ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไม่ว่าใครก็คงเคยได้รับแผลบ้างในบางครั้ง ซึ่งบาดแผลโดยส่วนมากนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ แต่เพื่อให้บาดแผลหายดีและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ คุณควรทำตามวิธีเหล่านี้เพื่อให้บาดแผลหายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น [1] มีหลายวิธีที่จะช่วยให้แผลของคุณหายอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ชีวิตประจำวันของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

ทำความสะอาดและทำแผล

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ก่อนเริ่มทำแผล ควรมั่นใจว่ามือของคุณสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แบคทีเรียเข้าสู่แผล ล้างมืออย่างถูกวิธีเพื่อให้แน่ใจว่ามือสะอาดดีแล้ว [2]
    • ทำมือให้เปียกด้วยน้ำสะอาด
    • ใช้มือถูสบู่ให้เกิดฟอง โดยถูให้ทั่วทุกส่วนของมือ ทั้งหลังมือ ซอกนิ้ว และเล็บมือ
    • ถูมือนานอย่างน้อย 20 วินาที โดยส่วนใหญ่มักจับเวลาโดยฮัมเพลง Happy Birthday 2 รอบ หรือร้องเพลง ABC จนจบ
    • ล้างฟองออกให้หมดด้วยน้ำสะอาด หากเป็นไปได้ ให้หลีกเลี่ยงการใช้มือปิดก๊อกน้ำ และใช้ปลายแขนหรือข้อศอกแทน
    • เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด หรือผึ่งลมให้แห้ง
    • หากไม่มีน้ำหรือสบู่ ให้ใช้เจลล้างมือที่ผสมแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60% โดยใช้ในปริมาณตามคำแนะนำบนฉลาก และถูไปมาจนแห้ง
  2. หากคุณได้รับบาดแผลหรือรอยถลอกเล็กๆ เลือดจะไหลเพียงเล็กน้อยและหยุดเอง แต่หากเลือดยังไม่หยุดไหล ให้คุณกดเบาๆ บนแผลด้วยผ้าพันแผลจนกระทั่งเลือดหยุดไหล [3]
    • หากเลือดยังไม่หยุดไหลหลังผ่านไปแล้ว 10 นาที ให้ไปพบแพทย์โดยทันที เนื่องจากบาดแผลของคุณอาจมีอาการรุนแรงมากกว่าที่คุณคิด
    • หากมีเลือดออกมากหรือพุ่งกระฉูด อาจเกิดขึ้นเนื่องจากเส้นเลือดแดงขาด ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างฉุกเฉิน และคุณควรรีบไปโรงพยาบาลหรือเรียกรถพยาบาลโดยทันที เส้นเลือดแดงขาดมักเกิดขึ้นในบริเวณด้านในต้นขา ด้านในต้นแขน และคอ [4]
    • ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับแผลที่มีเลือดไหลไม่หยุด ให้ใช้ผ้าพันแผลกดลงไปเบาๆ จากนั้นจึงปิดแผลด้วยผ้าพันแผลหรือผ้าแล้วพันรอบๆ ให้แน่น ควรระวังอย่าพันจนแน่นเกินไปจนทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และรีบไปพบแพทย์โดยทันที [5]
  3. เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ คุณจำเป็นต้องกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อแบคทีเรียให้ได้มากที่สุด ล้างแผลให้สะอาดก่อนเริ่มปิดด้วยผ้าพันแผล เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในบาดแผล [6]
    • เปิดน้ำสะอาดให้ไหลผ่านแผล โดยน้ำที่ไหลจะช่วยขจัดสิ่งแปลกปลอมที่อาจติดอยู่ในแผลได้
    • ใช้สบู่ล้างบริเวณรอบๆ แผล หลีกเลี่ยงไม่ให้สบู่ถูกบาดแผลโดยตรง เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบได้
    • หากยังมีสิ่งแปลกปลอมหลงเหลืออยู่ในแผลหลังจากล้างเสร็จแล้ว ให้ใช้แหนบที่ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์แล้วหนีบออกมา
    • ไปพบแพทย์หากมีเศษฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมที่ไม่สามารถนำออกได้
  4. ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยป้องกันแผลจากการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่จะไปขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูของแผล โดยยาทาปฏิชีวนะสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป [7]
    • ควรอ่านฉลากก่อนใช้เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมใดๆ ที่คุณแพ้
    • หากมีผื่นคันหรือการระคายเคืองเกิดขึ้น ให้หยุดใช้และไปพบแพทย์
    • หากไม่มียาทาต้านแบคทีเรียหรือยาทาปฏิชีวนะ ให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่บางๆ แทน ซึ่งจะช่วยเป็นเกราะป้องกันระหว่างบาดแผลกับเชื้อแบคทีเรียได้
  5. การปล่อยแผลไว้โดยไม่ปิดให้เรียบร้อยจะทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้าสู่แผล และนำไปสู่การติดเชื้อได้ ปิดแผลด้วยผ้าพันแผลหรือพลาสเตอร์ยาที่ปราศจากเชื้อและไม่ติดแผล และควรแน่ใจว่าผ้าปิดแผลที่ใช้สามารถปิดแผลได้พอดี [8]
    • หากไม่มีผ้าพันแผล ให้ปิดแผลโดยใช้กระดาษทิชชูหรือกระดาษชำระอเนกประสงค์ที่สะอาดไปก่อนจนสามารถหาผ้าพันแผลได้
    • หากบาดแผลไม่ลึกและมีเลือดออกเพียงเล็กน้อย คุณอาจใช้พลาสเตอร์ชนิดเหลวแทนได้ ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะช่วยเคลือบแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อและสามารถกันน้ำได้เป็นเวลาหลายวัน เมื่อเกิดบาดแผล ให้ใช้พลาสเตอร์ชนิดเหลวทาเคลือบไว้หลังจากล้างแผลและทำให้แห้งแล้ว [9]
  6. บาดแผลที่ไม่ลึกมากนักอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์หากไม่เกิดการติดเชื้อใดๆ อย่างไรก็ตาม มีหลายกรณีที่คุณจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์หลังจากที่ล้างและทำแผลเรียบร้อยแล้ว รีบไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลหากคุณมีอาการใดๆ ต่อไปนี้
    • บาดแผลเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ - หากมีบาดแผลใดๆ เกิดขึ้นกับเด็กทารกที่มีอายุน้อยกว่า 1 ขวบ ควรรีบเข้ารับการรักษาทางการแพทย์เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อและแผลเป็น [10]
    • บาดแผลลึก - แผลที่มีความลึกเกิน 0.25 นิ้วจัดว่าเป็นแผลลึก และหากแผลลึกมาก คุณอาจเห็นชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ หรือกระดูกโผล่ออกมาได้ เพื่อให้บาดแผลสมานและป้องกันการติดเชื้อ คุณอาจจำเป็นต้องเย็บแผล [11]
    • บาดแผลเป็นรอยยาว - บาดแผลที่ยาวเกิน 0.5 นิ้วอาจจำเป็นต้องเย็บแผล [12]
    • บาดแผลสกปรกและมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่สามารถนำออกได้ - เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์หากคุณไม่สามารถล้างแผลได้สะอาดหมดจด
    • บาดแผลเกิดขึ้นบนข้อต่อและเปิดอ้าเมื่อข้อต่อขยับ - บาดแผลชนิดนี้จำเป็นต้องเย็บปิดเช่นเดียวกัน [13]
    • บาดแผลยังคงมีเลือดออกหลังกดห้ามเลือดนานกว่า 10 นาที - เลือดไหลไม่หยุดอาจเกิดขึ้นเนื่องจากบาดแผลไปโดนเส้นเลือดดำหรือเส้นเลือดแดง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ [14]
    • บาดแผลเกิดจากสัตว์ - คุณอาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าหากคุณไม่รู้ประวัติการรับวัคซีนของสัตว์ตัวนั้น คุณจำเป็นต้องทำความสะอาดบาดแผลให้สะอาด และอาจต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเพื่อป้องกันการเกิดโรค [15]
    • เป็นโรคเบาหวาน - ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะมีภาวะแทรกซ้อนจากบาดแผลเนื่องจากความสามารถของการไหลเวียนเลือดและเส้นประสาทที่แย่ลง ซึ่งทำให้แผลที่มีขนาดเล็กสามารถติดเชื้ออย่างรุนแรงและหายช้าลงได้ หากคุณป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรไปพบแพทย์ทุกครั้งไม่ว่าจะมีบาดแผลขนาดใด [16]
    • ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักนานเกิน 5 ปี - แม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักทุกๆ 10 ปี แต่แพทย์มักฉัดวัคซีนให้คุณหากมีบาดแผลลึก มีบาดแผลที่ถูกสัตว์กัด หรือมีบาดแผลใดๆ ที่เกิดขึ้นจากโลหะที่เป็นสนิม ไปพบแพทย์หากคุณไม่ได้ฉีดวัคซีนนานเกิน 5 ปี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคบาดทะยัก [17]
    • บาดแผลอยู่บนใบหน้า - การเย็บแผลหรือการรักษาแบบอื่นๆ อาจช่วยไม่ให้เกิดแผลเป็นบนใบหน้าได้ [18]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

ดูแลบาดแผลในขณะในระหว่างฟื้นฟู

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เลือดและแบคทีเรียจากบาดแผลนั้นจะทำให้ผ้าพันแผลสกปรก ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนผ้าพันแผลอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ หรือเปลี่ยนทุกครั้งที่ผ้าพันแผลเริ่มแฉะหรือสกปรก [19]
  2. แม้ว่าการทำความสะอาดและปิดแผลจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่การติดเชื้อก็อาจเกิดขึ้นได้ คอยสังเกตดูสัญญาณเตือนของการติดเชื้อ และไปพบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้ [20] [21]
    • รู้สึกเจ็บบริเวณบาดแผลมากขึ้น
    • มีรอยแดง บวม หรือความอุ่นรอบๆ บาดแผล
    • มีน้ำหนองไหลจากบาดแผล
    • มีกลิ่นเหม็น
    • มีไข้สูงถึง 38 องศาหรือติดต่อกันนานกว่า 4 ชั่วโมง
  3. บาดแผลโดยส่วนใหญ่มักใช้เวลา 3-7 วันในการฟื้นฟู หรือประมาณ 2 สัปดาห์หากบาดแผลค่อนข้างรุนแรง ซึ่งหากแผลของคุณใช้เวลาในการฟื้นฟูนานเกินไป อาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือปัญหาอื่นๆ ได้ ถ้าบาดแผลยังคงไม่หายดีหลังผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที [22]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

ช่วยให้แผลฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยาทาปฏิชีวนะไม่เพียงช่วยในการป้องกันการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นในบาดแผลได้ด้วย แผลที่แห้งจะใช้เวลาในการฟื้นฟูมากขึ้น และความชุ่มชื้นนี้สามารถช่วยเร่งกระบวนการรักษาให้เร็วขึ้นได้ ทายาทุกครั้งเมื่อคุณปิดแผล และถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องปิดแผลแล้ว แต่ก็ควรทายาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นและช่วยในกระบวนการฟื้นฟู [23]
  2. บางครั้งบาดแผลหรือรอยถลอกก็จะตกสะเก็ด ซึ่งสะเก็ดแผลนี้จะช่วยป้องกันบาดแผลในระหว่างฟื้นฟู ดังนั้น คุณจึงไม่ควรขูดหรือพยายามแกะสะเก็ดแผล เพราะการแกะสะเก็ดแผลจะทำให้ร่างกายต้องเริ่มทำการฟื้นฟูแผลใหม่อีกครั้ง และทำให้กระบวนการรักษาช้าลง [24]
    • ในบางครั้งสะเก็ดแผลอาจหลุดออกโดยไม่ได้ตั้งใจ และทำให้เลือดเริ่มไหลอีกครั้ง หากสะเก็ดแผลหลุดออก ให้ทำความสะอาดและทำแผลเหมือนกับบาดแผลชนิดอื่น
  3. แม้เรามักจะได้ยินว่าควรลอกพลาสเตอร์ยาออกอย่างรวดเร็ว แต่การทำเช่นนี้จะทำให้แผลหายช้าลงได้ เนื่องจากการดึงพลาสเตอร์ยาออกเร็วๆ จะลอกสะเก็ดแผลออกมาและทำให้แผลเปิดอีกครั้ง จึงทำให้กระบวนการรักษาถูกขัดขวาง ดังนั้น คุณจึงควรแกะพลาสเตอร์ยาออกอย่างช้าๆ และเพื่อให้ลอกพลาสเตอร์ยาออกมาได้ง่ายขึ้น ให้แช่บริเวณบาดแผลในน้ำอุ่น เพื่อลดความเหนียวของพลาสเตอร์ยาและทำให้ลอกออกมาได้โดยรู้สึกเจ็บน้อยลง [25]
  4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าเชื้อที่รุนแรงกับบาดแผลขนาดเล็ก. แอลกอฮอล์ เปอร์ออกไซด์ ไอโอดีน และสบู่ที่รุนแรงกับผิว สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบบริเวณบาดแผล ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการรักษาของแผลช้าลง และอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ สำหรับบาดแผลขนาดเล็กและรอยถลอก สิ่งที่คุณต้องใช้มีเพียงน้ำเปล่า สบู่สูตรอ่อนโยน และยาทาปฏิชีวนะเท่านั้น [26]
  5. ร่างกายจะทำการซ่อมแซมตัวเองในขณะที่คุณนอนหลับ ซึ่งหากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ก็จะทำให้บาดแผลใช้เวลาในการฟื้นฟูนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนอนหลับยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค ที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อในระหว่างฟื้นฟูบาดแผล พยายามนอนหลับอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้แผลของคุณฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ [27] [28]
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นด้วยการทานอาหารที่เหมาะสม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. โปรตีนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของผิวหนังและเนื้อเยื่อ ดังนั้น การทานโปรตีนวันละ 2-3 จานจะช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูของบาดแผลได้ แหล่งโปรตีนที่ดี ได้แก่ [29] [30]
    • เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก
    • ถั่ว
    • ไข่
    • ผลิตภัณฑ์นม เช่น นม ชีส และโยเกิร์ต โดยเฉพาะกรีกโยเกิร์ต
    • ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
  2. ไขมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ ดังนั้น คุณจึงจำเป็นต้องได้รับไขมันในปริมาณมาก เพื่อให้แผลของคุณฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ควรมั่นใจว่าไขมันที่รับประทานเข้าไปนั้นเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือที่เรียกว่าไขมันดี ไขมันอิ่มตัวที่พบในอาหารขยะนั้นไม่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูของแผล และยังทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ [31]
    • แหล่งของไขมันดีที่จะช่วยในการฟื้นฟู ได้แก่ เนื้อไม่มีมัน น้ำมันพืช เช่น น้ำมันทานตะวันหรือน้ำมันมะกอก และผลิตภัณฑ์นม [32]
  3. คาร์โบไฮเดรตเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย เนื่องจากร่างกายจะใช้คาร์โบไฮเดรตในการสร้างพลังงาน หากไม่ได้รับคาร์โบไฮเดรต จะทำให้ร่างกายของคุณนำสารอาหารชนิดอื่นๆ เช่น โปรตีน ไปสร้างพลังงานแทน ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการฟื้นฟูช้าลง เนื่องจากบาดแผลได้สูญเสียโปรตีนและไขมันที่ช่วยในการฟื้นฟู หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตโดยการทานธัญพืช ขนมปัง ข้าว และพาสต้าเป็นประจำทุกวัน [33]
    • ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะใช้เวลาในการย่อยช้ากว่า จึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น อาหารที่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ขนมปังโฮลเกรน ธัญพืช พาสต้า มันเทศ และข้าวโอ๊ตเต็มเมล็ด ซึ่งนอกจากจะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีปริมาณไฟเบอร์และโปรตีนสูงอีกด้วย [34]
  4. ทั้งวิตามินเอและวิตามินซีมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูบาดแผล โดยจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์และป้องกันการอักเสบ ทั้งยังช่วยต่อต้านการติดเชื้อในระหว่างฟื้นฟูบาดแผล [35]
    • แหล่งสำคัญของวิตามินเอ ได้แก่ มันเทศ ผักปวยเล้ง แครอท ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแซลมอน ไข่ และผลิตภัณฑ์นม
    • แหล่งสำคัญของวิตามินซี ได้แก่ ส้ม พริกหวานสีเหลือง ผักสีเขียวเข้ม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
  5. ธาตุเหล็กจะช่วยสังเคราะห์โปรตีนและสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยในการรักษาแผลให้หายดีขึ้น ควรรับประทานเนื้อแดง ธัญพืช และสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง เพื่อให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอ [36] [37]
  6. การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งจะช่วยนำสารอาหารที่จำเป็นไปสู่บาดแผล นอกจากนี้ น้ำเปล่ายังทำให้ร่างกายได้ขับพิษ จึงช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ [38]
    โฆษณา

คำเตือน

  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร หากคุณมีอาการเจ็บป่วยที่มีอยู่ก่อนหรือที่เกิดขึ้นในช่วยการกำหนดอาหาร ให้ขอคำแนะนำจากแพทย์เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียใดๆ ต่อร่างกาย
  • โทรเรียกรถพยาบาลหรือรีบไปโรงพยาบาลหากแผลของคุณมีเลือดออกไม่หยุดนานกว่า 10 นาที หากมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่สามารถเอาออกได้ หรือหากบาดแผลลึกหรือยาว [39]
โฆษณา
  1. http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/skin-injury/
  2. http://www.webmd.com/first-aid/tc/cuts-when-stitches-are-needed-topic-overview
  3. http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/skin-injury/
  4. http://www.webmd.com/first-aid/tc/cuts-when-stitches-are-needed-topic-overview
  5. http://www.webmd.com/first-aid/tc/cuts-when-stitches-are-needed-topic-overview
  6. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-animal-bites/basics/art-20056591
  7. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/wound-care-10/diabetic-wounds
  8. http://www.medicinenet.com/script/main/art.asp?articlekey=47225&page=2
  9. http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/skin-injury/
  10. http://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-cuts/basics/art-20056711
  11. http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/symptoms-of-infection-after-a-skin-injury
  12. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000741.htm
  13. http://www.webmd.com/first-aid/tc/how-a-scrape-heals-topic-overview
  14. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/wound-care-10/slideshow-wound-care-dos-and-donts
  15. http://www.webmd.com/first-aid/tc/how-a-scrape-heals-topic-overview
  16. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/wound-care-10/slideshow-wound-care-dos-and-donts
  17. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/wound-care-10/reducing-scars?page=1
  18. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3400176/
  19. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000741.htm
  20. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  21. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  22. http://www.webmd.com/diet/obesity/skinny-fat-good-fats-bad-fats?page=3
  23. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  24. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  25. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/imagepages/19529.htm
  26. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  27. http://my.clevelandclinic.org/health/healthy_living/hic_What_We_Eat_Affects_How_We_Feel/hic_Keeping_Your_Digestive_Tract_Healthy/hic_Nutrition_Guidelines_to_Improve_Wound_Healing
  28. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  29. http://www.woundcarecenters.org/article/living-with-wounds/how-your-diet-can-aid-in-wound-healing
  30. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000593.htm

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,232 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา