ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การพูดคุยกับพระเจ้าเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องเฉพาะตัว และมักเป็นเรื่องส่วนบุคคล การค้นหาวิธีที่จะพูดคุยกับพระเจ้านั้นอาจดูเป็นเรื่องซับซ้อนเนื่องจากมีศาสนาและความคิดเห็นที่ แพร่หลายมากมายเกี่ยวกับพระเจ้า แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดก็ได้ เพราะวิธีการเข้าถึงและพูดคุยกับพระเจ้านั้นโดยหลักแล้วก็คือ การทำในสิ่งที่คุณรู้สึกว่าใช่ ไม่ว่าคุณจะมีความเชื่อทางจิตวิญญาณหรือนับถือศาสนาอะไร คุณก็สามารถเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการทำตามเคล็ดลับดังต่อไปนี้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

พูดคุยกับพระเจ้าตามที่คุณเชื่อ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณต้องระบุให้ได้ก่อนว่า สำหรับคุณแล้วพระเจ้าคือใครเพื่อให้คุณพูดคุยกับพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ พระเจ้าคือใครและคุณนิยามพระเจ้าว่าอย่างไร คุณรู้จักพระเจ้าในฐานะผู้ที่เป็นเหมือนดั่งบิดามารดา ครู เพื่อนที่ห่างเหิน หรือเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดคุณมากกว่าพี่น้องเสียอีก หรือพระเจ้าคือผู้นำทางจิตวิญญาณที่เป็นนามธรรม การเชื่อมโยงระหว่างคุณกับพระเจ้ามีรากฐานมาจากความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณส่วนตัวที่คุณมีกับพระเจ้าหรือเปล่า หรือว่าคุณปฏิบัติตามรูปแบบและคำสอนของศาสนาในการทำความเข้าใจว่าสำหรับคุณแล้วพระเจ้าเป็นใคร วิธีการที่คุณนิยามพระเจ้าจะเป็นตัวกำหนดวิธีการที่คุณมองและพูดคุยกับพระเจ้า และวิธีการที่คุณมองพระเจ้าก็จะเป็นตัวกำหนดว่า คุณจะเข้าถึงพระเจ้าเพื่อพูดคุยกับท่านตามมุมมองของคุณที่มีต่อท่านอย่างไร [1]
  2. การพยายามพูดคุยกับคนที่ห่วงใยคุณจริงๆ จะทำให้คุณคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น [2] เพราะฉะนั้นการที่คุณเล่าให้พระเจ้าฟังเกี่ยวกับภาระหน้าที่และความสุขต่างๆ จึงช่วยเชื่อมความสัมพันธ์กับพระเจ้า การเข้าใจว่าพระเจ้าอยากได้ยินสิ่งที่คุณเล่าและร่วมรับรู้ความสุข ความเจ็บปวด และความคิดของคุณคือขั้นแรกของการสร้างความสัมพันธ์นี้ขึ้นมา และคุณสามารถต่อยอดความสัมพันธ์นั้นได้ด้วยการอ่านบทความที่บอกว่า พระเจ้าห่วงใยคุณมากแค่ไหนในงานเขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณหรือคัมภีร์ทางศาสนา เช่น คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์กุรอาน หรือโทราห์
  3. พูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเพื่อนสนิทที่พร้อมให้ความรักแต่ก็ทรงอานุภาพ. การพูดคุยกับพระเจ้าในฐานะเพื่อนที่ประเสริฐนั้นไม่เหมือนกับการอธิษฐานต่อพระเจ้าในยามจำเป็นหรือตามหน้าที่ เพราะถ้าเป็นเพื่อนกันคุณจะต้องคาดหวังการสื่อสารทั้งสองทางด้วยการสังเกตว่า พระเจ้าตอบคำถาม ช่วยเหลือ หรือสอนคุณอย่างไร [3] การพูดคุยสื่อความหมายถึงการสนทนามากกว่าการอธิษฐานที่เป็นเหมือนการสื่อสารทางเดียวมากกว่า
    • คุณจะพูดคุยกับพระเจ้าออกมาดังๆ หรือพูดในหัวก็ได้ แล้วแต่ว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด
    • ถ้าจะให้ดีที่สุดคุณควรหาที่เงียบๆ หรือเป็นส่วนตัวเวลาคุยกับพระเจ้าเพื่อให้มีสมาธิ แต่ถ้าทำไม่ได้คุณก็สามารถคุยกับพระเจ้าเงียบๆ ได้ระหว่างที่คุณกำลังยืนต่อแถวรอจ่ายเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต นั่งในห้องนั่งรอ หรือตอนที่คุณอยู่ที่ทำงานหรือที่โรงเรียน เป็นต้น
  4. พูดคุยกับพระเจ้าเหมือนว่ามีคนตัวเป็นๆ มายืนอยู่ตรงหน้าคุณ คุณอาจจะเล่าปัญหาในชีวิตประจำวัน ความคิดในช่วงเวลานี้ ความหวังและความฝัน หรือแม้แต่สิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณให้พระเจ้า (และตัวคุณเอง) ฟัง คุณสามารถเล่าเรื่องทั่วไปหรือเรื่องยากๆ ให้พระเจ้าฟังเหมือนเวลาที่เล่าให้เพื่อนที่ห่วงใยฟังได้
    • เช่น สมมุติว่าคุณทะเลาะกับเพื่อน คุณก็อาจจะพูดว่า “พระเจ้าครับ ผมไม่รู้จะพูดกับแชมป์ยังไงแล้วครับ เราทะเลาะกันมาเกือบสองอาทิตย์แล้วและเราก็ยังไม่ดีกันเลย ผมไม่อยากคิดว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรแล้วครับ”
    • เคยเจอวันที่สวยงามสุดๆ จนต้องตะลึงไหม พูดคุยกับพระเจ้าเรื่องของขวัญที่พระองค์ทรงมอบให้คุณ “โอ้โหพระเจ้า! ข้างนอกสวยมากเลยครับ ผมอยากออกไปอ่านหนังสือในสวนสาธารณะจังเลย”
    • หรือคุณอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับคนในครอบครัว “ผมไม่ชอบเลยที่ผมกับแม่เข้ากันไม่ค่อยได้ แม่ไม่เข้าใจผมเลยและไม่ยอมฟังเวลาที่ผมพยายามอธิบายว่าจริงๆ แล้วผมรู้สึกยังไง ผมอธิษฐานขอให้แม่พยายามมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองของผมบ้าง และช่วยให้ผมอดทน รับฟัง และเข้าใจแม่ด้วยครับ”
  5. คุณอาจจะไม่ได้ยินการตอบกลับเหมือนเวลาที่มีเพื่อนตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า แต่คุณอาจจะได้รับการตอบกลับจากพระเจ้าในรูปแบบของลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าหรือจากบทเทศนาของพระ นอกจากนี้การตอบกลับยังอาจมาในรูปแบบของการรับรู้โดยสัญชาตญาณ แรงบันดาลใจ คัมภีร์ สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณพูดคุยกับพระเจ้าทั้งทางตรงและทางอ้อม [4]
  6. บอกพระเจ้าว่า คุณรู้ว่าพระองค์มีเหตุผลที่จะไม่ตอบกลับอย่างชัดเจนและมีลำดับเวลาของพระองค์เอง และจงเชื่อมั่นในพระเจ้า. คุณอาจจะไม่พบสิ่งที่คุณต้องการในเวลาที่คุณต้องการ แต่พระองค์ทรงมีเหตุผลในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง
  7. พยายามเดินตามเส้นทางของพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจตามแนวคิดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีของพระเจ้า. แต่ก็ให้รู้ไว้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลมาจากการกระทำ/การไม่กระทำส่วนตัวที่ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของ "บุคคลที่สาม" หรือการที่พวกเขาทำในสิ่งที่ ตรงกันข้ามกับความคิดและความต้องการบางอย่างของคุณ พระเจ้าอาจจะไม่ขัดขวางหรือแทรกแซงพฤติกรรมของบุคคลที่ไม่น่าคบหา ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าพวกเขามีเจตจำนงเสรีเช่นเดียวกับคุณ และอาจจะไม่ปฏิบัติตามหลักความรัก ศีลธรรมอันดี ประสงค์ของพระเจ้า และไม่เลิกพฤติกรรมมิชอบที่เกี่ยวข้องกับคุณ ดังนั้นจึงน่าเศร้าใจที่ว่าเหตุการณ์ต่างๆ อาจขึ้นอยู่กับจุดตัดบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย/ความประมาทของพวกเขา กับเส้นทางที่เต็มไปด้วยความหวังและความสงบของคุณ เราสามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้แม้เกิดเหตุการณ์เลวร้าย วันที่มืดมนที่สุด หรือเมื่อคุณเดินผ่านหุบเขาแห่งความตาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณไม่ต้องกลัว แต่คุณอาจร้องเรียกหาพระเจ้าโดยที่ยังคงเชื่อมั่นในพระองค์
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

พูดคุยกับพระเจ้าผ่านการเขียน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เขียนถึงพระเจ้าในฐานะการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง. คุณอาจจะไม่อยากคุยกับพระเจ้าออกมาดังๆ หรือไม่มีสมาธิเวลาคุยกับพระเจ้าในหัว หรือทั้งสองวิธีนี้อาจจะไม่เหมาะกับคุณเลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ให้ลองเปลี่ยนไปเขียนถึงพระเจ้า ในการสื่อสารรูปแบบนี้คุณยังคงได้ถ่ายทอดความคิดเพื่อสร้างการเชื่อมโยงและได้เล่าเรื่องราวในฝั่งของคุณกับพระเจ้าเหมือนเดิม [5]
  2. เลือกสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกอยากเขียนทุกวัน สมุดสันห่วงหรือสมุดบันทึกก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากเพราะมันสามารถวางราบไปกับโต๊ะได้สะดวก และเลือกเครื่องเขียนที่คุณชอบ
    • คุณควรเขียนถึงพระเจ้าด้วยลายมือแทนที่จะพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์มีสิ่งที่ทำให้ใจวอกแวกมากมาย และสำหรับบางคนการพิมพ์นั้นต้องใช้สติมากกว่าการเขียนไปเรื่อยๆ ในสมุด [6]
  3. แม้ว่าคุณจะไม่ได้พูดออกมาดังๆ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรหาที่เงียบๆ เพื่อให้คุณมีสมาธิมากที่สุด
  4. ก่อนที่คุณจะลงมือเขียน ให้ตั้งเครื่องจับเวลาตามระยะเวลาที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะเขียน คุณอาจจะตั้งไว้ 5 10 หรือ 20 นาทีก็ได้ ใช้ปากกาหรือดินสอเขียนไปเรื่อยๆ จนกว่าเสียงจับเวลาจะดัง
  5. พยายามอย่าพะวงกับสิ่งที่เขียน ไม่ต้องกังวลเรื่องหลักภาษาและเครื่องหมายวรรคตอน หรือคิดว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังเขียนอะไรอยู่ ในการเขียนถึงพระเจ้านั้น คำที่เขียนลงไปจะต้องออกมาจากใจ ซึ่งคุณจะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อคุณผ่อนคลายมากพอที่จะเขียนสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจได้อย่างเป็นอิสระ
  6. เขียนถึงพระเจ้าเหมือนเวลาที่คุณเขียนจดหมายหาเพื่อนหรือเขียนบันทึกส่วนตัว. ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะเขียนอะไรดี ให้ลองเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบันที่คุณหยุดคิดไม่ได้ เขียนว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณบ้าง เขียนคำถามที่คุณอยากได้คำตอบจากพระเจ้า เขียนเกี่ยวกับเป้าหมายหรือสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ ใช้ตัวอย่างด้านล่างนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียน
    • “พระเจ้าครับ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ ดูเหมือนผมจะตัดสินใจได้ไม่ดีหรือไม่เจอคนที่เหมาะสมสักที ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมอยู่กับเรื่องดราม่า เมื่อไหร่มันจะจบครับ เมื่อไหร่สิ่งต่างๆ ในชีวิตผมจะเปลี่ยนแปลงไปสักที”
    • “ตอนนี้ผมระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวแล้วครับพระเจ้า วันนี้ผมเจอผู้หญิงคนนึงที่ทำงานอยู่ในบริษัทในฝันของผม เราบังเอิญโชคดีได้เจอกันครับ คิดดูว่าเรามีโอกาสที่จะได้บังเอิญเจอคนที่ใช่บนถนนที่พลุกพล่านแค่ไหนกันเชียวครับ ถ้าผมไม่บังเอิญชนไหล่เธอและเธอไม่ได้ทำกระเป๋าถือหล่น ผมคงไม่เหลือบไปเห็นนามบัตรของเธอ พระองค์ตอบกลับคำอธิษฐานของผมจริงๆ”
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

พูดคุยกับพระเจ้าผ่านคำอธิษฐาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การอธิษฐานอาจเป็นวิธีพูดคุยกับพระเจ้าที่เป็นทางการมากกว่าเพราะว่าโดยพื้นฐานแล้วการอธิษฐานมีรากฐานมาจากศาสนา แต่คุณจะอธิษฐานแบบไหนก็ได้ที่คุณสบายใจ และแม้ว่าคุณจะอธิษฐานตอนไหนที่ไหนก็ได้ การกำหนดเวลาอธิษฐานในแต่ละวันจะช่วยคุณได้มาก [7] เลือกเวลาที่คุณไม่น่าจะถูกรบกวน สามารถอยู่กับตัวเอง และตั้งใจอธิษฐานได้ ช่วงเวลาที่คนมักอธิษฐานได้แก่ ก่อนมื้ออาหารหรือก่อนนอน หลังตื่นนอน ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดหรือลำบาก และระหว่างทำกิจกรรมที่ทำคนเดียว เช่น ออกกำลังกายหรือเดินทาง [8]
  2. โดยหลักการแล้วคุณควรอธิษฐานต่อพระเจ้าในที่ๆ คุณสามารถตัดสิ่งรบกวนออกไปได้สักครู่ในระหว่างที่อธิษฐาน
    • ถ้าคุณหาสถานที่เงียบๆ เพื่ออธิษฐานไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวล คุณสามารถอธิษฐานบนรถเมล์ในเมืองที่จอแจ กลางร้านอาหารที่คนแน่นเอี้ยด และที่ไหนก็ได้ที่คุณได้อยู่กับตัวเอง คุณจะอธิษฐานระหว่างขับรถบนทางหลวงก็ได้ถ้าตาคุณยังมองถนนระหว่างอธิษฐาน
  3. เมื่อคุณพร้อมอธิษฐานแล้ว บางคนก็อาจจะขอเวลาเตรียมพื้นที่และตัวเองสักครู่เพื่อสื่อสารกับพระเจ้า [9] วิธีการเตรียมตัวก่อนอธิษฐานนั้นส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่ความพอใจส่วนตัวและ/หรือขนบธรรมเนียมทางศาสนา
    • ตัวอย่างแนวทางปฏิบัติทั่วไปอาจจะเป็น การอ่านบทกลอนเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนาที่เกี่ยวข้อง จุดเทียนหรือกำยาน ทำพิธีชำระล้าง รับศีลมหาสนิท นั่งสมาธิเงียบๆ สวดมนต์ หรือร้องเพลง
  4. คุณจะทำขั้นตอนนี้ล่วงหน้าก็ได้ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้นในชีวิตหรือคุณจะตัดสินใจระหว่างอธิษฐานก็ได้ [10]
    • คุณอาจจะใช้คำอธิษฐานเป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันหรือเหตุการณ์ปัจจุบันกับพระเจ้าแบบสบายๆ ก็ได้ เช่น “พระเจ้าครับ วันนี้เปิดเทอมวันแรก ผมกังวลมากแต่ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ขอให้วันนี้ทุกอย่างราบรื่นนะครับ”
    • คุณอาจจะใช้คำอธิษฐานในการสารภาพหรือยกภูเขาออกจากอก หรือคุณอาจจะอธิษฐานเพื่ออ้อนวอนหรือร้องขอสิ่งที่ต้องการก็ได้ “พระเจ้าครับ ผมรู้สึกแย่มากเลยครับที่ผมนินทาเพื่อนร่วมงาน ผมกลัวว่าเรื่องจะถึงหูเธอและผมก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง ให้อภัยผมเถอะนะครับ และช่วยให้ผมเข้มแข็งพอที่จะขอให้เธอยกโทษให้ด้วยนะครับ”
    • สมมุติว่าคุณเพิ่งสัมภาษณ์งานมา คุณอาจจะพูดว่า “ขอบคุณที่ทำให้ผมได้สัมภาษณ์งานนะครับพระเจ้า ขอให้คนสัมภาษณ์เห็นว่าผมเหมาะกับงานนี้แค่ไหน และตัดสินใจจ้างผมด้วยนะครับ”
  5. การอธิษฐานไม่มีถูกผิด ผู้ที่ศรัทธาควรกำหนดได้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร แม้การอธิษฐานที่โบสถ์หรือสถานนมัสการมักจะมีรูปแบบและพิธีกรรมที่กำหนดไว้แล้ว แต่เวลาที่คุณอธิษฐานเองคนเดียว คุณไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎอะไรนอกจากการเปิดใจรับพระเจ้าและพูดจากใจ
    • บางคนชอบก้มศีรษะระหว่างอธิษฐานและหลับตา ในขณะที่บางศาสนาก็อาจจะกราบอัษฎางคประดิษฐ์หรือคุกเข่า คุณจะอธิษฐานอย่างไรก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าเป็นการเคารพสูงสุด เหมาะกับคุณและความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้ามากที่สุด คุณจะลืมตาและตั้งศีรษะตามปกติหรือคุกเข่าแล้วอธิษฐานเงียบๆ ก็ได้หมด
    • คุณจะท่องคำอธิษฐานตามธรรมเนียมออกมาดังๆ หรืออธิษฐานกับตัวเองเงียบๆ ก็ได้
  6. การอธิษฐานร่วมกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อเหมือนกันเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลัง เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้คุณได้ยินว่าคนอื่นเชื่อมโยงกับพระเจ้าอย่างไร และได้เรียนขนบธรรมเนียมและพิธีกรรมใหม่ๆ ที่คุณสามารถนำมาปรับใช้กับแนวทางในการอธิษฐานของตัวเองได้ ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้เข้ากลุ่มร่วมอธิษฐานกับคนอื่น พยายามค้นหาสักกลุ่ม [11]
    • คุณสามารถหากลุ่มในสถานนมัสการหรือโบสถ์ใกล้บ้านที่คุณเข้าร่วมได้ หรือคุณอาจจะค้นหากลุ่มคนที่มีความเชื่อเหมือนกันในอินเทอร์เน็ตเพื่อดูว่า มีการนัดพบกันในละแวกของคุณหรือไม่ แต่ถ้าคุณไม่เจอสิ่งที่คุณต้องการ คุณก็อาจจะตั้งกลุ่มอธิษฐานขึ้นมาเองเลยก็ได้
    • ในบางศาสนากลุ่มอธิษฐานจะส่งคำอธิษฐานของกลุ่มไปให้เพื่อนหรือคนรักในยามจำเป็น รายการคำอธิษฐานมักจะกำหนดขึ้นมาเป็นประจำเพื่ออธิษฐานให้แก่สมาชิกที่ป่วยหรือทุกข์ยากในชุมชน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เวลาที่คุยกับพระเจ้า คุณต้องพูดคุยในแบบที่คุณรู้สึกสบายใจที่สุด อย่าพยายามเลียนแบบคนอื่นเพราะคุณคิดว่าเขาทำถูก แต่ให้เลียนแบบก็ต่อเมื่อคุณคิดว่ามันอาจจะเหมาะกับคุณ
  • เวลาที่เขียนถึงพระเจ้า ต้องใช้กระดาษกับปากกา ถึงจะใช้แรงมากกว่า แต่ก็วอกแวกน้อยกว่า
  • โดยหลักการแล้วคุณควรหาที่เงียบๆ เพื่อคุยกับพระเจ้า แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่พยายามหาวิธีที่จะทำให้ช่วงเวลานั้นศักดิ์สิทธิ์สำหรับคุณแม้ว่าจะมีสิ่งรบกวน
  • อ่านพระคัมภีร์ทางศาสนาถ้านั่นเป็นจุดกำเนิดของศรัทธา คำตรัสของพระเจ้าคือวิธีการที่พระเจ้าสื่อสารกับเราและทำให้เราเห็นว่าจะดำเนินชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างไร มันคือหนังสือเล่มหนึ่งที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และแน่นอนว่ามีผู้ที่พยายามจะทำลายหนังสือเล่มนี้ แต่ในวันนี้มันกลับกลายเป็นหนังสือที่โด่งดังมากที่สุดในโลก และเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุด
  • ในการพูดคุยกับพระเจ้านั้น คุณต้องเปิดใจ คุณต้องตั้งใจฟังสิ่งที่พระเจ้าตอบกลับมา เพราะถ้าคุณไม่ฟัง คุณก็จะไม่ได้ยิน เชื่อมั่นว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกคุณคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณเสมอ
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าให้คนอื่นมาบังคับให้คุณต้องพูดคุยกับพระเจ้าแบบนั้นแบบนี้ เพราะการพูดคุยกับพระเจ้าไม่ได้มีรูปแบบเดียว เลือกวิธีที่เป็นธรรมชาติและผ่อนคลายที่สุดสำหรับคุณ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,446 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา