมายแอบแฝงนอกเหนือจากความต้องการช่วยเหลือบุคคลให้พัฒนามันจะกลายเป็นข้อเสียที่แจ่มแจ้ง คุณควรคิดทบทวนว่าคำวิจารณ์ที่คุณอยากจะสื่อสารนั้นจะเป็นประโยชน์หรือไม่ [2]
    • เจตนาที่ดีอาจจะไม่ได้มาซึ่งผลตอบรับในเชิงบวกเสมอไป เช่น หากเพื่อนของคุณอ้วนขึ้นมากจากครั้งที่แล้วที่คุณเจอกัน เธอก็อาจจะไม่อยากได้ยินคุณพูดว่าเธอควรลดนั้นหนักเพื่อสุขภาพที่ดีและเธอก็อาจจะรู้สึกเสียใจอีกต่างหาก การวิจารณ์เป็นหนึ่งในขอบเขตที่ซึ่งเจตนานั้นสำคัญน้อยกว่าสิ่งที่คุณพูดและทำ
    • คุณต้องคิดให้รอบคอบและถามตัวเองว่ามันจะฟังดูเป็นอย่างไรหากคุณบอกสิ่งที่คุณคิดกับบุคคลนี้แทนที่จะทำการกระตุ้นเขา คำพูดที่คุณใช้เหมาะสมหรือไม่? ความหมายแอบแฝงเป็นอย่างไร? ตัวคุณเป็นอย่างไร? เช่น หากคุณต้องการวิจารณ์เพื่อนเกี่ยวกับน้ำหนักของเธอและคุณเป็นคนผอม ลองคิดว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรหากได้ยินสิ่งเหล่านั้นจากคุณซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยต้องพยายามลดน้ำหนักหรือเจอะเจอกับคำดูถูกเกี่ยวกับน้ำหนัก
  3. หากมีคนร้องขอความเห็นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นคำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์จะเป็นที่ต้องการ ถามตัวเองว่าบุคคลนั้นควรได้รับคำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์หรือไม่? มันจะส่งผลดีต่อชีวิตของพวกเขาหรือไม่? [3]
    • คำวิจารณ์ที่ไม่ได้ร้องขออาจจะทำให้เจ็บปวดได้ หากปัญหานั้นเล็กน้อย เช่น ในสถานการณ์ที่คุณไม่ชอบเสื้อผ้าที่เพื่อนใส่เพราะว่ามันสีชมพูเกินไปและคุณอยากบอกเธอ มันก็อาจจะดีกว่าหากคุณไม่พูดอะไรนอกจากคุณจะเห็นว่าสถานการณ์นี้อาจส่งผลเสียหรือทำร้ายเพื่อนของคุณ คุณต้องใช้คำวิจารณ์เพื่อช่วยเหลือคนอื่นไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือตัวเองหรือแค่ให้คนอื่นได้ฟังความคิดเห็นของคุณ
  4. หากคุณอยู่ในสถานะที่สามารถหรือมีคนร้องขอความเห็นของคุณ เมื่อนั้นคุณก็สามารถให้คำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ได้ [4]
    • เช่น หากคุณมีธุรกิจและมันได้เวลาสำหรับการตรวจสอบพนักงานตามไตรมาส คุณก็ต้องประเมินการทำงานของพนักงานและพูดคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการพัฒนาหากคุณเห็นสมควร
  5. คุณต้องเลือกช่วงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมในการให้คำวิจารณ์เพียงลำพังเพราะการได้รับคำวิจารณ์ต่อหน้าผู้คนนั้นตึงเครียด เช่น การให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแต่ละคนต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในการประชุมพนักงานนั้นไม่เหมาะสม
    • จัดเวลาในการเจอกับบุคคลนั้น นัดเจอกันในที่ซึ่งเป็นส่วนตัวและสงบ เช่น ที่ทำงาน ให้เวลาในการนัดพบสำหรับการพูดคุยโต้ตอบกันเผื่อว่าอีกฝ่ายมีคำถามและต้องการตอบรับคำวิจารณ์ของคุณ คุณไม่ควรเร่งรัดการนัดพบเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รู้สึกว่ามีคุณค่าและได้รับการเคารพ ไม่ใช่รู้สึกถูกทับถมและเมินเฉย
    • สภาพแวดล้อมของสถานที่ที่คุณพบกันควรจะเป็นที่กลางๆ และน่าภิรมย์ หากคุณพูดกับคนที่คุณรักคุณก็ควรออกไปนอกบ้านเพื่อไปเดินเล่นกันหรือขับรถไปในที่ที่คุณสองคนชอบ
    • หากคุณพูดกับเพื่อนร่วมงานหรือนักเรียนก็ควรพูดกันในห้องประชุมหรือที่ที่เป็นส่วนตัว
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

การให้คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณสามารถหาเรื่องที่เป็นบวกมาพูดในการให้คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์กับใครสักคน แม้มันจะเป็นเพียงความพยายามที่บุคคลนั้นแสดงออกมา เริ่มด้วยคำชมที่จริงใจและซื่อตรง (เช่น “ขอบคุณที่พยายาม...”) เพื่อให้บุคคลนั้นรู้สึกมีค่า จากนั้นจึงเดินหน้าต่อไปกับการให้คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ [5]
    • เมื่อใดที่คุณขอให้ใครสักคนเปลี่ยนแปลงบางอย่างคุณก็ต้องเริ่มในทางที่เป็นบวก วิธีนี้จะทำให้กระบวนการและผลลัพธ์ออกมาเป็นบวกเช่นกัน [6]
  2. หากคุณกำลังให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวคุณก็อาจจะรู้สึกอ่อนไหว หากคุณดูโกรธหรือเสียใจ ภาษากายและน้ำเสียงของคุณจะทำให้คนอื่นปิดตัวและไม่ยอมรับฟังคำวิจารณ์ของคุณ
    • ใจเย็นๆ คุณอาจจะรู้สึกประหม่ากับการให้ผลตอบรับและรบเร้าคำตอบจากผู้อื่น คุณต้องตั้งสติโดยการย้ำจุดประสงค์หลักและรักษาเป้าหมายไว้ในใจ หากอารมณ์รุนแรงปรากฏขึ้นก็ควรหยุดทุกขั้นตอนไว้ก่อนและกลับมาเริ่มใหม่เมื่อคุณสงบลง [7]
  3. ทำให้คนอื่นรู้ว่าคุณเข้าใจ วิธีนี้จะช่วยให้คนๆ นั้นรู้สึกผ่อนคลายและทำให้เขารู้ว่าคุณก็เคยผ่านสิ่งนี้มาเช่นกัน
    • รักษาการสื่อสารทางสายตาและไม่มองต่ำมาที่อีกฝ่าย
    • เปิดตัวเองโดยการไม่ไขว่ห้างหรือกอดอก การกอดอกอย่างแน่นแสดงออกว่าคุณกำลังปิดตัวหรือโกรธ การทำท่าทางที่เปิดตัวจะนำไปสู่การพูดคุยและการโต้ตอบระหว่างคุณกับผู้ที่รับผลตอบรับ
  4. ทำให้น้ำเสียงเรียบๆ และเป็นมิตร น้ำเสียงของคุณสามารถสื่อสารได้มากและบางครั้งมากกว่าคำพูดที่คุณเลือกอีกต่างหาก [8]
    • เลี่ยงการขึ้นเสียงหรือปล่อยให้มีเสียงสูงเข้ามาแทรก ใช้น้ำเสียงกับผู้ที่รับผลตอบรับอย่างที่คุณอยากได้ยินหากอยู่ในสถานการณ์กลับกัน
  5. เลี่ยงภาษาเชิงลบ การกล่าวโทษและการโจมตีส่วนตัว. สิ่งนี้จะลดความน่าจะเป็นที่ผู้ฟังจะตอบรับด้วยกิริยาที่ก้าวร้าวและโกรธเคือง [9]
    • เลี่ยงภาษาที่รุนแรงและตัดสิน เช่น “เธอผิด” และ “ความคิดของเธอมันโง่เง่า”
    • ใช้คำวิจารณ์ที่แทนตัวของคุณเองเพื่อพูดจากประสบการณ์ตรงและแสดงวิธีที่การกระทำของผู้อื่นมีผลกับคุณหรือสถานการณ์ของคุณ เช่น "ฉันรู้สึกว่ารายงานนี้น่าจะดีกว่านี้ ฉันอยากเห็นการพูดถึงความคิดหลักๆ ที่ชัดเจนกว่านี้เพื่อที่เราจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าเราควรทำอย่างไรต่อ” [10]
    • เลี่ยงการแทนตัวของผู้อื่นซึ่งกล่าวโทษบุคคลที่รับคำวิจารณ์นั้นโดยตรง เช่น แทนที่จะพูดว่า “รายงานของเธอไม่ได้สื่อถึงความคิดหลักๆ เลย” ลองพูว่า “รายงานนี้น่าจะเจาะจงมากกว่านี้ในแง่ของความคิดหลักๆ”
  6. ยิ่งผลตอบรับเจาะจงมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จะยิ่งปรับปรุงได้มากเท่านั้น มุ่งเล็งไปที่ข้อหลักๆ ที่ขัดแย้งกับความเห็นของคุณ ลำพังแค่การบอกอีกฝ่ายว่าคุณไม่ชอบอะไรนั้นไม่เป็นประโยชน์ คุณต้องแบ่งผลตอบรับออกเป็นข้อหลักๆ และให้ตัวอย่างที่เจาะจงเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป [11] Here's an example:
    • ลูกจ้างคนหนึ่งเพิ่งจะทำรายงานเกี่ยวกับร้านอาหารแห่งใหม่ๆ ในเมืองของคุณเสร็จ คุณได้อ่านมันและผลตอบรับของคุณคือ “มีความพยายามที่ดีแต่ฉันไม่ชอบมัน ทำใหม่” ไม่ว่าบางคนจะ “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” บางสิ่งและไม่ลงรายละเอียดเจาะจง มันจะกลายเป็นการยากต่ออีกฝ่ายที่จะเข้าใจว่าต้องแก้ไขอย่างไร แทนการทำเช่นนั้นให้คุณลองระบุขอบเขตของปัญหาในคำวิจารณ์ของคุณและยกตัวอย่างที่เจาะจง เช่น "มีความพยายามที่ดีในการตามหาร้านอาหารแต่คำอธิบายของร้านต่างๆ ควรจะละเอียดกว่านี้ ลองขยายรายงานนี้ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของอาหาร เมนูเด่นและที่ตั้งของแต่ละร้าน” [12]
  7. ในบางกรณีมันอาจจะดีกว่าหากคุณปล่อยให้บุคคลนั้นแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนที่จะให้ความคิดเห็นว่าควรทำอย่างไร [13]
    • เมื่อคุณกล่าวคำวิจารณ์แล้ว ลองถามบุคคลนั้นว่าเขาควรทำเช่นไร วิธีนี้สามารถทำให้บุคคลนั้นรู้สึกเป็นประโยชน์และมีความสามารถ
  8. คิดให้รอบคอบก่อนที่จะวิจารณ์ลักษณะหรือนิสัยส่วนตัวของใครสักคนเพราะมันจะทำให้เขาเสียความรู้สึกแน่นอน [14] อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการให้ผลตอบรับเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ลองแยกตัวบุคคลออกจากสถานการณ์ กล่าวถึงปัญหาและไม่พูดถึงตัวบุคคล (เช่น พูดว่า “รายงานนี้สายแล้ว” ไม่ใช่ “เธอสายแล้ว”) [15] ลองใช้ตัวอย่างเหล่านี้:
    • ให้ผลตอบรับเกี่ยวกับสไตล์ของบุคคล – แทนที่จะพูดว่า "เสื้อผ้าของเธอน่าเบื่อมากและมันทำให้เธอดูเหมือนคนแก่” สิ่งนี้คือการโจมตีส่วนตัว พยายามวิจารณ์สถานการณ์แต่ไม่ใช่ตัวบุคคล เช่น พูดว่า “เสื้อผ้าที่ฉันเห็นว่าเธอใส่มันเป็นสไตล์แบบเก่าแก่ แม้มันจะไม่ผิดนักแต่เสื้อผ้าเหล่านั้นสามารถทำให้คนสวมใส่ดูมีอายุได้” [16]
    • ให้ผลตอบรับเกี่ยวกับนิสัยของบุคคล - แทนที่จะพูดว่า "เธอนี่คิดลบจังและฉันไม่สามารถทนเธอได้” ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดและไม่สร้างสรรค์ พยายามเปลี่ยนสิ่งนี้ให้กลายเป็นคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์โดยการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าพฤติกรรมของเขามีผลกับคุณอย่างไร เช่น พูดว่า "บางครั้งฉันรู้สึกเจ็บกับความเห็นลบๆ ของเธอ เช่นความเห็นที่เธอมีต่อรอยสักใหม่ของฉัน ฉันเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชอบรอยสักแต่ความเห็นที่เธอมีต่อรอยสักของฉันนั้นมันทำให้ฉันเจ็บและเสียใจ"
  9. คุณอยากช่วยให้คนๆ นี้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นซึ่งแปลว่าคุณต้องพูดสิ่งที่คนๆ นี้สามารถทำได้ แทนที่จะพูดสิ่งที่เขาทำไม่ได้ การวิจารณ์สิ่งที่บุคคลนี้สามารถทำได้จะทำให้คำวิจารณ์ของคุณสร้างสรรค์และจะผลักดันเขา ในขณะที่การวิจารณ์สิ่งที่บุคคลนี้ทำไม่ได้จะยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่เพราะเขาทำอะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้นไม่ได้แม้เขาจะอยากทำก็ตาม [17]
    • เช่น เพื่อนของคุณเพิ่งเริ่มทำธุรกิจและได้เซ็นต์สัญญาเช่าที่ 12 เดือนในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่านระดับหนึ่ง จากนั้นเธอถามถึงคำแนะนำของคุณเกี่ยวกับวิธีการกระจายข่าวธุรกิจของเธอและเรียกลูกค้ามากขึ้น การบอกให้เธอ “ย้ายสถานที่ตั้งร้าน” นั้นไม่เป็นประโยชน์เพราะเธอเพิ่งเซ็นต์สัญญาเช่าที่ คำแนะนำที่สร้างสรรค์ควรจะเป็นการที่เธอย้ายสถานที่ของร้านในอีกหนึ่งปีข้างหน้าแต่ในช่วงนี้เธอก็สามารถนำเสนอส่วนลดพิเศษฉลอง “การเปิดร้านใหม่" หรือโปรโมทผ่านสื่อออนไลน์
  10. คุณคงไม่อยากทำให้คนๆ นั้นตกใจกับข้อมูลที่ล้นหลาม แม้คำวิจารณ์ของคุณจะเต็มไปด้วยสาระดีๆ แต่มันอาจจะฟังดูเหมือนลิสต์ของปัญหาที่คุณอยากให้เขาบอกและน้ำเสียงของบทสนทนานี้จะกลายเป็นเชิงลบในที่สุด [18]
    • จำกัดคำวิจารณ์ให้เป็นการบอกสิ่งที่สามารถทำได้สองสามอย่าง คนเราสามารถรับเอาและประมูลข้อมูลได้มากในเวลาเดียวกัน หากคุณมีสิ่งอื่นที่อยากบอกก็บอกในบทสนทนาที่ต่างออกไป [19]
  11. หลังจากที่คุณให้คำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์เกี่ยวกับหัวข้อใดๆ ไปแล้วครั้งสองครั้งก็น่าจะเพียงพอ การพูดปัญหาเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาจะไม่ช่วยอะไรและจะสามารถนำไปสู่ความรู้สึกด้านลบในส่วนของบุคคลที่คุณกำลังวิจารณ์อยู่ เลิกให้คำแนะนำที่คนๆ นั้นได้ยินมาหลายครั้งและอย่าพูดอะไรเพิ่งจนกว่าเขาจะขอความเห็นจากคุณ
  12. ติดตามผลของคนๆ นั้นหลังจากที่คุณให้คำปรึกษาและประเมินความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น บทสนทนาย่อยๆ เกี่ยวกับปัญหาที่คุณได้ให้คำวิจารณ์ไว้ควรจะมุ่งเน้นไปที่พัฒนาการที่บุคคลนั้นได้ทำ ถกเถียงเรื่องขั้นตอนหลักๆ ที่บุคคลนั้นได้ทำเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่คุณตั้งไว้และชมเชยพัฒนาการของเขา การรับเอาและชมเชยความสำเร็จของบุคคลจะผลักดันให้เขาสานต่องานที่ดีและทำให้เขารู้สึกมีค่าและเป็นที่เคารพ
    • คุณต้องชมเชยแบบเจาะจง เช่น อย่าพูดว่า “ฉันชอบวิธีที่เธอทำรายงานคราวนี้มาก” ให้พูดว่า “ขอบคุณที่ตั้งใจทำรายงานของสัปดาห์นี้ เธอทำได้ดีเรื่องพิมพ์ไม่ตกในส่วนของคำแนะนำ เพราะถ้าเธอพิมพ์ตกไปบริษัทของเราจะดูแย่ในการประชุมสัปดาห์นี้” [20]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

การใช้ผลตอบรับแบบแซนด์วิช

ดาวน์โหลดบทความ
  1. บอกบุคคลนี้ถึงสิ่งที่คุณชอบในคำถาม เช่น หากพนักงานของคุณสร้างบันทึกเสร็จก็ให้บอกเขาถึงข้อดีเกี่ยวกับบันทึกนี้ สิ่งนี้สำคัญเพราะคุณกำลังบอกให้บุคคลนี้รู้ว่าคุณอยู่ข้างเขาและนี่ไม่ใช่การโจมตี
    • การเริ่มด้วยข้อดียังทำให้รับรู้ถึงสิ่งที่บุคคลนี้กำลังทำได้ถูกต้องและตอกย้ำความเชื่อมั่นเชิงบวกได้ดีกว่าการพูดถึงแต่สิ่งที่ต้องการการปรับปรุงเพียงอย่างเดียว การเพ่งเล็งไปที่จุดบกพร่องอาจจะสื่อถึงการเป็นคนที่ไม่เข้าใจผู้อื่นและหยาบคายและทำให้อีกฝ่ายไม่อยากรับฟังคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ของคุณอีกด้วย [21]
  2. บอกให้พวกเขารู้ถึงสิ่งที่ใช้ไม่ได้เกี่ยวกับข้อคำถามและระบุขอบเขตสำคัญที่ต้องการการปรับปรุง [22]
  3. ย้ำความเห็นที่เป็นบวกที่คุณพูดแล้วอีกครั้งและอ้างอิงผลลัพธ์ที่เป็นบวกที่อาจได้รับหากคำวิจารณ์ถูกพิจารณาและแก้ไข การจบบทสนทนาด้วยวิธีนี้ช่วยให้บุคคลนั้นรู้สึกไม่แย่อย่างที่มันอาจจะเป็น อีกทั้งยังเตือนให้คนๆ นั้นรู้ว่ากำลังทำสิ่งใดถูกต้องและประโยชน์ของการวิจารณ์อย่างมีประสิทธิภาพ [23]
    • วิธีนี้เรียกว่าวิธีแบบแซนด์วิชเพราะมันหนีบคำวิจารณ์เอาไว้ตรงกลางระหว่างบทเปิดและบทปิดที่เป็นบวก เช่นเดียวกับเนื้อระหว่างขนมปังสองแผ่น
    • นี่คือตัวอย่างของการให้ผลตอบรับแบบแซนด์วิช “เธอทำส่วนแรกของรายงานนี้ได้ดีมากแต่ส่วนกลางต้องปรับปรุงเพราะมันมีคำที่พิมพ์ผิดอยู่ ถ้าแก้ไขอีกนิดฉันว่าเธอจะทำให้มันกลายเป็นรายงานชิ้นยอดเลย!" [24]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างที่คุณอยากถูกปฏิบัติ อย่าพูดสิ่งที่อาจจะทำให้คนอื่นเสียใจหรือทำให้คุณรู้สึกแย่หากมีคนพูดกับคุณแบบเดียวกัน
  • หนังสือคลาสสิกที่อาจจะเป็นประโยชน์กับคุณคือ “'How to Make Friends and Influence People โดย Dale Carnegie บทที่สี่ของหนังสือพูดเกี่ยวกับวิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้อื่นโดยไม่ทำให้พวกเขาโกรธหรือเคืองใจ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 25,722 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา