PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

วิธีการรู้ว่าบุคคลนี้มีนิสัยชอบควบคุมคนอื่นหรือเปล่าต้องเริ่มจากสังเกตพฤติกรรมของเขาก่อน เมื่อต้องตอบคำถามง่ายๆ ดูสิว่าคนเหล่านี้มีท่าทีหงุดหงิดไหมและมีปฏิกิริยาอย่างไร จับตาดูสิว่าคนคนนั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเราบอกปฏิเสธเขาไป หรือเมื่อเราต้องการทำอะไรสักอย่างด้วยวิธีการของเราเองหรือด้วยการตัดสินใจของเราเอง จับตาดูสิว่าเขามีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อนอย่างไร จับตาดูสิว่าเขามีท่าทีดูหมิ่นเราไหม เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็มีสิทธิร่วมกัน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ดูพฤติกรรม

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีคนรอบกายที่อยู่ด้วยแล้วทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง สับสน ไม่มีความสุข หรืออิดหนาระอาใจที่ถูกบอกให้ทำโน้นทำนี่เกือบตลอดเวลา (และรู้สึกแย่ที่เราเองก็ทำตามที่เขาบอกอยู่เรื่อย) ไหม มีใครในชีวิตที่เรารู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วต้องระวังตัวและควบคุมอารมณ์ไม่ให้หัวเสียง่ายมากเป็นพิเศษ เรารู้จักใครที่ดูเหมือนไม่สนใจอะไรที่เราพูดหรือทำไหม ถ้าเรารู้สึกว่าตนเองกำลังพบกับสถานการณ์ใดๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว แสดงว่าเราอาจกำลังเผชิญกับคนที่ชอบควบคุมคนอื่น [1]
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นอาจเป็นเพศไหนก็ได้ ความสัมพันธ์ที่เอาตัวเองเป็นใหญ่อาจเกิดขึ้นกับสัมพันธ์รักหรือสัมพันธ์ฉันท์มิตรก็ได้ คนที่ชอบควบคุมคนอื่นอาจเป็นคนที่อิจฉาเรา เกลียดคู่ชีวิตของเรา จึงพาลเกลียดเราไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรักของเขา
    • ใครบางคนที่มีบุคลิกแข็งกร้าวไม่ได้หมายความว่าเขาชอบควบคุมคนอื่น มีวิธีทดสอบคือ “คนคนนั้นปล่อยให้เราเป็นตัวของตัวเอง หรือมักชักจูงให้เราทำตามที่เขาต้องการ”
    • สังเกตลักษณะคนรอบข้างว่ามีนิสัยชอบควบคุมคนอื่นหรือไม่ด้วยการทดสอบปฏิกิริยาต่อเรื่องต่างๆ ถ้าใครคนนั้นมักจะตำหนิเรา ถ้าโดนสัมผัสตัวโดยไม่บอกกล่าวก่อน แต่ไม่วิจารณ์ที่เราทำทรงผมที่แตกต่างออกไปจากเดิม ลดน้ำนัก เพิ่มน้ำนัก หรือเรื่องอื่นๆ แสดงว่าเขาเคารพขอบเขตความเป็นส่วนตัวของเรา การเปลี่ยนศาสนา การควบคุมอาหาร การดูแลตนเอง หรือการออกกำลังกายเป็นเรื่องส่วนตัว ถึงแม้เราคิดว่าตนเองถูกและคนอื่นผิด แต่คนที่อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ก็จะไม่วิจารณ์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ไม่ก้าวก่ายและบงการว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างหรือจะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเอง แต่ถ้าใครคนนั้นเริ่มบอกให้เราต้องเป็นอย่างนั้น ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ ต้องคิดอย่างนั้น ต้องรู้สึกอย่างนี้ และต้องทำตามที่บอก แสดงว่าเขามีนิสัยชอบควบคุมคนอื่น
    • อย่ารู้สึกแย่ ถ้ารู้ตัวว่าเราชอบควบคุมคนอื่นบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเติบโตมามีพ่อหรือแม่ที่มีนิสัยชอบควบคุมลูก แต่เมื่อไรที่เรารู้สึกตัว ก็ให้ใช้โอกาสนี้เลิกนิสัยชอบควบคุมคนอื่นเสีย สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการเลิกเอาแต่ใจตนเองให้ได้ ถ้าเราสังเกตว่ากำลังควบคุมผู้อื่นอยู่ ให้ตั้งสติถอยกลับมา และขอโทษผู้อื่นที่เราไปก้าวก่ายขอบเขตเรื่องส่วนตัวของเขา วิธีนี้จะช่วยรักษามิตรภาพและสัมพันธภาพที่ดีเอาไว้
  2. คนที่ชอบควบคุมคนอื่นมักจะหงุดหงิดง่าย คนเจ้าอารมณ์จะเอาแต่คิดถึงความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่ตนได้รับ อีกทั้งคิดหาทางเยียวยาความเจ็บปวดใจและทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นโดยการควบคุมคนอื่น [2] จะมีอะไรดีไปกว่าการมีใครสักคนที่พร้อมจะทำตามที่เราสั่งทุกอย่าง ยอมรับคำกล่าวโทษต่อว่า หรือหวาดกลัวเราตอนที่ไม่สบอารมณ์กับบางสิ่งบางอย่างอีกเล่า
    • คนเจ้าอารมณ์มักจะชอบพูดทำลายบรรยากาศแห่งความสุข
    • คนพวกนี้จะโมโหง่ายเมื่อไม่ได้รับความสนใจและไม่ได้อะไรตามต้องการ ผู้อื่นจะถูกบีบไม่ให้สามารถปฏิเสธเขาได้เพราะคนคนนี้จะบอกว่าเขารู้สึกทุกข์ ไม่สบายใจ หรือเจ็บปวด และอะไรที่คล้ายกันนี้ให้ผู้อื่นรับรู้ พยายามทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่เพื่อตนเอง
  3. การระเบิดอารมณ์ใส่คนอื่นบ่อยๆ โดยเฉพาะพวกที่มีนิสัยชอบข่มแหงผู้อื่น (พวกขี้ขลาดที่พยายามควบคุมคนอื่น) หรือชอบข่มขู่ (ชอบบอกว่าจะทำร้าย “เรา” มากกว่าที่จะมานั่งพิจารณาหาเหตุผลและควบคุมอารมณ์ตนเอง) เป็นลักษณะนิสัยของคนชอบควบคุมคนอื่น [3] คนแบบนี้ระเบิดอารมณ์ทุกครั้งที่เราไม่เห็นด้วยกับเขา (ถึงแม้เราจะพูดดีๆ และนิ่มนวล) หรือไม่ทำตามที่คนพวกนี้ต้องการ (ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้อื่นต้องการอะไร เพราะเราเองก็ไม่สามารถอ่านใจเขาออกทุกครั้ง) สิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ก็คือเรากำลังท้าทายพวกเขาด้วยการไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกเขาและทำตามที่พวกเขาต้องการ [4]
    • การต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนที่หงุดหงิดง่าย คนที่ชอบเหวี่ยงอารมณ์ใส่คนอื่นนั้นเป็นอะไรที่ยากจริงๆ เพราะเรา “ไม่มี” ทางรู้เลยว่า เขาจะระเบิดอารมณ์ขึ้นมาตอนไหน โชคร้ายที่การไม่สามารถรับมือและคลายความโกรธหรือความขุ่นเคืองใจของตนได้ทำให้เราต้องเป็นฝ่ายถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทำร้ายทางวาจา ถูกทำร้ายความรู้สึก หรือถูกทารุณทางเพศ ฉะนั้นอย่ายอมทนคนที่ทำร้ายเรา “ไม่ใช่” ความผิดของเราที่เขาต้องทุกข์ใจ ตอนวัยเด็กอาจมีใครทำร้ายเขาแบบนั้นและเขาก็เลยมาทำร้ายเราต่อ
  4. ดูว่าเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไรเมื่อเราถามคำถามธรรมดา. การถามช่วยเปิดเผยอะไรหลายอย่างที่พอจะบอกได้ว่าคนคนนี้เป็นคนชอบควบคุมคนอื่นหรือไม่ ถ้าเขาตอบคำถามด้วยท่าทางหงุดหงิดหรือวางมาด แสดงว่าเขาอาจเป็นคนที่ชอบควบคุมคนอื่นก็ได้ [5]
    • อย่างที่กล่าวไปแล้ว คนที่ชอบควบคุมคนอื่นคิดว่าเราสามารถอ่านใจเขาได้ ถ้าเราถามคำถามพื้นฐานว่าจะทำอะไรร่วมกัน พวกเขาจะไปที่ไหน พวกเขาต้องการอะไร เป็นต้น คนที่ชอบควบคุมคนอื่นก็จะเริ่มหงุดหงิดเอาได้ง่ายๆ เพราะคนพวกนี้คิดว่าเรารู้เรื่องของเขาหมดทุกอย่างและสิ่งที่เขาต้องการสำคัญกว่าสิ่งที่เราต้องการ การถามหมายถึงยังมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอยู่ แต่คนที่ชอบควบคุมคนอื่นนั้นคิดว่าเรื่องเหล่านั้นพวกเขาได้ตัดสินใจเองไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าเราไม่ควรถามอีก
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นมักจะคิดเอาเองว่าตนเองนั้นรู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร แม้ความจริงแล้วพวกเขาจะไม่รู้เลยก็ตาม พวกเขาจึงอาจหงุดหงิดได้ ถ้าเห็นว่าภาพของเราที่เขาคิดเอาไว้นั้นขัดแย้งกับสิ่งที่เราพูดออกมา [6]
    • การถามอาจเป็นการยั่วโทสะอีกผ่ายได้ เพราะคนที่ชอบควบคุมคนอื่นชอบเป็นฝ่ายถามผู้อื่นมากกว่าเป็นฝ่ายที่ถูกผู้อื่นถาม
    • การถามอาจทำให้คนพวกนี้คิดว่าผู้ถามต้องการคำชี้นำและทำตามคำบอก เพราะคิดว่าผู้ถามไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับปัญหาของตน ยิ่งถามนานก็อาจยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะคนที่ชอบควบคุมคนอื่นจะหาทางวิจารณ์ความสามารถในการตัดสินใจของผู้ถาม
  5. คนที่ชอบควบคุมคนอื่นอาจพยายามทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็น “ทุกอย่าง” ของเขา [7] เขาอาจยกยอเราก็จริง แต่คำชมที่พูดออกมานั้นไม่จริงจังและจริงใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดว่าเราทำอะไรสักอย่างผิดพลาดไป เขาก็จะเหยียบย่ำหรือซ้ำเติมทันที [8] ถ้าเรารู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า อับอายขายหน้า เจ็บช้ำน้ำใจ หรือทุกข์บ่อยๆ หลังจากที่คนคนนี้มาพูดคุยกับเรา แสดงว่าเราอาจกำลังเผชิญกับคนชอบควบคุมคนอื่นอยู่ก็ได้
    • ตัวอย่างเช่น พลอยมักจะเป็นคนที่ทำให้ก้อยรู้สึกว่าตนเองดีอยู่เสมอและก้อยชอบสั่งให้พลอยทำโน้นทำนี้อยู่เป็นประจำ ก้อยมักพูดบ่อยๆ ว่าพลอยเป็นเพื่อนที่ดี แต่ไม่เคยยอมเรียกเธอว่าเป็นเพื่อนสนิท ทั้งที่พลอยมักจะพูดว่าก้อยเป็นเพื่อนสนิทบ่อยๆ ก้อยบอกว่าเป็นเพื่อนแต่ไม่เคยยืนยันว่าเป็นเพื่อนจริงๆ นี้จึงแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังควบคุมพลอยอยู่
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นอาจทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตนเองหรือทำให้เรารู้สึกว่าตนเป็นคนโง่และคิดว่าจำเป็นต้องมีเขา ตัวอย่างเช่น ก้องบอกน้ำแฟนสาวของตนว่าเธออ้วนมากและไม่มีทางหาแฟนได้ ก้องบอกว่าน้ำโชคดีแล้วที่เขาเลือกเธอ นี้เป็นการแสดงพฤติกรรมควบคุมและดูหมิ่นผู้อื่น เมื่อรู้เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่ตามคำพูดของเขา
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นบ่อยครั้งจะดูถูกหรือวิจารณ์คนอื่นเพื่อทำให้ตนเองดูสูงส่งและมีอำนาจมากกว่า เราสามารถสังเกตเห็นว่าคนคนหนึ่งเป็นคนที่ชอบควบคุมคนอื่นหรือไม่โดยดูเขาว่าเป็นคนที่เอาแต่พูดถึงคนอื่นว่า แย่ โง่เง่า เลวทราม น่าหัวเราะ น่ารำคาญ หรือเปล่า (คิดว่าตนเองไม่มีข้อเสียเลย)
  6. ดูว่าเป็นคนไม่รู้จักหรือยอมรับการถูกปฏิเสธไหม. [9] คนแบบนี้มักจะพยายามยืนกรานทำสิ่งที่ตนต้องการจนกว่าเราจะอ่อนข้อและยอมแพ้ สามารถเปลี่ยนคำปฏิเสธของเราให้กลายเป็นการตอบรับอย่างไม่เต็มใจ อีกทั้งทำให้เรารู้สึกเป็นฝ่ายผิดและละอายใจ ฉะนั้นจงระลึกไว้เสมอว่าเรามีสิทธิตัดสินใจตอบปฏิเสธและไม่ทำตามที่เขาร้องขอได้
    • ลักษณะการควบคุมคนอื่นที่มักจะพบในความสัมพันธ์รักคือการกดดันให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย [10] ถ้าคู่ของเราพยายามกดดันหรือทำให้เรารู้สึกผิดที่ไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับเขาทั้งที่เราไม่ยินยอม แสดงว่าเขากำลังบังคับเราให้ทำอย่างที่เขาต้องการ เรามีสิทธิปฏิเสธเขาได้
  7. ดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้างเมื่อเราต้องการเป็นตัวของตัวเอง หรือทำตามใจตนเองบ้าง. เราเห็นว่าตนเองต้อง “เปลี่ยนแปลงบุคลิก แผน หรือมุมมองเพื่อให้เหมาะกับของใครอีกคนหรือเปล่า" ทั้งที่เราเองก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง [11] ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แสดงว่าเรากำลังเผชิญกับคนที่ชอบควบคุมคนอื่น นี้เป็นลักษณะอันเป็นสัญญาณเตือนว่าคนคนนั้นชอบควบคุมคนอื่น:
    • บุคคลนี้ไม่สนใจเรา ไม่เต็มที่กับเรา หรือเห็นว่าสิ่งที่เราประสบพบเจอ หรือความรู้สึกของเราเป็นเรื่องเล็กน้อยไหม คนที่ชอบควบคุมคนอื่น “พยายามกำหนดตัวตนของเรา” ถ้าเราพูดว่าเหนื่อย แต่คนคนนั้นพูดว่าเราไม่เหนื่อยหรอก นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเขาเป็นคนที่ชอบควบคุมคนอื่น ถ้าเราบอกว่าเราท้อแท้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเลย แสดงว่าเขาอาจเป็นคนที่ชอบควบคุมคนอื่น
    • เห็นว่าตนเองต้องเปลี่ยนแผนบ่อยๆ เพราะคนคนนี้หรือเปล่า เราได้วางแผนว่าจะทำภารกิจอะไรบ้างในวันหนึ่งเรียบร้อยแล้ว แต่แล้วเราก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งและเราได้บอกแผนทำภารกิจในวันนั้นให้เขารู้ คนคนนี้อยากทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับเรา แต่ติดที่ว่าเวลาไม่ตรงกัน หรือสถานที่ซึ่งเราต้องการไปเป็นที่ซึ่งเขาไม่อยากไป พอรู้ตัวอีกทีแผนการที่อุตส่าห์วางเอาไว้ของเราก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จบลงด้วยการทำสิ่งที่ไม่ต้องการและไม่มีความตั้งใจที่จะทำในวันนั้น
  8. ดูว่าบุคคลนี้มองสถานการณ์ที่ยากลำบาก การตัดสินใจร่วมกัน หรือเรื่องความรับผิดชอบอย่างไร. เราจะได้สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่ชอบควบคุมคนอื่นหรือเปล่า คนพวกนี้ไม่เหมือนพวกชอบวิจารณ์ (อาจมีนิสัยชอบกวนประสาทคนอื่นแต่ไม่ได้อยากควบคุมให้ทำตามที่ตนเองต้องการ แค่อยากระบายความคิดเห็นส่วนตัวให้ผู้อื่นรับฟังเท่านั้น) คนที่ชอบควบคุมคนอื่นจะไม่อดทนหรือยอมรับความแตกต่าง ฉะนั้นคนพวกนี้ก็จะพยายามหาทางเปลี่ยนแปลงนิสัยหรือบุคลิกภาพ ปรับตัวเราให้เป็นไปในแบบที่เขาต้องการ อาจเรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นไม่เป็นไปในแบบประชาธิปไตย แต่ออกไปในทางเผด็จการมากกว่า การพยายามค้นหาความสมดุลที่ทำให้เราสบายใจไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์แบบใดจึงเป็นเรื่องสำคัญและการที่สามารถรอมชอม อดทน ปรับตัว เป็นฝ่ายให้และเป็นฝ่ายรับกันได้ทั้งคู่เป็นสิ่งที่สำคัญต่อความสัมพันธ์อันดี [12]
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นส่วนมากจะเอ่ยพูดคำที่นำไปสู่การโต้เถียงว่า “เธอนั่นแหละเป็นตัวปัญหา” หรือ “เธอนั่นแหละที่มีปัญหา” ทั้งๆ ที่คนอื่นไม่ได้ทำอะไรผิด
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นโดยปกติจะรับมือกับปัญหาอย่างไม่มีอคติได้ยาก และจะพยายาม “โทษผู้อื่น” เมื่อความผิดของตนเองปรากฏให้เห็น เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ให้จบการสนทนาโดยไม่ปล่อยให้คนแบบนั้นโทษเราหรือผู้อื่นได้ รวมทั้งเอาความดีความชอบที่ควรจะเป็นของเราหรือของผู้อื่นไปเป็นของตนเอง
    • ถ้าเรารักเขามากจริงๆ เราก็จะมองไม่เห็นข้อบกพร่องที่ควรแก้ไขของเขา เขาเองก็จะไม่ปรับปรุงตัวและเราก็จะลำบากเหมือนเดิม เพราะความรักจะทำให้เราหาข้ออ้างให้กับพฤติกรรมแย่ๆ ของเขาได้ตลอด
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ดูปฏิกิริยาโต้ตอบ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์อื่นๆ ของเรา. เมื่อคนที่ชอบควบคุมคนอื่นมาพูดคุยกับเพื่อนและคนรอบข้างเรา ให้จับตาดูไว้ โดยปกติคนที่ชอบควบคุมคนอื่นจะพยายามสร้างความร้าวฉานระหว่างเราและเพื่อนๆ เผยแพร่เรื่องซุบซิบนินทา สร้างความแตกแยก (ทำให้ไม่ลงรอยกัน) และแม้แต่พูดโกหก (พูดเกินจริง) ทำให้เราดูไม่ดีในสายตาคนอื่น หรือทำให้ผู้อื่นดูไม่ดีในสายตาของเรา พยายามทำลายความผูกพันของเรากับผู้อื่น [13]
    • เป้าหมายสำคัญคือแยกเราออกจากคนอื่นเพื่อให้เราเหลือที่พึ่งเดียวคือเขา ที่จริงแล้วเขาพยายามควบคุมเรา ฉะนั้นจงระวัง การพยายามกันเพื่อนหรือคนรอบข้างออกไปจากชีวิตเราหรือลดความสำคัญของพวกเขาลงไปเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาเป็นคนที่ชอบควบคุมคนอื่น [14]
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นจะขี้หึงโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่แค่ไม่ชอบให้คนอื่นมองเราเท่านั้น เขาจะชอบทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเราและคิดว่าตนมีสิทธิกำหนดคนที่เราจะคบ สิ่งที่เราจะทำ สถานที่ซึ่งเราจะไป และเวลาที่ควรกลับถึงบ้าน [15] นี้ไม่ใช่การแสดงความรักและความห่วงใย แต่เป็นการควบคุม.
  2. [16] คนที่ชอบควบคุมคนอื่นมักจะไม่มีเพื่อนสนิทและไม่ค่อยจะเป็นเพื่อนกับคนที่มีเสน่ห์ ฉลาด หรือเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นมากกว่าตนเอง เพราะคนพวกนี้จะอิจฉาคนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบและประสบความสำเร็จ อีกทั้งจะชอบวิจารณ์คนที่ได้รับการความสนใจจากผู้อื่นมาก การไม่มีเพื่อนสนิทอาจเป็นสัญญาณอีกสัญญาณหนึ่งที่แสดงให้ว่าคนคนนั้นไม่สามารถยอมรับความแตกต่างและต้องการควบคุมคนอื่น
    • ความสัมพันธ์อันดีและมิตรภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องถูกเอาเปรียบตลอดเวลา แต่เกิดจากต่างฝ่ายต่างรู้จักการให้และการรับ รวมทั้งพยายามรักษาความสมดุลไว้
  3. ดูว่ามีการใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ดีหรือไม่ รวมทั้งในกรณีที่มีการใช้สิทธิร่วมกันด้วย. คนที่ชอบควบคุมคนอื่นมักจะคอยรักษาอำนาจทางสังคมและกฎหมายโดยใช้วิธีการทุกอย่างที่ตนเองมีสิทธิทำได้ เช่น ขู่ว่าจะฟ้องร้อง หย่า หรือพยายามแสวงหาผลประโยชน์จากการแต่งงาน การทำสัญญาเช่าห้องกับเพื่อนร่วมห้อง การแชร์ค่าโทรศัพท์และค่าเน็ตร่วมกัน นำชื่อเสียงและข้อตกลงที่มีร่วมกันไปใช้ในทางที่ไม่ดี ในเครือข่ายสังคมคนทั่วไปจะเลือกบล็อกหรือไม่บล็อกบุคคลมากกว่าลบไป แต่คนที่ชอบควบคุมคนอื่นจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดและล้มเหลวนี้ไว้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเกรงว่าตนเองกำลังเสียอำนาจที่มีไป [17]
    • ถ้าคนที่ชอบควบคุมคนอื่นแสดงความมีน้ำใจมากจนเกินไป แสดงว่าเขาพยายามทำให้เราประทับใจและทำตามความต้องการของเขาในภายหลัง การที่เขาดูเหมือนให้สิ่งต่างๆ แก่เรามากมายทำให้เรารู้สึกว่าได้รับความช่วยเหลือมาโดยตลอดจนคิดว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณของเขา สุดท้ายคนพวกนี้ก็จะทวงบุญคุณนั้นด้วยการบังคับให้เราทำตามที่เขาต้องการ [18]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

พาตนเองออกห่างจากคนที่ชอบควบคุมคนอื่น

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยอมรับว่าการชอบควบคุมคนอื่นคือนิสัยที่แท้จริงของบุคคลนั้น. “เชื่อสัญชาตญาณและพยายามซื่อสัตย์กับตนเอง” ถ้าเราเห็นคนคนนั้นมีลักษณะตามที่บทความนี้กล่าวถึงจริงๆ และเรารู้สึกแย่เหลือทนที่จะไปข้องแวะด้วย แสดงว่าถึงเวลาที่จะต้องยอมเอาคนพวกนี้ออกไปจากชีวิตเสียทีหรือหาวิธีรับมือที่แตกต่างไปจากเดิม จงเห็นใจตนเอง นี้ไม่ใช่เวลาดุด่าตนเองที่โง่จนหลงกลคนพวกนี้ เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์กับคนที่ชอบควบคุมคนอื่นก็อาจค่อยๆ เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ตอนแรกคนพวกนี้อาจทำมาเป็นสนใจเรา ห่วงใยเรา แต่หลังจากนั้นพอเรารู้ตัว เขาก็ใช้คุณความดีต่างๆ เหล่านั้นมาอ้างและทวงบุญคุณเพื่อให้เราทำตามที่เขาต้องการ [19]
    • ยิ่งเราเป็นคนเข้มแข็ง คนที่ชอบควบคุมคนอื่นก็จะยิ่งพยายามเล่นงานเราหนักขึ้น เพราะการการะทำของเราถือเป็นการอวดดีสำหรับเขา กล่าวอีกอย่างคือนี้คือการชมเราทางอ้อมว่าเรานั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งและเก่งจริงๆ จึงเป็นเป้าหมายของคนพวกนี้เพราะพวกเขาอยากเป็นแบบเราแต่ไม่มีความกล้าพอ
    • อย่ากลัวที่จะขอคำปรึกษาจากคนที่ไว้ใจ เพราะจะช่วยเราได้เห็นสิ่งดีๆ ในชีวิตตนเองมากขึ้น รวมทั้งทำให้เราอยากแสวงหาความเป็นตัวของตัวเองและหนทางที่จะเป็นอิสระจากคนที่ชอบควบคุมคนอื่น อย่าไปเสียเวลาอธิบายสิ่งที่เราต้องการเพื่อให้เขายอมเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น เพราะจะยิ่งทำให้เขาอยากควบคุมเราหนักขึ้น เนื่องจากเขารู้แล้วว่าเราต้องการอะไรและใช้ความต้องการนั้นมาควบคุมเรา ฉะนั้นจงเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน
  2. คนที่ชอบควบคุมคนอื่นจะพยายามกดดันหรือทำให้เรารู้สึกผิดจนต้องทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เขาอาจพยายามใช้เล่ห์เลี่ยมเช่นพูดว่า “เธอต้องเห็นด้วยกับ....แน่” หรือ “ถ้าเธอรักฉัน เธอต้อง...” [20] หรืออาจพูดกับเราตรงๆ เลยว่า “ถ้าเธอไป ฉันจะ...” “เธอต้อง...” เป็นต้น เมื่อเราได้ยินคำพูดลักษณะนี้ อย่าใจอ่อนยอมเขา [21]
    • ให้พูดออกไปเลยตรงๆ ชัดเจน และหนักแน่นว่า “ฉันไม่ชอบให้คุณมายุ่งกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉันนะ ถ้าเราจะอยู่ด้วยกัน ก็ขอความเป็นส่วนตัวบ้าง”
    • อย่าตกใจเมื่อเห็นว่าเขามีอาการไม่ดี เมื่อเห็นว่าเรากำลังพยายามเอาตนเองออกจากการควบคุมของเขา เมื่อคนที่ชอบควบคุมคนอื่นรู้ตัวว่ากำลังสูญเสียอำนาจไป ความรู้สึกทางจิตใจของพวกเขาอาจมีผลต่อร่างกาย เช่น มีอาการปวดหลัง ปวดท้อง เศร้า หรือร้องไห้ เป็นลม หรือลมพิษ นี้เป็นวิธีหนึ่งที่จะได้กลับมาควบคุมสถานการณ์อีกครั้งด้วยการทำให้ผู้อื่นเห็นใจ สงสาร เป็นห่วง ถ้าเราเป็นห่วง ให้พาไปพบแพทย์เสีย จะได้รู้ว่าเป็นจริงๆ หรือเป็นโรคไฮโปคอนดริเอซิส (hypochondriasis) แต่อย่าไปหลงเชื่อเพราะเขาใช้วิธีนี้เพื่อทำให้เรายอมทำตามสิ่งที่เขาต้องการ
    • คนที่ชอบควบคุมคนอื่นนั้นจะใช้ เล่ห์เลี่ยม เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดอยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขาก็ตาม คนพวกนี้ไม่ชอบเมื่อเราพยายามทำอะไรขัดต่อความต้องการของเขาเพื่อสิ่งที่สำคัญของตน ฉะนั้นพยายามนิ่งไว้เมื่อเกิดการโต้เถียงกันขึ้นและใจเย็นไว้ จำไว้ว่าพวกเขาย่อมทำแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเรากำลังท้าทายอำนาจของเขาอยู่ ฉะนั้นจบการสนทนาทันที ถ้าเกิดคนคนนั้นเริ่มพูดจารุนแรง ออกจากการสนทนานั้นไปเลยหรือบอกลาและวางสายไป
  3. เรารู้ว่าคนคนนี้ต้องการควบคุมคนอื่น แต่เราไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงเขาให้ดีขึ้นกว่านี้ เว้นเสียแต่ว่าเขาอยากจะดีขึ้นเอง เพราะไม่เพียงเราจะไม่มีทาง “แก้” นิสัยเขาได้แล้ว การเปิดเผยอะไรออกไปอาจทำให้เขาหาทางควบคุมเรามากขึ้นไปอีก [22] จำไว้เสมอว่าปัญหาอยู่ที่เขาไม่ใช่เรา ฉะนั้นจงเลือกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและจัดการปัญหาต่างๆ ในแบบของเราเองเถอะ อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงคนที่ชอบควบคุมคนอื่นได้เลย ไม่มีทางทำได้หรอก
  4. จงเป็นคนที่ไว้ใจได้ (จริงใจและซื่อสัตย์) แต่อย่าเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้คนที่ชอบควบคุมคนอื่นรับรู้. บ่อยครั้งที่คนซึ่งชอบควบคุมคนอื่นหลอกล่อให้เราเต็มใจที่จะบอกข้อมูลส่วนตัวหรือตอบคำถามในปัญหาเล็กๆ ที่ทำให้เขารู้ถึงประสบการณ์ที่เลวร้าย จุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของเรา [23] เขาจะเอาข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการโน้มน้าว หรือหาประโยชน์จากเราภายหลัง (คนพวกนี้จำข้อมูลทุกอย่างที่ได้จากเราแม่นมาก)
    • ถ้าคนที่เพิ่งพบกันถามล้วงลึกถึงข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ให้สงสัยไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นพวกชอบควบคุมคนอื่น
  5. [24] จงหลีกเลี่ยงคนที่เชื่อว่าพยายามควบคุมเรา ถ้าทำได้ เราอาจตัดเขาออกไปจากชีวิตเลยก็ได้ แต่ถ้าเกิดคนคนนั้นเป็นคนในครอบครัว คู่ชีวิต หรือเพื่อนร่วมงาน ก็อาจทำแบบนั้นไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงอยากแนะนำวิธีรับมือดังนี้
    • พยายามมีปฏิสัมพันธ์กันสั้นๆ และพูดคุยกันด้วยดี
    • อย่าเข้าไปยุ่ง วุ่นวาย และก้าวก่ายสิทธิของผู้อื่นและสิ่งที่พวกเขาเลือก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการส่งเสริมให้คนเหล่านั้นมาทำแบบเดียวกันกับเรา คนที่ชอบควบคุมคนอื่นต้องการบังคับหรือชักจูงให้เราตัดสินใจเลือกเรียน ทำงาน ใช้ชีวิต รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ตามความต้องการของเขา เขาจะปฏิเสธเราทุกเรื่อง ไม่ยอมรับและเห็นความสำคัญของความคิดเราจนกว่าเราจะเห็นด้วยกับเขาทุกอย่าง เราอาจพยายามให้คนคนนั้นยอมฟังเราบ้างด้วยการชื่นชมความคิดของพวกเขาก่อนที่จะเสนอความคิดและเหตุผลของเราออกไป จากนั้นจึงค่อยทำสิ่งที่ตนเองต้องการ
  6. [25] ถึงแม้เราควรที่จะมีความเห็นใจผู้อื่น แต่การวางเฉยและปล่อยให้เขาคิด ตัดสินใจ และแก้ปัญหาเองก็สำคัญ เพราะบางครั้งปัญหาบางอย่างคนอื่นเป็นผู้ก่อขึ้นเอง เราจึงไม่จำเป็น (และสมควร) แบกปัญหาของพวกเขาไว้ มนุษย์ควรเรียนรู้เพื่อที่จะได้พัฒนาความสามารถของตนเองและให้อภัยคนอื่นที่ทำไม่ดีกับเรา เพราะคนเหล่านั้นอาจเคยมีชีวิตที่ยากลำบาก หรือพบปัญหาที่หนักหนา จึงทำให้พวกเขาทำพฤติกรรมที่ไม่ดีและพฤติกรรมเหล่านั้นก็ทำให้เขาเจ็บมากพอที่ทำให้เราเจ็บ การวางเฉยไม่ได้หมายถึงเราไม่สนใจทุกข์สุขของเขา แต่เป็นการวางใจเป็นกลางและอยู่ให้ห่างจากการควบคุมของคนอื่น
    • เมื่อเราวางเฉย เราก็ยังเอาใจใส่คนคนนั้นอยู่ดี แต่รารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ผิดและไม่สามารถได้รับการอภัยได้ เราไม่สนับสนุนให้เขาทำพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือไม่ยอมให้ทำพฤติกรรมแบบนั้นต่อไปในชีวิตเรา [26] ตัวอย่างเช่น ถ้าเพื่อนของเราพยายามควบคุมเพื่อนคนอื่นของเรา ก็ให้บอกได้เลยว่า “ถึงนายจะมีค่าสำหรับฉันมากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับคนที่พยายามกันทุกคนออกไปจากชีวิตฉันได้ ถ้านายสามารถให้อิสระและใจกว้างได้มากกว่านี้ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ต่อไป แต่ถ้านายยังทำตัวแบบนี้อยู่ เราก็คงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว”
    • เราอาจไม่สามารถเชี่ยวชาญการวางเฉยได้ชั่วข้ามคืน ระหว่างฝึกอาจพบกับความล้มเหลวหลายครั้ง แต่ยิ่งเราฝึก เราก็จะยิ่งสามารถวางเฉยได้มากขึ้น เราจะยิ่งพบอิสรภาพและเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ผู้อื่นช่วยเหลือตัวเขาเองบ้างโดยพยายามไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย ถึงแม้จะทำได้ไม่ง่ายนัก ก็ยังดีกว่าเป็นทาสของคนอื่นไปตลอดชีวิต
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าเราเป็นคนเข้มแข็งและมั่นคง เราอาจเริ่มค่อยๆ รู้ตัวขึ้นมาทีละนิดว่าเราไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยคนที่ชอบควบคุมคนอื่นได้เลย โดยเฉพาะเรื่องใดที่คนคนนั้นมั่นใจว่าตนเองถูกเสมอ เมื่อรู้แบบนี้แล้ว อย่าดันทุรังเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป ถ้าเรายังฝืนตนเองคบกับเขาต่อไป ในอีกสิบปีเราอาจไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจปรารถนาอีกเลย ฉะนั้นอย่าปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเรา
  • พยายามอย่าปล่อยให้คนที่ชอบควบคุมคนอื่นต้อนเราจนมุม หรือทำให้เรารู้สึกอับจนหนทาง ถึงแม้เราไปจากชีวิตเขาและเราต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต หรือมีปัญหาเรื่องเงินทองก็ตาม แต่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น!
  • อย่าบอกเล่าประสบการณ์ที่แปลกพิสดาร ความคิดที่แท้จริงในใจ หรือความคิดตอนที่เรากำลังโกรธให้คนพวกนี้ฟัง เพราะเขาอาจนำมาใช้หาประโยชน์จากเราได้ ทำให้เราต้องทำตามที่เขาต้องการ ไม่อย่างนั้นความลับของเราจะถูกเปิดเผยเพื่อทำให้ผู้อื่นตีตัวออกห่างจากเรา ทำให้ผู้อื่นไม่ชอบหรือไม่เชื่อถือเรา ไม่ว่าจะพูดต่อหน้าหรือลับหลัง คนที่ชอบควบคุมคนอื่นย่อมอยากให้เราเดือดเนื้อร้อนใจ จะได้ควบคุมเราได้เหมือนหุ่นเชิด เป็น “เพื่อน” คนเดียวที่เรามี (คนที่คอยบงการให้เราทำนั้นทำนี้)
  • จำไว้ว่าเราไม่สามารถควบคุมผู้อื่นให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ แต่เราสามารถควบคุมตนเองให้ตอบโต้อย่างมีสติได้ เราต้องรับมือเรื่องต่างๆ ในแบบที่เชื่อว่าเหมาะสมโดยไม่ตอบโต้ผู้อื่นในแบบเดียวกับที่ผู้อื่นทำกับเรา พยายามเข้าใจคนเหล่านั้นหรือพยายามดีกับพวกเขาไว้ การตอบโต้แบบรุนแรงกลับไปไม่มีประโยชน์
  • ถ้าเราถูกแยกออกมาหรือถูกดดันให้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อน “ของเขา”เท่านั้น นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคารพความรู้สึกหรือความต้องการของเรา
  • ถ้าคนที่ชอบควบคุมคนอื่นมีตำแหน่งงานสูงกว่า เขาอาจมอบอำนาจให้คนอื่นมาจับตาดูเรา เขาอาจให้คนอื่นมาหลอกถามความรู้สึกที่แท้จริงของเราที่มีต่อเขา ถ้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล อย่าพยายามเผลอไปสนทนาเรื่องส่วนตัวกับบุคคลภายนอก เพราะเขาอาจถูกส่งมาเพื่อล้วงความลับของเรา พยายามพูดเรื่องเดิมๆ และเรื่องทั่วไปแทน
  • การเอาแต่พึ่งพาผู้อื่นจะทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ถ้าเราเป็นคนพิการ มีปัญหาทางการเงินเรื้อรัง หรือมีปัญหาชีวิตอื่นๆ ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ เราอาจต้องมาพึ่งคนที่มีนิสัยชอบควบคุมผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองรอด ระหว่างที่ต้องพึ่งพาคนคนนี้อยู่ ให้พยายามหาวิธีช่วยเหลือตนเองด้วย เผื่อว่าสักวันเขากดขี่ข่มแหงเราจนทนไม่ไหว เราจะได้ออกไปจากชีวิตเขาได้อย่างไร้กังวล ให้เราพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองก่อน จากนั้นค่อยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น มีองค์กรช่วยเหลือสังคมที่มีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ช่วยดูแลตามบ้าน ให้ความช่วยเหลือเรา ถ้าต้องการ
  • ถึงแม้คนคนนั้นจะพิการ เราก็ไม่ควรตามใจเขามากเกินไป คนพิการบางคนอาจมีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง ชอบเปลี่ยนใจอยู่เรื่อย จนเราทำตัวไม่ถูก หรือไม่สามารถทำทุกอย่างที่เราต้องการได้ ถ้าเขามักจะค้านเราบ่อยมากเกินไปและให้ทำอะไรที่เราไม่อยากทำ ให้พยายามเข้าใจเหตุผลของเขาก่อน ทดสอบมิตรภาพระหว่างเขาและเราด้วยการพูดเรื่องที่แสดงตัวตนของเราออกมาอย่างชัดเจน เช่น เรื่องผม เรื่องเสื้อผ้า ความคิดเห็นส่วนตัวของเรา สมมติว่าถ้าเราใส่น้ำหอมกลิ่นโปรด แต่เขาขอให้เราใส่น้ำหอมกลิ่นอื่นแทน ให้ลองถามหาเหตุผลดู ถ้าเป็นว่าเพราะเขาแพ้กลิ่นน้ำหอมของเรา ให้เราปรับเปลี่ยนเพื่อเขา แต่ถ้าเขาบอกให้เราใช้น้ำหอมกลิ่นที่เขาชอบ เราไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามที่เขาต้องการก็ได้
โฆษณา

คำเตือน

  • กำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าพฤติกรรมไหนเรารับได้และพฤติกรรมไหนเรารับไม่ได้ เมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนที่ชอบควบคุมคนอื่น เพราะเขาจะพยายามล้ำเข้ามาเพื่อทดสอบเรา ฉะนั้นหนักแน่นไว้และอย่ายอมให้เขาล่วงล้ำเข้ามาได้
  • ถ้าเห็นว่าตนเองต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับอีกฝ่าย หรือเลิกทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ หรือเลิกคบเพื่อนเก่า แสดงว่าเราอาจจะกำลังถูกคนอื่นควบคุมชีวิตอยู่
  • ระวังคนที่พยายามขอความเห็นใจจากเราเพื่อให้เราเชื่อใจเขาในตอนแรก การขอความเห็นใจอาจเป็นการบอกเราว่าเขามีชีวิตที่ยากลำบาก ถูกข่มแหงรังแกเมื่อหลายปีก่อน แต่ที่เล่าให้เราฟังเพราะมีแต่เราเท่านั้นที่เขาไว้ใจ ขณะเดียวกันคนคนนั้นก็พยายามให้เราเล่าประสบการณ์ที่เลวร้ายของตนเองให้ฟัง จากนั้นเขาก็จะรู้ว่าคนอื่นได้พูดหรือทำอะไรให้เราเจ็บบ้าง เขาก็จะนำเรื่องนี้มาพูดอยู่เรื่อยเช่นว่า “รู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่ตนเองโดนหลอก” “เธอพอรู้เหตุผลที่ทำให้ตนเองโดนหลอกไหม” ตอนแรกก็ดูเหมือนจริงใจและห่วงใย แต่จากนั้นเขาก็จะนำเรื่องไม่ดีมาใช้กระเซ้าเย้าแหย่จนเราเผลอคิดคล้อยตามเขาว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ นี้เป็นการใช้จิตวิทยา ใช้อิทธิพลทำให้เราคิดกับตนเองในแบบที่เขาต้องการ เราจะเห็นว่าตนเองท้อแท้ หงุดหงิด หรือหดหู่ หลังจากพูดคุยกับคนพวกนี้แล้ว ต่อมาคนที่ชอบควบคุมคนอื่นก็จะชักจูงให้เราทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากคุยกับคนแบบนี้แตกต่างจากการคุยคนที่รักและหวังดีกับเราจริงๆ เพราะหลังจากต่างฝ่ายต่างได้แบ่งปันประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดร่วมกัน ทั้งเราและเขาควรจะรู้สึกดีขึ้นและเข้าใจกันมากขึ้น ถ้าไม่รู้สึกแบบนั้น แสดงว่านี้เป็นการใช้จิตวิทยาของคนที่ชอบควบคุมคนอื่น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 86,472 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา