ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไม่ว่าคุณจะกำลังจับคู่เสื้อผ้า ตกแต่งห้อง หรือกำลังละเลงสีภาพอยู่ การรู้ว่าสีไหนที่อยู่ด้วยกันแล้วทำให้ดูเด่นและเตะตามากที่สุดอาจช่วยคุณได้ คุณอาจจะเริ่มจากการดูวงล้อสีและเรียนรู้ว่าสีไหนดูดีเวลาที่อยู่ด้วยกัน การทดลองจับคู่สีต่างๆ กันจะช่วยให้คุณมีเซ้นส์มากขึ้นว่า สีไหนเข้ากับสีไหนและสีไหนที่อยู่ด้วยกันแล้วไปคนละทิศละทาง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ฝึกใช้ดวงตาจับคู่สีให้ดีขึ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วงล้อสีเป็นแผนผังสีที่ทำให้เห็นภาพว่า สีไหนเข้ากันและไม่เข้ากันได้เป็นอย่างดี [1] เซอร์ไอแซ็ค นิวตันเป็นคนที่สร้างวงล้อสีที่ใช้เป็นแบบแรกในปีค.ศ. 1666 จากนั้นก็มีการใช้วงล้อสีของเขาเป็นต้นแบบของพื้นฐานทฤษฎีสีแบบดั้งเดิมมาตั้งแต่นั้น [2] วงล้อสีแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้ :
    • สีปฐมภูมิ : แดง น้ำเงิน เหลือง สีเหล่านี้เป็นสีที่ไม่สามารถเอาสีอื่นมาผสมกันให้กลายเป็นสีเหล่านี้ได้
    • สีทุติยภูมิ : เขียว ส้ม และม่วง สีเหล่านี้เกิดจากการนำสีปฐมภูมิมาผสมกันในแบบต่างๆ
    • สีทุติยภูมิและสีตติยภูมิ: เหลือง-ส้ม แดง-ส้ม แดง-ม่วง ฟ้า-ม่วง ฟ้า-เขียว และเหลือง-เขียว สีเหล่านี้เกิดจากการนำสีปฐมภูมิมาผสมกับสีทุติยภูมิ
  2. แนวคิดเรื่องการจับคู่สีเรียกอีกอย่างว่า "สีกลมกลืน" ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อสีอยู่ด้วยกันแล้วสร้างผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ สีแดง เหลือง และน้ำเงินกลมกลืนกันเสมอ สีเหล่านี้เป็นสีที่เด่นและสะดุดตาและไม่มีวันเชย ไม่ว่าคุณจะจับคู่สีเพื่อแมทช์เสื้อผ้า ระบายสี หรือทาสีห้องรับประทานอาหาร คุณก็สามารถใช้สีปฐมภูมิเพื่อให้การจับคู่สีของคุณดูร่าเริงและสดใส
    • สีปฐมภูมิที่ดูเด่นมักเกี่ยวข้องกับเด็กเล็กๆ เมืองร้อน และทีมกีฬา แต่คุณก็สามารถจับคู่สีเหล่านี้กับสีที่เข้มกว่าหรือสีอ่อนกว่าได้เช่นกัน ไม่ถือว่าผิดอะไร
    • ถ้าคุณอยากให้การรจับคู่สีให้ดูโก้หรูมากขึ้น คุณอาจจะใช้สีปฐมภูมิแค่ 1 หรือ 2 สีแทนที่จะใช้ทั้งหมด 3 สี ชุดสีแดง น้ำเงิน และเหลืองอาจจะดูเด็กไปหน่อย แต่การจับคู่สีเหลืองกับสีแดงจะดูโก้หรูมากกว่า
  3. ดูวงล้อสีแล้วเลือกสีใดก็ได้มาสีนึง จากนั้นลากนิ้วไปยังสีที่อยู่ตรงข้าม สีที่อยู่ตรงข้ามวงล้อคือสีคู่ตรงข้าม เวลาที่คุณจับมันมาคู่กัน มันจะช่วยทำให้ทั้งสองสีโดดเด่นและทำให้การจับคู่ดูสะดุดตา
    • สีคู่ตรงข้ามที่มีความสว่างและความหม่นในระดับเดียวกันเข้ากันได้ดีเสมอ
    • การจับคู่สีตรงข้ามที่เป็นที่นิยมได้แก่ น้ำเงินกับส้ม ม่วงกับเหลือง และเขียวกับชมพู
  4. แนวคิดนี้คือการจับคู่สีที่อยู่ในตระกูลสีเดียวกันเพื่อให้เกิดความกลมกลืนของสี สีเหล่านี้เป็นสีที่อยู่ข้างกันในวงล้อสี เช่น สีน้ำเงินกับสีคราม การใช้เฉดสีต่างๆ ของสีที่อยู่ในตระกูลเดียวกันจะช่วยสร้างความแตกต่างเล็กน้อยที่ให้ผลลัพธ์ที่สวยงามและพึงพอใจ
    • เช่น กระโปรงยีนส์กับเสื้อยืดสีฟ้าและผ้าพันคอสีครามจะเข้ากันได้ดี
    • เลือกสีที่ชอบมา 1 สีแล้วจับคู่กับสีที่อยู่ถัดไปด้านซ้ายหรือขวา สีแดงเข้ากับสีชมพู สีเหลืองเข้ากับสีส้ม และอื่นๆ ชั้นของสีที่อยู่ในตระกูลสีเดียวกันจะเข้ากันเสมอตราบใดที่มีความหม่น ความสว่าง และอื่นๆ เท่ากัน
  5. สีโทนร้อนเช่น สีเหลือง ส้ม และแดงจะอยู่ด้านหนึ่งของวงล้อสี และสีโทนเย็นเช่นสีน้ำเงิน เขียว ม่วง ก็จะอยู่อีกด้านหนึ่ง สีอะไรก็แล้วแต่จะมีองค์ประกอบของความร้อนหรือความเย็นขึ้นอยู่กับว่ามีสีอะไรผสมลงไป
    • เช่น ถ้าคุณผสมสีม่วงพื้นกับสีแดงด้วยกัน คุณก็จะได้สีม่วงแดงแจ๊ดโทนร้อน แต่ถ้าคุณผสมสีม่วงกับสีฟ้า คุณก็จะได้สีม่วงไวโอเล็ตที่เย็นสบาย อุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจับคู่สี [3]
    • เวลาที่ทำพาเลตสีเพื่อใช้จับคู่เสื้อผ้าหรือแต่งห้องและคุณอยากได้สีที่เข้ากัน ให้จับคู่สีโทนร้อนกับสีโทนร้อน และสีโทนเย็นกับสีโทนเย็น เช่น คุณอาจจะจับคู่เดรสสีน้ำตาลสนิมคู่กับผ้าพันคอสีเหลืองมัสตาร์ดนวลกับกระเป๋าสีน้ำตาลบรั่นดี
    • การจับคู่สีโทนร้อนกับสีโทนเย็นไว้ในพาเลตเดียวกันอาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดูสนุกสนานและโฉบเฉี่ยว หรืออาจจะดูอิหลักอิเหลื่อเล็กน้อย แล้วแต่ว่าคุณมองมันอย่างไร [4]
  6. สีเอิร์ธโทนจะไม่อยู่ในวงล้อสี และเป็นสีที่ให้คำจำกัดความเป๊ะๆ ได้ไม่ง่ายนัก เป็นสีในเชิงแฟชั่นมากกว่าวิทยาศาสตร์ มักเป็นสีหม่น สีที่จัดอยู่ในประเภทนี้ได้แก่สีน้ำตาล ครีม ขาว เทา และชนวน (ฟ้าอมเทา) [5]
    • สีเหล่านี้เป็นสีหม่นธรรมชาติที่เข้าได้เกือบทุกสี เป็นสีที่ให้กลิ่นอายขององค์ประกอบที่เป็นธรรมชาติอย่างทราย ดิน และหิน แต่ก็มีสีอย่างสีขาวนวลผสมอยู่ด้วย
    • สีดำ ขาว และแทนหรือกากีมักถือว่าเป็นสีโทนกลางในวงการแฟชั่น มักจะเข้ากับสีไหนก็ได้ เช่น กางเกงขายาวสีดำกับเสื้อสีชมพูสด
    • ในวงการแฟชั่น สียีนส์ถือเป็นสีโทนกลาง เช่น กางเกงยีนส์สีน้ำเงินจะใส่กับเสื้อสีไหนก็ได้
    • เวลาที่คุณตัดสินใจว่าสีโทนกลางสีไหนที่เข้ากับพาเลตสีของคุณ คุณต้องคำนึงถึงอุณหภูมิของสีด้วย เช่น ถ้าพาเลตสีของคุณเป็นสีโทนเย็น สีโทนกลางของคุณอาจจะเป็นสีขาวสว่างหรือสีดำอมน้ำเงิน ถ้าเป็นสีกลางโทนร้อนมันก็จะไม่กลืนกัน แต่ถ้าเป็นพาเลตสีโทนร้อน คุณก็อาจจะเลือกสีเทาอมน้ำตาลหรือสีครีม
    • สีขาวและสีดำเป็นสีโทนกลาง แต่ก็รู้ไว้ด้วยว่าสีพวกนี้มักไม่ค่อยเป็นสีขาวหรือดำสนิท เช่น ผนังสีขาวนวลก็อาจจะมีสีเหลืองผสมอยู่ หรือเสื้อสีดำก็อาจจะมีสีน้ำเงินซ่อนอยู่
    • สีโทนกลางไม่น่าเบื่อนะ! บางทีเราก็เข้าใจผิดคิดว่าสีโทนกลางน่าเบื่อและเรียบๆ จุดแข็งของสีโทนกลางก็คือมันจับคู่กันเองแล้วดูสวย และ เข้ากับสีปฐมภูมิและสีทุติยภูมิได้เป็นอย่างดี เช่น:
      • เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน
      • กางเกงสีกากีกับสเวตเตอร์สีดำ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

จับคู่สีเสื้อผ้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันตั้งแต่หัวจรดเท้าจะได้ลุคที่สะดุดตามาก ลุคเสื้อผ้าสีเดียวแบบคลาสสิกก็คือสีดำล้วนหรือขาวล้วน ซึ่งเป็นสีโก้หรูที่ทำให้เสื้อผ้าของคุณมีกลิ่นอายของความหรูหรา ถ้าคุณอยากให้คนเหลียวหลังมามองจริงๆ ล่ะก็ ลองใส่ชุดสีเดียวที่เป็นสีสดๆ อย่างสีแดงหรือสีเขียว
    • แต่ก็เป็นลุคที่ต้องระวังนิดนึงด้วย เดรส รองเท้าส้นสูง และกระเป๋าสีดำอาจดูโดดเด้งสุดๆ แต่ก็อาจจะบังเอิญเหมือนคนกำลังไว้ทุกข์ ลุคโกธิค หรือเหมือนช่างตัดผมได้ ชุดทั้งชุดต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอื่นด้วย ไม่ใช่แค่สีอย่างเดียว!
    • หลักการสำคัญของการใส่ชุดสีเดียวให้สวยเด้งก็คือ การหาเสื้อผ้าที่สีเดียวกันเป๊ะๆ การใส่เสื้อสีขาวสว่างกับกางเกงสีครีมไม่เข้ากันอย่างแรง แต่ถ้าคุณหาเสื้อผ้าสองชิ้นที่สีเดียวกันได้เป๊ะๆ ล่ะก็ คุณจะเจิดจรัสเลยทีเดียว
    • เพื่อให้ลุคสีเดียวไม่ดูเข้มจนเกินไป ให้เบรกด้วยสีโทนกลางอย่างรองเท้าส้นสูงสีเบจหรือเข็มขัดสีน้ำตาล
  2. ถ้าคุณกำลังไปงานประชุมทางการที่ต้องใส่สูทสีกรมท่าหรือดำ คุณก็ยังสามารถบ่งบอกบุคลิกลักษณะของตัวเองได้ด้วยการเพิ่มสีเด่นเข้าไป แค่ต้องให้สีเด่นที่คุณเลือกนั้นมีอุณหภูมิเดียวกับสีกลางที่เป็นสีหลักเท่านั้นเอง เช่น
    • ถ้าคุณใส่สูทสีดำ ให้ใส่เสื้อสายเดี่ยวหรือเสื้อผู้หญิงสีแดงหรือสีเทอร์ควอยซ์ไว้ข้างใน
    • ถ้าคุณใส่สูทสีกรมท่า ให้ใส่เสื้อสายเดี่ยวหรือเสื้อผู้หญิงสีเหลืองหรือสีชมพูไว้ข้างใน
  3. พอคุณเริ่มจับคู่สีเสื้อผ้าให้เข้ากันได้อย่างมั่นใจแล้ว คุณก็เริ่มจับคู่เสื้อผ้าที่ดูมีสไตล์สุดๆ ได้ด้วยการจับคู่เสื้อผ้าที่ดูไม่น่าเข้ากันที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องจับคู่สีพื้นกับสีพื้นเท่านั้น ต่อยอดและเริ่มจับคู่เสื้อผ้าลายทาง ลายจุด ลายดอกไม้ และลายสัตว์เข้าด้วยกันเพื่อให้คุณได้จับคู่เสื้อผ้าที่มีอยู่ในสไตล์ใหม่ๆ ได้
    • ถ้าคุณใส่เสื้อผ้าชิ้นที่มีลาย ตามปกติให้พยายามจับคู่กับสีพื้น ถ้าคุณใส่กระโปรงสีดำที่มีลายดอกไม้เล็กๆ ก็ให้จับคู่กับเสื้อสีเขียวพื้นที่เข้ากับสีใบไม้ คุณจับคู่ลายกับลายได้ก็จริง แต่มันค่อนข้างยาก
    • การใส่เสื้อผ้าสีโดดเด้งช่วยให้เสื้อผ้าของคุณดูมีสไตล์. ลองใส่สีม่วง ส้ม และเหลือง เสื้อสีม่วง กระโปรงสีส้ม และถุงน่องสีเหลืองจะดูเก๋มาก อาจจะจับคู่กับลายม้าลายก็ได้
    • จับคู่คนละลายที่สีเดียวกัน. ยากขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่สะดุดตาเลยทีเดียว หลักการคือหาเสื้อผ้าคนละลายที่สีเดียวกัน เช่น ถ้าคุณมีเสื้อลายทางสีส้ม คุณก็อาจจะเอามาจับคู่กับกระโปรงลายเสือที่มีสีเดียวกันก็ได้
    • จับคู่ลายที่ไม่เหมือนกันที่มีสีตระกูลเดียวกัน คุณสามารถจับคู่ลายคนละลายที่ไม่ได้มีสีเดียวกันเป๊ะได้ด้วยการเล่นกับสีที่เป็นสีตระกูลเดียวกัน กางเกงขาสั้นลายมัดหมี่ที่เป็นโทนสีเบจกับสีครีมสามารถจับคู่กับเสื้อลายจุดสีน้ำตาลช็อกโกแลตได้
  4. มีของบางชิ้นในตู้เสื้อผ้าที่เหมาะและเข้าได้กับเสื้อผ้าชิ้นอื่นเกือบทุกชิ้น สีโทนกลางเป็นสีที่จับคู่ได้ง่าย แต่คุณก็ควรพยายามให้มันเข้ากับของชิ้นอื่นๆ ที่คุณใส่อยู่ด้วย สีโทนกลางแต่เป็นที่นิยมก็คือ :
    • ยีนส์ เข้าได้กับทุกอย่างเลยใช่ไหม แค่ต้องคำนึงถึงการฟอกสีด้วย ยีนส์ฟอกสีเข้มจะเข้ากับสีอื่นๆ ได้มากกว่ายีนส์สีฟ้าซีด
    • สีคาเมลหรือสีน้ำตาล เหมาะกับพาเลตสีหม่นแบบเอิร์ธโทนเป็นที่สุด
    • สีกรมท่า สวยมากเวลาจับคู่กับสีโทนอัญมณีทั้งหลาย สีกรมท่าเข้ากับสีขาวและสีแดงได้เป็นอย่างดีเสมอ
    • สีขาวและสีครีม ทำให้เสื้อผ้าดูสว่างขึ้น ตราบใดที่คุณคำนึงถึงอุณหภูมิด้วย
  5. ถ้าคุณเพิ่งเป็นมือใหม่หัดจับคู่สีเสื้อผ้า ให้ลองเล่นกับเครื่องประดับดู ลองดูเพื่อให้รู้ว่าอะไรดูดีอะไรดูไม่เข้าด้วยการใส่เข็มขัด รองเท้าส้นแบน เครื่องประดับ และผ้าพันคอให้มากขึ้น การใส่เครื่องประดับยังเป็นวิธีเรียนรู้เรื่องการจับคู่ลายที่สนุกสนานโดยไม่ต้งทุ่มทุนซื้อเสื้อผ้าแพงๆ ที่สุดท้ายแล้วอาจจะไม่เข้ากันก็ได้
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เลือกสีเพื่อตกแต่งบ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็ควรเริ่มจากสีที่ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำมาให้ ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและร้านขายสีมักมีพาเลตสีที่เข้ากันให้เลือก ซึ่งมักจะมีสีที่ดูเรียบร้อยอยู่ด้วย ทำให้คุณไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการตัดสินใจว่า สีขาวนวลเฉดไหนที่จะเข้ากันได้
    • คุณไม่จำเป็นต้องใช้ทุกสีที่อยู่ในพาเลตหรือคอลเลกชั่น ถ้าคุณไม่ชอบสีเขียว แต่สีอื่นๆ ใช้ได้หมด ก็แค่ไม่ต้องใช้สีเขียว และคุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้ง 12 สีด้วย แค่ใช้สีที่เหมาะกับคุณและพื้นที่ของคุณก็พอ
    • คุณไม่จำเป็นต้องซื้อสีมาทาเพื่อเพิ่มสีสันในบ้าน เช่น คุณอาจจะอยากให้บ้านมีสีส้มสักหน่อย แต่การทาสีทั้งห้องเป็นสีส้มก็อาจจะมากเกินไปสำหรับคุณ ก็ให้ซื้อหมอนอิงสีส้มหรือผ้าคลุมเตียง ภาพวาด ผ้าม่าน และอื่นๆ แทน
  2. อย่าจับคู่ผนังกับโซฟาที่มีสีเดียวกันเป๊ะ แม้ว่าในทางเทคนิคสีจะถือว่า "เข้ากัน" แต่เฟอร์นิเจอร์กับผ้าม่านก็ไม่ควรจะกลืนหายไปในผนัง และจะทำให้ทั้งสีผนังและสีโซฟาดูไม่โดดเด่นด้วย ไอเดียดีๆ ที่น่าลองคือ : [6]
    • ใช้สีที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน ถ้าผนังเป็นสีน้ำเงินก็ให้ใช้โซฟาสีเขียวอมฟ้า ถ้าผนังเป็นสีเหลืองก็ให้เลือกเฟอร์นิเจอร์โทนสีแดงและสีส้ม วิธีนี้จะทำให้สีกลมกลืนกันมากกว่าจะกลืนหายไปเลย
    • หรือจะเลือกสีที่ตัดกันเพื่อให้มีสีสันโดดเด้งขึ้นมาเลยก็ได้ ซื้อเก้าอี้ที่มีที่วางแขนตัวใหญ่ๆ สีม่วงไวโอเล็ตมาวางไว้ในห้องสีเหลืองสดใส หรือจะวางโซฟาสีพีชสดมาถ่วงผนังสีฟ้าอ่อนเทอร์คอยซ์ก็ได้
  3. หลายคนลังเลที่จะทาห้องทั้งห้องเป็นสีจัดๆ สีเดียว เพราะมันดูจัดจ้านและดูเสี่ยงเกินไป ผนังที่มีสีเด่นๆ จะเปิดโอกาสให้คุณได้เล่นกับสีโดยที่ไม่ต้องทาสีทั้งห้องหรือทั้งบริเวณเป็นสีเดียว วิธีการก็คือ :
    • สีเข้มมีผลต่อสภาวะทางอารมณ์ของคุณเป็นอย่างมาก สีแดงสดในห้องอาจทำให้คุณรู้สึกกังวล และสีเทาเข้มก็อาจทำให้คุณเศร้าหมอง
    • แต่สีเข้มๆ ก็มีผลต่อคนเราในเชิงบวกได้เช่นกัน ห้องสีส้มอาจทำให้เรารู้สึกสนุกและสร้างสรรค์ และสีเทาเข้มก็อาจทำให้เรามีสมาธิและรู้สึกถึงความโก้หรู แต่ละคนมีปฏิกิริยากับสีเดียวกันในพื้นที่เดียวกันไม่เหมือนกัน
    • เลือกบริเวณใดบริเวณหนึ่งเล็กๆ บนผนังในห้อง เช่น แถวประตูหน้าบ้านหรือเหนือเคาน์เตอร์ครัว ทาสีสดๆ ที่เข้ากับสีโทนกลางของห้อง
    • หรือจะใช้สีที่ตัดกันทาเป็นขอบก็ได้ การทาสีขอบด้วยสีที่ตัดกันจะทำให้ห้องดูหลากหลายและสนุก นอกจากนี้คุณอาจจะทาสีลายฉลุตรงริมขอบเป็นสีอื่นด้วยก็ได้
    • จำไว้ว่าอุณหภูมิสีก็มีผลต่ออารมณ์ของห้องด้วยเช่นกัน ผนังสีชมพูอมม่วงอ่อนๆ ในห้องนอนให้ความรู้สึกโรแมนติก แต่ห้องนอนสีชมพูฟิวเชียอมม่วงเข้มๆ อาจจะดูเยอะเกินไปหน่อย คุณสามารถใช้สีเข้มสีไหนก็ได้เกือบทุกสี แต่ให้ใช้แค่เพื่อให้บริเวณใดบริเวณหนึ่งดูโดดเด่นเท่านั้น วิธีนี้ทำให้คุณได้ห้องที่มีอารมณ์ในแบบที่คุณต้องการโดยไม่รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป
      • เช่น ถ้าคุณชอบห้องนอนสีชมพูฟิวเชียอมม่วงจัดๆ ให้ใช้หมอน ผ้าคลุมเตียง และภาพวาดเป็นสีนั้นจะดีกว่า
      • ถ้าคุณเป็นเจ้าของบ้าน จำไว้ว่าถ้าคุณเลือกสีสดหรือสีเข้มมากๆ คุณอาจจะต้องทาสีใหม่ก่อนขาย คุณอาจจะชอบผนังสีเทอร์ควอยซ์ แต่คนที่ซื้อบ้านส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่ชอบ ซึ่งก็อาจจะมีผลต่อมูลค่าเวลาขายต่อ
  4. ถ้าคุณไม่สามารถทาสีผนังเป็นสีชมพูหรือซื้อโซฟาสีเหลืองแปร๋นได้ คุณก็ยังสามารถเพิ่มสีพวกนี้เข้าไปในการตกแต่งได้ด้วยของแต่งห้อง หมอนอิง แจกัน นาฬิกา ดอกไม้ ชั้นหนังสือ และของเล็กๆ อื่นๆ สามารถสร้างสีสันที่ทำให้ห้องมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ แค่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ตอนที่คุณตกแต่งห้องก็พอ :
    • เลือกสีที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน หาของตกแต่ง 2 – 3 ชิ้นที่สีเข้ากันเพื่อให้ห้องดูมีเอกภาพ เช่น ใช้ตู้หนังสือสีเขียว แจกันสีเขียวน้ำทะเลสักคู่วางไว้บนโต๊ะ และชุดหมอนอิงกับผ้าห่มสีเทอร์ควอยซ์และเขียว
    • อย่าใช้สีหลายสีมากเกินไปในห้องเดียว มีแนวทางบอกไว้ว่าห้องหนึ่งไม่ควรมีสีเกิน 3 สี ได้แก่สีหลัก สีเด่น และสีขอบ ทำให้ห้องดูเรียบๆ เข้าไว้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะดูไม่เข้ากันหรือดูยุ่งเหยิง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • คุณอาจจะดูวงล้อสีเพื่อหาสีที่เข้ากันมากที่สุด
  • เวลาจับคู่สีให้ตัดสินใจเลือกสีที่ทำให้คุณมีความสุขมากที่สุด ถ้าคุณคิดว่ามันเข้ากันดีแต่กลับไม่เป็นไปตามหลักการที่เครื่องมือเลือกสีบอกไว้ ก็ให้เลือกสีที่คุณชอบถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเองโดยเฉพาะ เช่น บ้านของคุณ งานศิลปะของคุณ หรือเสื้อผ้าของคุณ
  • ใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อช่วยให้คุณค้นหาได้ว่าสีไหนเข้ากับสีไหน เนื่องจากเฉดสีต่างๆ นั้นมีมากกว่าที่คุณจะเห็นได้จากวงล้อสีพื้นฐาน ก็ลองใช้เครื่องมือออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรเข้ากับอะไร [7]
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 119,595 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา