ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

มันเป็นฝันร้ายของนักเดินป่าทุกคนที่เวลาในขณะกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่สวยงามและกำลังดื่มด่ำไปกับธรรมชาติแต่กลับมีงูโผล่ออกมากัดคุณได้ ในสถานการณ์เช่นนี้คุณจะต้องเรียนรู้วิธีที่จะรักษาแผลให้ถูกต้อง เพราะถ้าคุณรักษาถูกวิธีแล้วล่ะก็ ไม่ว่าพิษงูจะร้ายแรงแค่ไหนคุณก็จะสามารถเอาตัวรอดจากมันได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นจงสนุกไปกับการเดินป่า ตั้งแคมป์และดื่มด่ำความสวยงามของธรรมชาติให้พอใจ แต่ก็ต้องอย่างลืมที่จะระมัดระวังงูไม่ให้กัดคุณได้ด้วย แต่ถ้าเมื่อไรที่โดนงูกัดแล้วคุณก็ต้องปฏิบัติและรักษาตามขั้นตอนที่ถูกต้อง


วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รักษาอาการหลังจากที่ถูกงูมีพิษฉก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณอยู่คนเดียวแต่ยังสามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อย่างปลอดภัยก็ให้ออกไปหาความช่วยเหลือเสีย แผลงูกัดส่วนมากนั้นไม่ได้อันตรายมากเว้นเสียแต่ว่างูนั้นเป็นงูพิษ เพราะฉะนั้นการที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คนที่จะเข้ามาช่วยเราจำเป็นจะต้องรู้ชนิดของงูที่ถูกพบในแถวนั้นบ่อยๆ เพื่อที่จะได้หายาและการรักษาที่เหมาะสมกับงูชนิดนั้นๆ หรือไม่ก็ให้โทรเรียกทีมแพทย์เข้ามาช่วยเหลือและนำตัวคุณเข้าห้องฉุกเฉินทันที
    • อย่าเสียเวลานั่งสังเกตว่าแผลงูกัดนั้นเป็นแผลจากงูที่มีพิษหรือไม่ เพราะถ้าจะให้ดีที่สุดคุณจะต้องรีบพบแพทย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • พยายามทำใจเย็นๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะการตื่นตระหนกจะยิ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจของคุณนั้นเร็วขึ้น และถ้าเกิดว่างูตัวนั้นมีพิษขึ้นมา การที่อัตราเร่งของหัวใจของคุณนั้นเร็วขึ้น มันจะยิ่งทำให้พิษของงูนั้นไหลเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกายคุณได้เร็วยิ่งขึ้น [1]
    • ถ้าเป็นไปได้ก็ให้โทรหาศูนย์ควบคุมพิษแห่งชาติ (1-800-222-1222) เพื่อขอคำแนะนำในขณะที่คุณรอความช่วยเหลือ [2] สำหรับประเทศไทย สามารถโทรแจ้งได้ที่สายด่วนความช่วยเหลือทางการแพทย์ 1669
  2. [3] คุณจะต้องบอกลักษณะของงูให้กับคนหรือคุณหมอที่มาช่วยเหลือเพื่อที่จะให้พวกเขาบอกได้ว่างูตัวนั้นเป็นงูมีพิษหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ให้คุณถ่ายรูปไว้หรือไม่ก็ให้เพื่อนที่มาเดินป่าด้วยกันช่วยจำลักษณะของงูเอาไว้
    • อย่าพยายามจับงูเพราะมันมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก เว้นเสียแต่ว่าคุณมีความชำนาญหรือเคยจับงูมาก่อนถึงจะทำให้คุณได้เปรียบ
    • อย่าเข้าไปใกล้ๆ งู เพื่อจดลักษณะของมัน ให้คุณคอยจดลักษณะของมันอยู่ห่างๆ เงียบๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากตัวงู
  3. คุณจะต้องออกห่างจากงูตัวเดิมหลังจากโดนกัดเพื่อป้องกันไม่ให้มันหันกลับมากัดคุณรอบสองได้อีก ให้ออกไปยืนไกลๆ จากบริเวณที่คุณโดนกัดเสีย แต่อย่างไรก็ตามอย่าวิ่งเร็วเพราะมันจะทำให้เลือดสูบฉีดเร็วขึ้นและจะยิ่งทำให้พิษไหลสู่ร่างกายเร็วมากขึ้น
    • ย้ายไปอยู่บริเวณที่งูจะไม่กลับมาหาคุณอีก หาเนินโล่งๆ บนทางเดินอยู่หรือบริเวณที่ไม่ค่อยมีที่ซ่อนให้งูแอบอยู่
    • หลังจากที่ย้ายไปอยู่บริเวณปลอดภัยแล้วให้อยู่นิ่งๆ เท่าที่จะสามารถทำได้
  4. ไม่ต้องหาสายรัดมาห้ามเลือดแต่ให้คุณอยู่นิ่งๆ อย่าขยับบริเวณที่โดนกัดก็พอ และพยายามให้บริเวณที่โดนกัดอยู่ต่ำกว่าหัวใจเพื่อที่จะให้พิษที่อยู่ในร่างกายไหลเวียนช้าลง
    • การทำให้บริเวณที่ถูกกัดอยู่ต่ำกว่าระดับของหัวใจสามารถช่วยป้องกันการไหลเวียนของพิษในร่างกายเข้าสู่หัวใจได้ซึ่งเป็นที่ๆ สามารถจะกระจายพิษเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกายได้เร็วที่สุด [4]
    • ถ้าทำได้ก็ให้ทำเฝือกประคองบริเวณที่โดนกัดไว้ด้วยเพราะจะช่วยให้บริเวณนั้นไม่สามารถขยับเขยื้อนได้มาก โดยคุณสามารถใช้ไม้หรือแผ่นกระดานมาวางทาบทั้งสองข้างตรงบริเวณที่ถูกกัด จากนั้นให้นำเศษผ้ามาพันบริเวณด้านล่าง ตรงกลางและข้างบนของแผ่นกระดานหรือไม้ที่คุณนำมาทาบอำไว้ตอนแรก
  5. ถอดเสื้อหรือเครื่องประดับที่แน่นๆ ออกให้หมด. รอยแผลจากการโดนกัดจากงูที่มีพิษอาจจะบวมและอักเสบได้ และอาจจะทำให้บริเวณที่มีเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับรัดอยู่นั้นยิ่งแน่นมากขึ้นได้
  6. รักษาความสะอาดบาดแผลให้ดีที่สุดแต่ห้ามนำน้ำมาเทล้าง. ให้ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดมาเช็ดเบาๆ ให้ทั่วบริเวณที่ถูกกัดแบบเบามือที่สุด และเมื่อแผลสะอาดแล้วให้นำผ้าสะอาดมาพันแผลเอาไว้
  7. สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือการหาความช่วยเหลือทางการแพทย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข่าวดีก็คือถ้าหลังจากที่คุณล้างแผลและถอดเครื่องประดับออกแล้วแต่ไม่เจอรอยบวมเลยหรืออาจจะบวมนิดหน่อย แสดงว่างูที่กัดนั้นไม่ใช่งูมีพิษ แต่อย่างไรคุณก็ต้องอย่าวางใจไปเพราะมันมีโอกาสที่จะติดเชื้อหรืออาจจะเกิดอาการแพ้ตามมาภายหลังได้ เพราะฉะนั้นยิ่งคุณได้ความช่วยเหลือทางการแพทย์เร็วมากท่าไรยิ่งดี
  8. มีความเชื่อผิดๆ ในการรักษาอาการงูกัดมากมายที่คนชอบทำกัน บางอย่างนั้นไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นแต่อย่างใดมีแต่จะทำให้อาการยิ่งแย่ลง
    • อย่าตัดแผลหรือดูดเอาพิษออกด้วยตัวเองเพราะการตัดแผลออกจะยิ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อและการดูดพิษงูออกด้วยปากอาจจะทำให้คุณกลืนพิษนั้นลงไปในร่างกายแทนได้
    • อย่าใช้สายรัดห้ามเลือดหรือน้ำแข็งประคบ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อกันว่าการรัดห้ามเลือดจะเข้าไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดมากเกินไปในขณะที่การใช้น้ำแข็งจะยิ่งทำให้แผลนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นได้ [5] [6]
    • อย่าดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนเพราะอาจจะทำให้หัวใจเต้นเร็วและพิษจะยิ่งถูกสูบฉีดเข้าร่างกายได้มากขึ้น ให้ดื่มน้ำเปล่าเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำแทน
  9. คุณอาจจะต้องถูกรักษาอาการบวมหรืออาการต่างๆ ที่ได้รับมาจากการโดนงูมีพิษกัดในห้องฉุกเฉิน ได้แก่อาการคลื่นไส้ มึนหัว ชา หายใจยากขึ้นหรือมีอาการบวม ในขณะที่อยู่ในห้องฉุกเฉินคุณจะถูกเจาะเลือดเอาไปตรวจว่าพิษงูนั้นได้เข้าไปทำลายระบบเลือดหรือระบบประสาทหรือไม่ หรือว่าก่อให้เกิดอาการแพ้หรืออาการตัวบวมบ้างหรือเปล่า
    • การรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับอาการที่คุณเป็นว่ามันเป็นมากขึ้นหรือเปล่า และถึงแม้ว่าไม่มีอาการร้ายแรงเพิ่มขึ้นคุณจะต้องถูกกักตัวเอาไว้เพื่อดูอาการอีก 24 ชั่วโมง เผื่อว่าอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกได้
    • ถ้างูที่กัดคุณเป็นงูที่มีพิษ แพทย์อาจจะใช้เซรุ่มแก้พิษงูกับคุณ (หรือรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งคือแอนไทเวนัม หรือ แอนไทน์เวนีน) เซรุ่มเหล่านี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยายับยั้งพิษของงูในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้ได้ผลทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ โดยปริมาณของการใช้จะขึ้นอยู่กับว่าอาการของคุณว่ารุนแรงขนาดไหน
    • คุณอาจจะได้รับการจ่ายยาต้านจุลชีพโดยคุณหมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลหรืออาจจะมีการฉีดยาบาดทะยักให้คุณอีกด้วย
    • ในการรักษารอยงูกัดอาจจะต้องมีการผ่าตัด
  10. หลังจากที่คุณออกจากโรงพยาบาลแล้ว คุณก็ควรที่จะรักษาความสะอาดบริเวณบาดแผลและใช้ยารักษาตามคำแนะนำให้ถูกต้อง การแนะนำเหล่านี้รวมไปถึงเรื่องความถี่ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าและการทำความสะอาดบาดแผลด้วย (โดยปกติแล้วใช้สบู่) และการเฝ้าระวังว่าแผลจะติดเชื้อหรือไม่
    • สัญญาณที่บ่งบอกว่าแผลของคุณติดเชื้อก็คือ อาการบวมพอง ช้ำแดง เป็นหนองหรือมีความร้อนออกมาจากบริเวณแผล โดยถ้าคุณเจออาการเหล่านี้ล่ะก็ ให้คุณรีบโทรหาแพทย์โดยด่วน
  11. ถ้าคุณอยู่ไกลความช่วยเหลือทางการแพทย์ ก็ขอให้คุณใจเย็นๆ เอาไว้. ถ้าคุณอยู่ในป่าที่ไม่สามารถหาความช่วยเหลือทางการแพทย์ได้ วิธีดีที่สุดคือคุณจะต้องหาที่สบายๆ นั่งพักและปล่อยให้พิษออกจากระบบของร่างกายเอง และค่อยๆ รักษาอาการที่เกิดขึ้นไปทีละอาการ ที่สำคัญที่สุดคือคุณจะต้องเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะความกลัวและความเครียดหลังจากที่โดนงูกัดอาจจะทำให้อาการที่คุณเป็นอยู่ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเพราะหัวใจจะเต้นเร็วและจะทำให้พิษนั้นแพร่กระจายตามเลือดในร่างกายได้เร็วมากยิ่งขึ้น
    • ถ้าคุณไปเดินป่าและพบเห็นผู้คนตามทาง คุณก็สามารถขอให้พวกเขาเข้ามาช่วยเหลือคุณได้เพราะพวกเขาอาจจะมีอุปกรณ์รักษาการถูกงูกัดเบื้องต้นอยู่
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รักษาแผลจากการโดนงูที่ไม่มีพิษกัด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แผลจากการโดนงูที่ไม่มีพิษกัดอาจจะดูไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ต้องรักษาอาการเบื้องต้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลก่อน การรักษาแผลงูไม่มีพิษกัดนั้นคล้ายๆ กับแผลโดนเข็มจิ้มนั่นแหละ โดยขั้นตอนแรกให้ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าพันแผลพันให้แน่นๆ บริเวณแผลเพื่อไม่ให้ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป [7]
    • อย่ารักษาแผลที่โดนกัดเสมือนว่างูที่กัดนั้นไม่มีพิษตราบใดที่คุณยังไม่รู้แน่ชัดว่างูที่กัดคุณนั้นมีพิษหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ก็ให้ติดต่อทีมแพทย์เพื่อให้ความช่วยเหลือจะดีกว่า
  2. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและล้างด้วยสบู่สักสองสามนาทีแล้วให้ล้างด้วยน้ำเปล่าให้หมดจดอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นให้ล้างอีกรอบหนึ่งและนำผ้าก๊อซที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วค่อยๆ เช็ดจนแห้ง [8] หรือใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดถ้ามี
  3. ใช้ยาต้านปฏิชีวนะทาที่แผลและพันด้วยผ้าพันแผล. ทายาปฏิชีวนะลงบนแผลที่สะอาดบางๆ จากนั้นให้พันด้วยผ้าพันแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  4. คุณหมอที่รักษาต้องทำให้แผลของคุณสะอาดและปลอดภัยอยู่แล้วแหละ แต่คุณก็สามารถที่จะถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาได้เช่นกัน เช่น ถามหมอว่าคุณจะต้องฉีดยากันบาดทะยักอีกหรือไม่ [9]
  5. ถึงแม้ว่ารอยแผลจะไม่ได้มาจากการกัดของงูที่มีพิษแต่ว่ามันก็สามารถที่จะติดเชื้อได้เช่นกัน คุณจะต้องคอยสังเกตสัญญาณของการติดเชื้อให้ดี เช่น การบวมแดง เป็นหนอง หรือมีไข้ ถ้าหากคุณเจออาการเหล่านี้ ให้คุณรีบกลับไปตรวจอาการอีกครั้งหนึ่ง
  6. การทำให้ร่างกายไม่ขาดน้ำช่วงที่กำลังรักษาตัวอยู่นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก [10] โดยปกติแล้วคุณจะต้องดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวัน [11]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ศึกษาชนิดของงูและแผลที่โดนกัดให้ดีๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถึงบางตัวจะไม่มีพิษแต่พวกมันก็สามารถกัดคุณเหมือนกันได้หมด [12] เหล่างูที่มีพิษได้แก่งูจงอาง งูทางมะพร้าว งูคอร์รอล งูวอเตอร์มอคคาซิน และงูหางกระดิ่ง เป็นต้น โดยส่วนมากพวกงูมีพิษจะมีหัวเป็นสามเหลี่ยม วิธีเดียวที่จะสามารถดูได้ว่างูตัวนั้นมีพิษหรือไม่ให้สังเกตที่ต่อมพิษในเขี้ยวของงูตอนที่มันตายแล้ว [13]
  2. สังเกตให้ดีๆ ว่าพื้นที่บริเวณที่คุณอยู่นั้นเป็นที่อยู่ของเหล่างูมีพิษหรือไม่. งูจงอางนั้นมักจะถูกพบได้มากในทวีปเอเชียและแอฟริกา ส่วนงูทางมะพร้าวสามารถถูกพบได้ในบริเวณทางตอนใต้และทางตะวันออกของอเมริกาและในพื้นที่บางส่วนของประเทศออสเตรเลียและในเอเชีย ส่วนงูคอร์รอลสามารถถูกพบเจอได้ในประเทศอเมริกาทางตอนใต้และในพื้นที่บางส่วน ของประเทศอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมไปถึงประเทศจีนและไต้หวันด้วย ในขณะที่งูคอตตอนเมาท์หรือวอเตอร์มอคคาซินนั้นสามารถพบได้ในทางใต้ของอเมริกาและงูหางกระดิ่งก็จะสามารถพบได้ทางตอนใต้ของแคนาดายาวไปจนถึงประเทศอาร์เจนติน่า
    • ในบางพื้นที่ในโลก เช่น ประเทศออสเตรเลียนั้นเต็มไปด้วยงูที่มีพิษอยู่เป็นจำนวนมาก จงจำเอาไว้ว่างูที่มีพิษนั้นสามารถอาศัยอยู่ในเมืองได้เช่นกันไม่ใช่แต่เพียงแต่อยู่แต่ในป่าเพราะฉะนั้นคุณก็ต้องมีความระมัดระวังในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น
  3. หลังจากที่คุณโดนงูที่ไม่มีพิษกัด คุณจะต้องคอยสังเกตให้ดีว่าแผลนั้นติดเชื้อหรือว่าบวมหรือไม่ ในขณะที่ถ้าคุณโดนงูที่มีพิษกัด นอกเหนือจากแค่เรื่องอาการบวมและการติดเชื้อแล้วคุณยังต้องคอยสังเกตผลข้างเคียงจากพิษงูด้วย ส่วนมากงูมักจะไม่กัดคุณก่อนถ้ามันไม่รู้สึกว่าตัวมันนั้นได้รับอันตราย
    • ก่อนที่งูจะกัด ฟันของงูมีทั้งแบบหุบเข้าไปได้กับหุบไม่ได้ โดยงูมีพิษแต่ละตัวมักจะมีฟันสองชนิดนี้แตกต่างกันออกไป และถึงแม้ว่างูคอร์รอลจะมีเขี้ยวแบบหุบไม่ได้แต่เขี้ยวของมันก็จะสามารถทำลายระบบประสาทได้ และสำหรับงูหางกระดิ่งที่มีเขี้ยวแบบหุบได้นั้นจะสามารถส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดได้ [14] [15] [16]
    • ในงูทุกชนิดจะมีสารที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อได้ ถ้าคุณโดนกัดคุณจะต้องรีบหาวิธีแก้ปัญหาตรงจุดนี้ก่อนเพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
  4. งูนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็นซึ่งก็หมายความว่าพวกมันจะต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นจากสภาพแวดล้อมและจากแสงอาทิตย์ [17] ด้วยสาเหตุนี้เอง พวกงูนั้นจะถูกพบได้น้อยลงในช่วงที่มีอากาศเย็นเพราะพวกมันจะจำศีลในฤดูหนาว
    • งูและโอกาสที่งูจะกัดนั้นจะมีมากเมื่อคุณอยู่ใกล้กับเส้นละติจูดเพราะงูในพื้นที่นี้จะไม่จำศีลและจะพบเจอได้มากในวันที่มีอากาศร้อน
  5. วิธีหลีกเลี่ยงที่ดีที่สุดในการป้องกันการถูกงูกัดคือการไม่เผชิญหน้ากับงู และตามที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านป่าไม้ได้ให้คำแนะนำเอาไว้ วิธีที่ดีที่สุดในการเลี่ยงการเผชิญหน้ากับงูนั้นได้แก่:
    • อย่านอนหรือไปพักใกล้ๆ บริเวณที่อาจจะมีงูซ่อนอยู่ เช่น พุ่มไม้ ต้นไม้สูงและหินใหญ่ เป็นต้น
    • อย่าเอามือของคุณแหย่เข้าไปในซอกหิน ร่องไม้ พุ่มไม้หนาๆ หรือที่ๆ งูจะสามารถเข้าไปหลบซ่อนได้
    • เวลาเดินให้คอยสังเกตพุ่มไม้และหญ้าบริเวณด้านล่างเสมอ
    • อย่าพยายามหยิบงูขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เพราะจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หลังจากที่งูตายไม่ถึงหนึ่งนาทีมันยังสามารถกัดคุณได้อยู่
    • ใส่รองเท้าบู้ทสำหรับการปีนเขาเสมอเพื่อป้องกันข้อเท้า โดยให้ใส่ทับขากางเกงไปเลย
    • ทำเสียงดังๆ เข้าไว้เพื่อไล่งูไป เพราะงูส่วนมากพอได้ยินเสียงคนก็จะหนีหมดแล้ว! [18] เพราะฉะนั้นระหว่างเดินให้ทำเสียงดังๆ เข้าไว้ให้พวกมันรู้
  6. ซื้อกล่องปฐมพยาบาลสำหรับการโดนงูกัดเก็บเอาไว้. ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบปีนเขาหรือเข้าป่าบ่อยๆ คุณก็ควรที่จะหาซื้อกล่องปฐมพยาบาลแบบนี้เอาไว้บ้างซึ่งมันจะมีเครื่องดูดพิษรวมอยู่ด้วย โดยคุณจะต้องอย่าไปใช้เครื่องมือจำพวกมีดโกนหรือเครื่องดูดอื่นๆ [19]
    โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าคุณได้ยินเสียงงูที่มีพิษกำลังเข้ามาใกล้ๆ ให้คุณอยู่นิ่งๆ เข้าไว้เพราะพวกมันจะเห็นคุณไม่ชัดถ้าเกิดคุณไม่ขยับตัวและจะไม่คิดว่าคุณจะทำอันตรายพวกมัน โดยให้คุณค่อยๆ ถอยหลังออกมาช้าๆ และบอกเพื่อนว่ามีงูอยู่แถวนั้น และให้ออกมาจนกว่าจะปลอดภัย
  • คอยระมัดระวังในสถานที่ๆ งูหางกระดิ่งและคนชอบอาศัยอยู่ งูหางกระดิ่งมักจะสั่นหางของมันเพื่อที่จะไล่ภัยอันตรายรอบๆ ตัวมันออกไปเพื่อที่พวกมันจะได้ไม่ต้องต่อสู้กับศัตรู แต่การที่มนุษย์ชอบล่างูหางกระดิ่งกันมากนั้นทำให้พฤติกรรมของพวกงูเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป โดยงูหางกระดิ่งที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีคนเยอะๆ จะไม่ค่อยสั่นหางใส่มนุษย์เท่าไรแต่จะอำพรางตัวในที่ต่างๆ แทน ซึ่งมนุษย์ก็มักจะเผลอไปเหยียบมันกัน
  • บางคนแนะนำว่าให้พันแผลแน่นๆ โดยอย่าใช้ผ้าพันแผลที่ยืดหยุ่นได้ยาวกว่า 2-3 นิ้ว โดยคุณสามารถใช้ผ้ายืดยี่ห้อเอซหรือจะเป็นผ้าที่มีลวดลายก็ได้ที่หาได้จากเสื้อยืดหรือส่วนอื้นๆ ของเสื้อผ้า อย่างไรก็ดีแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าพันแผลที่มีความยืดหยุ่นมากมารัดเพราะมันอาจจะทำให้เวลาถอดออกแล้วพิษที่ถูกรัดไว้อาจจะไหลกลับไปสู่เลือดได้ และด้วยความที่คนส่วนมากไม่ได้ถูกฝึกมาให้ใช้ผ้าพันแผลแบบนี้ในการป้องกันพิษงูอย่างถูกต้อง มันอาจจะมีความเสี่ยงและอาจเป็นอันตรายต่อระบบหมุนเวียนเลือดหรือจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีกได้
  • อย่าพยายามตัดแผลเพื่อที่จะดูดพิษออกมาเองด้วยปากหรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ดูดพิษเพราะไม่มีการยืนยันว่าการทำแบบนี้จะช่วยนำพิษออกจากร่างกายในปริมาณที่สมควรได้จริงหรือไม่และมันอาจจะทำให้บริเวณแผลยิ่งได้รับความรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 14,475 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา