ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ครั้งหน้าเวลาที่คุณกินอะโวคาโดหรือใช้อะโวคาโดในการประกอบอาหาร อย่าลืมเก็บเมล็ดมันไว้ด้วย การปลูกต้นอะโวคาโดเองเป็นเรื่องง่ายและสนุก เป็นกิจกรรมที่เหมาะกับทุกวัย เหมาะแก่การปลูกในสวน ในร่ม และยังเป็นโปรเจ็กต์ยอดเยี่ยมทั้งที่โรงเรียนหรือที่บ้านด้วย! วิธีการปลูกอะโวคาโดในบทความนี้จะได้ต้นอะโวคาโดที่ออกดอกแต่ไม่ให้ผล ถ้าคุณอยากปลูกต้นอะโวคาโดที่ออกผลด้วย คุณควรซื้อต้นที่ผ่านการติดตามาแล้วจากร้านขายต้นไม้ดีกว่า [1]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

เพาะรากในน้ำ

ดาวน์โหลดบทความ

เตรียมเมล็ด

  1. ค่อยๆ ผ่าอะโวคาโดเพื่อไม่ให้บาดเข้าไปในเนื้อเมล็ดซึ่งอยู่กลางอะโวคาโด โดยการใช้มีดเฉือนเข้าไปในเปลือก/เนื้ออะโวคาโดลึกประมาณครึ่งนิ้วให้รอบด้านนอก จากนั้นบิดแต่ละครึ่งในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อเปิดออก ค่อยๆ ดึงเมล็ดออกและวางแยกไว้ต่างหาก
    • นำเนื้ออะโวคาโดมาประกอบอาหาร เช่น นำไปทำเป็นน้ำสลัดเพื่อไม่ให้เนื้อเสียเปล่า
  2. ค่อยๆ ล้างเมล็ดอะโวคาโดเพื่อล้างเนื้อออกให้หมด ล้างด้วยมือและน้ำอุ่นและอย่าใช้สบู่ ระวังอย่าลอกแผ่นเคลือบเปลือกที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนออก เพราะอาจทำให้เมล็ดเสียหายและขึ้นยาก
  3. ตั้งเมล็ดให้ด้านที่ "แคบ" (ปลาย) ตั้งขึ้น เสียบไม้จิ้มฟัน 4 อันเข้าไปตรงกลางเมล็ดโดยเว้นเป็นช่วงเท่าๆ กัน แค่พอให้เมล็ดตั้งได้ก็พอ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถตั้งเมล็ดไว้ในถ้วยได้โดยไม่ต้องใส่เข้าไปในถ้วยทั้งเมล็ด
    • ตอนเสียบไม้จิ้มฟันเข้าไปให้จำไว้ว่า เมล็ดจะแช่อยู่ในน้ำสูงประมาณ 1 นิ้ว
  4. เติมน้ำลงไปในภาชนะเล็กๆ ผอมๆ (ควรจะเป็นแก้ว) จนกระทั่งน้ำปริ่มขอบ ปากภาชนะควรกว้างพอที่จะวางเมล็ดอะโวคาโดได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องไม่กว้างเกินไปเพราะไม่อย่างนั้นไม้จิ้มฟันจะไม่สามารถพยุงเมล็ดไว้ได้และเมล็ดก็จะตกลงไปในน้ำ
  5. วางเมล็ดอะโวคาโด (ที่เสียบไม้จิ้มฟันไว้แล้ว) ลงบนขอบด้านบนของภาชนะ. ไม้จิ้มฟันควรอยู่บนขอบภาชนะ และเมล็ดอะโวคาโดประมาณ 1 นิ้วเท่านั้นที่แช่อยู่ในน้ำ อย่าลืมให้ด้านปลายชี้ขึ้นและด้านฐานกลมๆ แช่อยู่ในน้ำ ไม่อย่างนั้นต้นอะโวคาโดจะไม่ขึ้น
  6. วางภาชนะที่ใส่อะโวคาโดไว้ในที่ๆ มีอุณหภูมิพอเหมาะและไม่มีสิ่งรบกวนใกล้ๆ หน้าต่างหรือบริเวณอื่นๆ ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อเริ่มกระบวนการให้รากงอกและเจริญเติบโต
  7. เปลี่ยนน้ำเพื่อไม่ให้สิ่งปนเปื้อนต่างๆ (เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย การหมักหมม เป็นต้น) ไปขัดขวางกระบวนการเกิดรากของอะโวคาโด ฐานอะโวคาโดจะต้องชุ่มชื้นและแช่อยู่ในน้ำ เสมอ
  8. อีก 2 – 3 สัปดาห์ เปลือกสีน้ำตาลด้านนอกของอะโวคาโดจะเริ่มแห้งและย่นและจะลอกออกไปในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานเมล็ดก็จะแตกออกทั้งด้านบนด้านล่าง หลังจากนั้น 3 – 4 สัปดาห์รากแก้วก็จะเริ่มงอกออกมาจากฐานเมล็ด [2]
  9. คอยดูแลไม่ให้รากแก้วเสียหาย ให้เวลารากงอกจากเมล็ดอะโวคาโดก่อน ไม่นานเมล็ดก็จะแตกหน่อด้านบน แตกใบอ่อนและเริ่มมีหน่อที่พยุงใบไว้ออกมา
    โฆษณา

นำเมล็ดลงดิน

  1. ต้นอะโวคาโดต้องการสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมของการเจริญเติบโตที่พิเศษ ส่วนมากต้นอะโวคาโดควรปลูกในกระถางและย้ายกระถางไปเรื่อยๆ เพื่อให้เจออากาศที่เปลี่ยนแปลง ต้นอะโวคาโดชอบอุณหภูมิที่ 15.6 – 29.4 องศาเซลเซียส และต้นที่โตแล้วก็สามารถทนต่ออากาศที่ต่ำได้ถึง – 2.2 องศาเซลเซียส [3]
  2. ต้นอะโวคาโดเจริญเติบโตได้ในดินที่มีค่า pH เกือบทุกระดับ แต่ต้องมีเกลือน้อยและระบายน้ำได้ดี คุณไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยในดินมากมายจนกว่าต้นไม้จะมีอายุประมาณ 1 ปี ถึงตอนนั้นคุณควรตรวจสอบดินเพื่อหาว่าดินมี/ขาดสารอาหารใดบ้าง แล้วจึงค่อยใส่ปุ๋ยตามสารอาหารที่พบในดิน [4]
    • คุณอาจจะใส่ปุ๋ยสูตร 10-10-10 ปีละ 2 ครั้งเพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโต โดยทั่วไปคุณอาจจะใช้ดินปลูกต้นไม้และใส่หินลงไปตรงก้นกระถางเพื่อช่วยในการระบายน้ำส่วนเกิน [5]
  3. ใช้กระถางดินเผาสูง 20 – 25 ซม. ใส่ดินดีลงไปในกระถางสูง 2 ซม. วัดจากด้านบนลงล่าง ส่วนผสมระหว่างดินชั้นบนกับกาบมะพร้าวครึ่งต่อครึ่งมักจะให้ผลดีที่สุด แต่คุณต้องตรวจสอบดินที่คุณปลูกด้วยเพื่อให้ได้ส่วนผสมที่ถูกต้อง ค่อยๆ กดดินลงไป ใส่ดินเพิ่มถ้าจำเป็น พอเตรียมเสร็จแล้ว ให้ขุดหลุมแคบๆ ที่ลึกพอที่จะใส่รากและเมล็ดอะโวคาโดลงไปได้
  4. เมื่อต้นสูงประมาณ 6 – 7 นิ้ว ให้เล็มออกเหลือแค่ 3 นิ้ว พอใบงอกขึ้นมาใหม่ก็แสดงว่าปลูกได้แล้ว ค่อยๆ นำเมล็ดที่แตกหน่อออกจากภาชนะที่ใส่น้ำ และค่อยๆ ดึงไม้จิ้มฟันออก
  5. ค่อยๆ ฝังเมล็ดอะโวคาโดลงไปในดินโดยให้ครึ่งหนึ่งของเมล็ดโผล่ขึ้นมาเหนือหน้าดิน วิธีนี้จะทำให้ฐานของลำต้นที่งอกจากเมล็ดไม่เน่าอยู่ในดิน กลบดินรอบเมล็ดๆ เล็กน้อย
  6. รดน้ำต้นไม้ทุกวันหรือมากพอที่ทำให้ดินชุ่มชื้น อย่ารดน้ำมากเกินไปจนดินเละ ถ้ายอดใบไม้กลายเป็นสีน้ำตาล ก็แสดงว่าต้นไม้ต้องการน้ำเพิ่ม แต่ถ้าใบไม้เป็นสีเหลือง แปลว่าต้นไม้ได้น้ำมากเกินไปและต้องปล่อยทิ้งไว้ให้น้ำแห้งก่อนสัก 1 หรือ 2 วัน [6]
  7. คอยดูแลต้นอะโวคาโดอยู่เสมอ และไม่กี่ปีต่อจากนี้คุณก็จะได้ต้นอะโวคาโดสวยงามที่แทบจะไม่ต้องดูแลอะไรเลย ครอบครัวและเพื่อนๆ จะต้องประทับใจที่รู้ว่า คุณเพาะและปลูกต้นอะโวคาโดจากเมล็ดที่รอดพ้นมาจากการทำน้ำสลัด
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

เพาะเมล็ด

ดาวน์โหลดบทความ

คนที่ปลูกต้นอะโวคาโดบางคนพบว่า การแช่เมล็ดลงในน้ำเพื่อให้รากงอกนั้นเสี่ยงต่อการที่จะได้ต้นอะโวคาโดสูงลำต้นเก้งก้างแต่ไม่ออกลูก ในกรณีนี้การเพาะเมล็ดลงดินอาจจะดีกว่าการแช่เมล็ดในน้ำก่อน

  1. ใช้มีดนำเนื้อออกจากเมล็ด วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการใช้มีดผ่ายาวรอบผล
  2. ใช้มีดเฉาะลงไปแล้วบิด เมล็ดก็จะออกมา
  3. ตรงนี้คือด้านบนของเมล็ด
  4. อ่านขั้นตอนด้านบนเพื่ออ่านคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกที่ปลูก กำจัดหญ้าบนผิวดินหรืออะไรก็ตามแต่ที่อยู่ตรงนั้นเพื่อให้พร้อมสำหรับการปลูก
    • ถ้าเป็นไปได้ให้ปลูกไว้สองต้น เพราะต้นไม้พวกนี้ชอบมีคู่
  5. ใช้มือขุดดินซุยๆ เป็นเนินรอบๆ เมล็ด อย่าใช้เท้าเหยียบดินลงไปเพราะอาจทำให้เมล็ดเสียหาย
  6. ใส่ปุ๋ยเมื่อเห็นต้นโผล่ขึ้นมาเหนือดิน อย่าใส่ปุ๋ยเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นระบบรากจะไม่สามารถงอกออกมาได้อย่างเหมาะสม ในอีก 3 – 4 ปีข้างหน้าก็รอให้ต้นไม้ออกผลได้เลย
  7. อะโวคาโดจะไม่สุกคาต้น ให้ดึงผลออกมาแล้วใส่ไว้ในกระดาษสีน้ำตาลเพื่อบ่มให้สุก เมื่อนิ่มแล้วก็กินได้
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อดทนไว้ ถ้าคุณคิดว่ามันไม่เร็วทันใจมันก็จะดูเหมือนมีคนเอากิ่งไม้มาเสียบไว้ในดิน อย่าดึงออกมานะ! อันนั้นแหละคือเมล็ดมันกำลังแตกหน่อ! บางครั้งต้นมันก็สูงถึง 6 หรือ 8 นิ้วก่อนที่คุณจะเห็นมันแตกใบอ่อนเสียอีก
  • ในช่วงฤดูหนาวหรือในสภาพอากาศที่เย็น การย้ายต้นอ่อนอะโวคาโดมาไว้ในดินเพาะที่อยู่ในกระถางขนาดกลางดีกว่าปลูกลงดินโดยตรง วางต้นอะโวคาโดไว้ตรงหน้าต่างที่มีแสงแดดส่องและรดน้ำต้นไม้ให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่ารดน้ำมากเกินไป
  • ยังคงสงสัยกันอยู่ว่าเราจำเป็นต้องปลูกต้นอะโวคาโดสองต้นเพื่อให้เกิดการถ่ายเกสรดอกไม้จากดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไป อย่างน้อยในบางสายพันธุ์ต้นไม้ก็ออกดอกที่เป็นทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียและสามารถถ่ายเกสรในต้นเดียวกันได้ นอกจากนี้คุณอาจจะติดตาจากต้นที่ออกผลอยู่แล้วกับเหง้าที่คุณเพาะเองก็ได้ (แต่การติดตาต้นไม้ก็จะอาศัยอีกกระบวนการหนึ่งในตัวมันเอง)
โฆษณา

คำเตือน

  • ต้นอะโวคาโดที่เกิดจากการเพาะเมล็ดจะสูงมาก ไม่เหมือนกับต้นที่มาจากการติดตา กิ่งของอะโวคาโดเปราะและไม่เหมาะที่จะรับน้ำหนักอะไร เพราะฉะนั้นอย่าแขวนสิ่งของเช่นเปลไว้บนกิ่งต้นอะโวคาโด เพราะมันจะหักลงมา
  • กิ่งและก้านผอมๆ หรือสูงยาวนั้นจะกลายเป็นฐานรากที่รองรับต้นได้ไม่ดีนัก การเล็มออกไม่บ่อยนักจะทำให้กิ่งและก้านยาว ขดเป็นม้วน และเปราะ การเล็มจะทำให้ก้านของต้นอะโวคาโดหนาและเจริญเติบโตได้อย่างแข็งแรงขึ้น
  • การได้รับแสงน้อยเกินไปและ/หรือการรดน้ำไม่พอดีจะทำให้ก้านและกิ่งเปราะ ซึ่งในที่สุดจะทำให้ต้นไม้หักลงมาเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว
  • การเล็มมากเกินไป (เล็มเยอะเกินไปหรือบ่อยเกินไป) อาจหยุดหรือทำให้ใบไม้ไม่เจริญเติบโต หลังจากเล็มในครั้งแรก ให้เล็มเฉพาะปลายใบอ่อนที่อยู่บนก้านและ/หรือกิ่งเพียงนิดเดียว การเล็มกิ่งก้านและลำต้นหลักช่วยให้ก้านเต็มขึ้นและทำให้ใบหนาขึ้นและแข็งแรงขึ้น
  • การปล่อยให้ฐานของเมล็ดแห้งจะทำให้อะโวคาโดแตกหน่อออกมาได้ไม่ดีนักหรือไม่แตกเลย
  • การไม่เปลี่ยนหรือไม่รดน้ำเมล็ดอะโวคาโดที่แตกหน่ออย่างเพียงพอจะทำให้สิ่งปนเปื้อนต่างๆ ก่อตัวขึ้นในน้ำและ/หรือที่ราก เชื้อรา รากเน่า รา และน้ำที่หมักหมมเป็นพิษต่อต้นไม้ทั้งต้นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนน้ำใหม่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ
  • อย่าปลูกลงดินโดยตรงจนกว่าต้นจะแข็งแรงพอในกระถาง ระบบรากที่แข็งแรงของต้นไม้กับดินที่ร่วนซุยเป็นสภาพแวดล้อมในที่แจ้งที่ดีต่อการปลูกต้นอะโวคาโด
  • การจะปลูกต้นอะโวคาโดจากเมล็ดที่ได้จากผลอะโวคาโดที่ซื้อตามร้านค้าทั่วไปให้ออกผลนั้นเป็นเรื่องยาก แม้ว่าอะโวคาที่มาจากร้านค้าจะไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม แต่อะโวคาโดต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เจาะจงเป็นพิเศษจึงจะออกผลได้ อย่าคาดหวังว่ามันจะออกผล
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • อะโวคาโดสุกทั้งผล
  • แก้วน้ำก้นหนาไม่มีหูจับ ถ้วยแก้วหรือถ้วยพลาสติกผอมๆ อื่นๆ
  • หน้าต่างที่มีแสงแดดส่องเข้ามาเพื่อเพาะเมล็ดในขณะที่มันเริ่มแตกหน่อ
  • ไม้จิ้มฟัน 4 อัน
  • น้ำ
  • กระถาง
  • หินเพื่อการระบายน้ำ
  • ดิน

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 75,141 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา