ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือแทนโทรศัพท์บ้านแล้ว อย่างไรก็ตาม โทรศัพท์มือถือในสมัยนี้มักนิยมใช้แบตเตอรี่ลิเทียมที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอยู่เสมอตราบเท่าที่ยังใช้งานอยู่ ดังนั้น การเรียนรู้วิธีดูแลแบตเตอรี่โทรศัพท์จะช่วยให้คุณสามารถยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างง่ายดาย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

การยืดระยะเวลาระหว่างการชาร์จครั้งถัดไป

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ปิดโทรศัพท์เฉพาะตอนที่คุณไม่ต่องการใช้โทรศัพท์ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะการเปิดปิดโทรศัพท์จะใช้พลังงานในการทำงานค่อนข้างมาก ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีรักษาแบตเตอรี่ที่ได้ผลและง่ายที่สุด เพราะจะช่วยรักษาพลังงานและยังช่วยชาร์จแบตเตอรี่ได้อีกด้วย ถ้าคุณไม่คิดจะรับโทรศัพท์ระหว่างที่นอนหลับหรือทำงาน ก็ให้ปิดไว้ และปิดโทรศัพท์เมื่อคุณอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณด้วย (เช่น รถไฟใต้ดินหรือที่ที่กันดาร เพราะการค้นหาสัญญาณใหม่จะทำให้แบตเตอรี่ลดลงค่อนข้างเร็ว)
    • โทรศัพท์บางรุ่นจะมีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ แต่คุณสมบัติจะเริ่มทำงานก็ต้องรอเวลา 30 นาทีโดยที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ กว่าจะถึงตอนนั้นแบตเตอรี่ก็ถูกใช้ไปมากแล้ว ถ้าคุณใช้สมาร์ทโฟนและอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณ ให้ปิดการทำงานของโทรศัพท์ (โดยเปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบิน (Flight/Airplane mode))
  2. เมื่อคุณอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณอ่อนหรือไม่มีสัญญาณ โทรศัพท์ของคุณจะคอยค้นหาสัญญาณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการค้นหาสัญญาณต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การลืมปิดโทรศัพท์บนเครื่องบินเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย เพราะเราจะไม่รู้ตัวว่าเมื่อใดจะอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณ วิธีที่จะยืดเวลาการใช้งานได้ดีที่สุดก็คือดูให้ดีว่าคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณดี ถ้าคุณอยู่ในที่ที่สัญญาณไม่ดี ให้ใช้เครื่องทวนสัญญาณ (Repeater) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสัญญาณและทำให้ตัวรับสัญญาณทำงานได้ดีขึ้นในทุกๆ ที่ที่คุณไป หรือคุณจะเปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบินตามที่เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ก็ได้
  3. หลีกเลี่ยงการปล่อยให้แบตเตอรี่โทรศัพท์หมด เพราะแบตเตอรี่โทรศัพท์สมัยใหม่ไม่ได้จากแบตเตอรี่ที่ทำมากจากนิกเกิล (Nickel-based batteries) (เช่น ถ่านชาร์จ AA ที่ทำมาจาก NiCd หรือ NiMH ที่หาได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป) แต่ทำมาจากแบตเตอรี่ที่ทำมาจากลิเธียม (Lithium-based battery) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ชาร์จไฟได้เร็วและบ่อย การปล่อยให้แบตเตอรี่ชนิดนี้น้อยเกินไปอาจจะสร้างความเสียหายให้กับตัวแบตเตอรี่ได้ ดังนั้น อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดและคอยชาร์จแบตบ่อยๆ จะช่วยยืดอายุให้กับแบตเตอรี่ได้
  4. ให้ใช้เพียงเสียงเรียกเข้าเท่านั้น เพราะระบบการสั่นจะใช้แบตเตอรี่มากกว่าเดิม และตั้งเสียงเรียกเข้าให้เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  5. แบ็คไลท์ (Backlight) เป็นสิ่งที่สร้างมาเพื่อช่วยให้เราสามารถอ่านข้อความในที่ที่สว่างมากๆ หรือนอกตัวอาคารได้ อย่างไรก็ตาม แบ็คไลท์เป็นสิ่งที่ต้องการพลังงานจากแบตเตอรี่เช่นกัน ถ้าคุณสามารถใช้งานโทรศัพท์โดยที่ไม่ใช่แบ็คไลท์ได้ แบตเตอรี่ก็จะอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น ถ้าคุณต้องใช้แบ็คไลท์ โทรศัพท์หลายๆ รุ่นสามารถตั้งเวลาการใช้แบ็คไลท์ได้ ดังนั้น ให้ลดเวลาการใช้งาน ซึ่งโดยทั่วไปการใช้แบ็คไลท์ประมาณ 1-2 วินาทีก็เพียงพอแล้ว โทรศัพท์บางรุ่นมีตัวรับแสงรอบด้าน (Ambient light sensor) ซึ่งจะปิดแบ็คไลท์ในที่สว่างและเปิดในที่ที่มืด
  6. ถ้าคุณรู้ว่าจะถึงเวลาชาร์จแบตเตอรี่ในไม่ช้า อย่าใช้กล้องถ่ายรูปหรือเล่นอินเทอร์เน็ต การถ่ายรูปโดยใช้แฟลชจะทำให้แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว
  7. วิธีนี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนก็จริง แต่คุณได้ยินคนที่คุยโทรศัพท์พูดว่า “ฉันคิดว่าแบตจะหมดแล้ว” แต่พวกเขาก็ยังคุยต่อไปมากี่ครั้งแล้ว บางครั้งแบตเตอรี่ที่กำลังจะหมดนั้นก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะวางสายโทรศัพท์ (ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ดี) แต่ถ้าคุณต้องการที่จะรักษาแบตเตอรี่ ให้จำกัดเวลาการคุยโทรศัพท์ด้วย
  8. บลูทูธ (Bluetooth) จะทำให้แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นให้เปิดใช้เฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
  9. ปิดไวฟาย (WI-FI) จีพีเอส (GPS) และอินฟราเรด (Infrared) ถ้าโทรศัพท์ของคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้. เช่นเดียวกับบลูทูธ ให้เปิดการใช้งานเหล่านี้ในตอนที่จำเป็นเท่านั้น
  10. ปรับแสงสว่างหน้าจอให้น้อยที่สุดเท่าที่จะปรับได้.
  11. ปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเครือข่ายถ้าเป็นไปได้. ใช้ 3G (HSPA, HSPA+, UMTS) หรือ 2G (GSM) แทนที่จะใช้ 4G (LTE) เพราะการใช้ 4G จะทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าการใช้ 3G หรือ 2G ดังนั้น ปิดการใช้งาน 4G เมื่ออยู่ในที่ที่สัญญาณ 4G อ่อน เมื่อคุณใช้ 4G ทั้งระบบวิทยุ 3G และ 4G จะถูกเปิดด้วยกัน ซึ่งจะต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก หรือคุณอาจจะปิด 3G แล้วใช้ 2G แทนถ้าที่ที่คุณอยู่มีสัญญาณ 3G ที่อ่อนหรือไม่มีเลย
  12. หลีกเลี่ยงการตั้งภาพพื้นหลังเป็นภาพเคลื่อนไหว. ภาพพื้นหลังที่เคลื่อนไหวได้จะทำให้แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว
    • ใช้พื้นหลังสีดำเมื่อทำได้. จอเอเอ็มโอแอลอีดี (AMOLED screen) จะใช้พลังงานน้อยมากเมื่อแสดงผลเป็นสีดำ ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าภาพพื้นหลังสีขาว [1]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แบตเตอรี่ใหม่ควรจะชาร์จให้เต็มก่อนที่จะใช้งานครั้งแรกเพื่อให้ได้ปริมาณที่สูงที่สุด แบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิลควรจะชาร์จเป็นเวลา 16 ชั่วโมงในครั้งแรกและชาร์จให้เต็มแล้วใช้ให้หมดประมาณ 2-4 วงจรการใช้พลังงาน ในขณะที่แบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียมไอออน (Lithium ion batteries) ควรจะชาร์จไฟประมาณ 5-6 ชั่วโมง อย่าไปสนใจถ้าโทรศัพท์แจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่นั้นเต็มแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติแต่การเตือนมักจะไม่แม่นยำถ้าแบตเตอรี่ไม่ได้ใช้เป็นครั้งแรก
  2. หลีกเลี่ยงการใช้งานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจนหมด. เพราะอายุของแบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียมจะลดลงถ้าหากใช้งานจนแบตเตอรี่หมด ไม่เหมือนกับแบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิลที่การใช้แบตเตอรี่จนหมดไม่มีผลต่ออายุการใช้งาน ดังนั้น ให้เริ่มชาร์จแบตเตอรี่เมื่อแถบแสดงแบตเตอรี่แสดงให้เห็นต่ำกว่า 1 ขีด นอกจากนี้ แบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียมไอออนที่ใช้กันอยู่ในโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะมีจำนวนรอบการชาร์จที่กำหนดไว้แล้ว
  3. ให้เก็บแบตเตอรี่ไว้ในช่องแช่แข็ง เพราะแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดได้เมื่อมีอุณหุภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และไม่ควรมีอะไรหุ้มแบตเตอรี่เพราะจะไปเพิ่มอุณหภูมิของตัวแบตเตอรี่ แม้คุณจะไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ แต่คุณสามารถหลีกเลี่ยงการเก็บโทรศัพท์ไว้ในรถหรือสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง และคุณไม่จำเป็นต้องเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของคุณจะไปเพิ่มความร้อนให้กับแบตเตอรี่ได้ นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบแบตเตอรี่ขณะที่ชาร์จอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกว่าแบตเตอรี่ร้อนเกินไป เป็นไปได้ว่าที่ชาร์จแบตเตอรี่ของคุณมีปัญหาแล้ว
  4. ชาร์จแบตโทรศัพท์อย่างถูกวิธี โดยดูจากชนิดของแบตเตอรี่. โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ จะใช้แบตเตอรี่ที่ทำมาจากลิเธียมไอออน แต่โทรศัพท์รุ่นเก่าจะใช้แบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิ้ล ให้อ่านฉลากบริเวณด้านหลังของแบตเตอรี่หรือคุณลักษณะทางเทคนิคในคู่มือการใช้งานเพื่อพิจารณาว่าแบตเตอรี่ที่คุณใช้เป็นแบบใด
    • แบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิ้ล (ทั้ง NiCd หรือ NiMH จะมีปัญหากับความเข้าใจผิดที่ว่า “ปัญหาความจำแบตเตอรี่” (Memory effect) ดังเช่นในเว็บวิกิพีเดีย (Wikipedia) และแหล่งข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ แหล่งบอกไว้ว่า [2] “ปัญหาความจำแบตเตอรี่” นั้นเป็นสิ่งที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางเพื่ออธิบายถึงการเสื่อมสภาพของ NiCd (และกระบวนการทางเคมีอื่นๆ ของแบตเตอรี่) ในหลายๆ กรณี ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเรื่องการบั่นทอนอายุของแบตเตอรี่แล้วก็พากันใช้แบตเตอรี่ให้จ่ายกระแสไฟเกินความสามารถ (Over-discharging) เพื่อ “คืนสภาพ” ให้กับแบตเตอรี่ [3]
    • แบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียมไอออนสามารถดูแลรักษาได้ด้วยการชาร์จอย่างรอบคอบและเก็บแบตเตอรี่เอาไว้ในระยะที่แบตเตอรี่ถูกชาร์จจนเต็มบางส่วนแล้ว (Partial charge) ซึ่งไม่ต้องการ “การคืนสภาพแบตเตอรี่”
    • ไม่ว่าคุณจะใช้แบตเตอรี่แบบใด ก็ให้ใช้ที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่ทำมาเพื่อแบตเตอรี่ของคุณ และอย่าใช้ที่ชาร์จแบตที่ทำให้แบตเตอรี่เกิดความร้อนสูง
  5. ถ้าคุณไม่ได้ใช้แบตเตอรี่สักระยะหนึ่ง ให้ถอดแบตเตอรี่ออกจากโทรศัพท์และเก็บไว้ในที่ที่แห้งและเย็น แต่ต้องไม่ใช่ที่ที่เป็นน้ำแข็ง (เช่น เก็บใส่กล่องสุญญากาศแล้วเอาเข้าตู้เย็น แต่อย่าเอาเข้าช่องแช่แข็ง) อย่าเก็บแบตเตอรี่ร่วมกับวัตถุโลหะที่อาจจะเคลื่อนที่และก่อให้เกิดการลัดวงจรได้ อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียมไอออนไม่ได้สร้างมาเพื่อให้ใช้งาน ณ อุณหภูมิของตู้เย็นได้ ดังนั้นให้นำแบตเตอรี่ออกมาพักไว้นอกตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนที่จะนำมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ แบตเตอรี่จะรวมตัวกับออกซิเจนได้น้อยที่สุดเมื่อถูกชาร์จไว้ 40% ดังนั้น อย่าเก็บแบตเตอรี่ชนิดนี้เอาไว้ในขณะที่มีประจุไฟฟ้าน้อยและชาร์จแบตเตอรี่หลังการเก็บรักษาทุกครั้ง
  6. ทำความสะอาดหัวแบตเตอรี่ทั้งที่ตัวแบตเตอรี่และในโทรศัพท์. หัวแบตเตอรี่อาจจะเปื้อนหรือสกปรกจะลดประสิทธิภาพในการถ่ายเทประจุไฟฟ้าได้ ให้ทำความสะอาดด้วยก้านสำลีและยางลบหรือแอลกอฮอล์ล้างแผล (Isopropyl alcohol) ถ้าหัวแบตเตอรี่มีโลหะสองชนิด เช่น ทองและดีบุก จะเกิดการกัดกร่อนหรือที่รู้จักกันคือ “การผุกร่อนแบบโลหะต่างชนิด” (Galvanic or bi-metallic) การตัดส่วนที่สึกกร่อนจากหัวแบตเตอรี่มักจะต้องใช้สารละลาย เช่น อะซิโตน (Acetone) หรือน้ำยาล้างเล็บ แต่ระวังให้ดี เพราะสารละลายเหล่านี้สามารถทำให้พลาสติกบวมได้ ดังนั้น ให้ใช้ก้านสำลีเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความเสียหายให้กับช่องใส่แบตเตอรี่หรือตัวโทรศัพท์
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ตัววัดความเสื่อมของแบตเตอรี่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ (Battery failure) ซึ่งสามารถสังเกตได้ดังนี้ :
    • เวลาใช้งานหลังจากที่ชาร์จไฟเสร็จแล้วลดลง
    • แบตเตอรี่อุ่นผิดปกติระหว่างชาร์จไฟ
    • แบตเตอรี่อุ่นผิดปกติขณะใช้งานโทรศัพท์
    • ปลอกหุ้มแบตเตอรี่ละลาย (ส่วนใหญ่เรียกกันว่าแบตเตอรี่บวม) ซึ่งสามารถสังเกตได้ด้วยความรู้สึกและการตรวจสอบภายในเครื่องบริเวณช่องใส่แบตเตอรี่ นอกจากนี้ เมื่อนำแบตเตอรี่ด้านที่หันเข้าตัวโทรศัพท์มาวางลงบนพื้นผิวที่เรียบแล้วลองหมุนดู ถ้าแบตเตอรี่เอียงและหมุนได้ง่าย แสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ แต่ถ้าแบตเตอรี่สภาพดีจะหมุนได้ยาก
    • แบตเตอรี่เริ่มแข็ง ซึ่งสามารถสังเกตได้ทั้งบริเวณพิ้นผิวที่หันด้านนอกและด้านในโทรศัพท์ของแบตเตอรี่ โดยการกดบริเวณผิวของโทรศัพท์ด้วยนิ้วมือ ถ้ากดแล้วรู้สึกแข็งผิดปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพแล้ว

เคล็ดลับ

  • ตรวจสอบดูว่าโทรศัพท์ของคุณมีระบบ “ประหยัดแบตเตอรี่” หรือไม่ ถ้ามี คุณสามารถเปิดระบบนี้ไว้เพื่อยืดระยะของแบตเตอรี่
  • ในขณะที่กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่นั้น ให้วางโทรศัพท์ลงบนวัตถุที่ไม่ดูดซับความร้อน เช่น โต๊ะไม้ ชั้นพลาสติก หนังสือ เป็นต้น ส่วนโต๊ะที่ทำจากโลหะเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด (เพราะเป็นสิ่งที่สร้างความร้อนและจะดึงความร้อนส่วนหนึ่งที่ผลิตออกมาจากแบตเตอรี่ของคุณ)
  • เมื่อคุณต้องการที่จะเริ่มระบบโทรศัพท์ใหม่ (Restart) อันเนื่องมาจากความผิดปกติทางเครือข่ายใดๆ ก็ตาม อันดับแรกควรจะทำก่อนคือให้เปิด-ปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบินแทนที่จะเริ่มระบบโทรศัพท์ใหม่ เพราะการเริ่มระบบโทรศัพท์ใหม่กินพลังงานจากแบตเตอรี่ค่อนข้างมาก
  • ถ้าโทรศัพท์เชื่อมต่อกับอีเมล์ของคุณ ดูให้ดีว่าคุณไม่ได้ตั้งให้ตรวจสอบอีเมล์ทุกๆ 15 นาทีหรือครึ่งชั่วโมง เพราะทุกๆ ครั้งที่มีการตรวจสอบอีเมล์เกิดขึ้น คุณก็จะเสียแบตเตอรี่ทีละเล็กน้อย ดังนั้น ให้ตั้งค่าไม่ให้ตรวจสอบอีเมล์โดยอัตโนมัติ และคุณจะประหยัดแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก
  • คุณไม่ต้องปิดโทรศัพท์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ เพราะที่ชาร์จแบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะต้องส่งกระแสไฟฟ้ามากกว่าพลังงานที่เพียงพอต่อทำงานโทรศัพท์แล้วชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมกัน ดังนั้น การเปิดโทรศัพท์ไม่ได้ทำให้เวลาในการชาร์จมากขึ้น และการเปิดโทรศัพท์เอาไว้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสังเกตปริมาณแบตเตอรี่ที่มีอยู่ได้ แล้วคุณจะสามารถถอดที่ชาร์จแบตเตอรี่ออกเมื่อแบตเตอรี่เต็มแล้วได้
  • เมื่อคุณกำลังใช้ที่ชาร์จแบตเตอรี่บนรถ (Car charger) อย่าชาร์จแบตเตอรี่เมื่ออุณหภูมิภายในรถนั้นร้อน ให้รอจนกว่ารถจะเย็นลงก่อนที่จะเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่
  • แม้ว่าคุณจะดูแลแบตเตอรี่ดีแค่ไหนก็ตาม สักวันมันย่อมต้องเสื่อมสภาพ เมื่อถึงเวลานั้น คุณอาจจะขอซ่อม (Refurbish) แบตเตอรี่โดยส่งแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพแล้วไปให้บริษัทผู้ผลิตหรือนำกลับไปให้ผู้ขาย ถ้าคุณไม่สามารถขอซ่อมแบตเตอรี่ได้ หรือถ้าคุณต้องการแบตเตอรี่อันใหม่ ตรวจสอบให้ดีว่าคุณได้รีไซเคิล (Recycle) แบตเตอรี่แล้วไม่ว่าจะส่งกลับไปให้ผู้ผลิตหรือผู้ค้า หรือส่งไปให้ศูนย์รีไซเคิลก็ตาม ซึ่งร้านค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีกล่องทิ้งอุปกรณ์สำหรับรีไซเคิล
  • มิลลิแอมป์ต่อชั่วโมง (mAh) เป็นหน่วยวัดซึ่งก็คือหน่วยการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับแบตเตอรี่ที่มีความดันของกระแสไฟฟ้า (battery voltage) เท่ากัน แบตเตอรี่ที่มีหน่วยการชาร์จที่สูงจะเป็นตัวบ่งบอกว่าแบตเตอรี่ตัวนั้นมีความจุที่สูงกว่าและสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังโทรศัพท์ก่อนที่จะต้องชาร์จได้นานกว่า
  • ปิดระบบประหยัดพลังงานแล้วชาร์จแบตเตอรี่ นอกจากนี้ ดูให้ดีว่าคุณไม่ได้ชาร์จแบตเตอรี่มากเกินไป เพราะอาจจะไปลดอายุของแบตเตอรี่ได้ ซึ่งทำให้คุณต้องซื้อแบตเตอรี่ใหม่
  • มีร้านขายแบตเตอรี่ที่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการยืดอายุแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือของคุณได้
  • แบตเตอรี่นิกเกิล-เมทัลไฮไดรด์ (NiMH) โดยทั่วไปจะมีความอุ่นในขณะทำการชาร์จแบตเตอรี่ถ้าคุณไม่ได้ใช้ระบบ “ชาร์จอย่างช้าๆ” ถ้าโทรศัพท์ของคุณใช้แบตเตอรี่ที่ทำมาจากนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ ก็ไม่ต้องกังวลกับความร้อนที่ผลิตออกมาระหว่างชาร์จถ้าตัวแบตเตอรี่ไม่ได้ร้อนมากจนรู้สึกไม่ดีเมื่อสัมผัส
  • ปิดจอแสดงผลหลังจากคุยโทรศัพท์แล้วให้เร็วที่สุด
  • การชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ขณะเปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบินจะทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่คุณใช้และวงจรการชาร์จแบตเตอรี่ (Charging circuit) ภายในโทรศัพท์ของคุณด้วย
  • ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่บริการไวฟาย ให้ปิดตัวรับไวฟาย
  • ไปยังการตั้งค่า - ทั่วไป – การใช้งาน - การใช้แบตเตอรี่ (Settings - General - Usage - Battery Usage) เพื่อตรวจสอบดูว่ามีแอพพลิเคชั่นอะไรที่กำลังใช้งานแบตเตอรี่อยู่บ้าง
  • อย่าเปิดแอพพลิเคชั่นทิ้งไว้ หลังจากที่ใช้แอพพลิเคชั่นทุกอัน ให้ลบแถบ (Tab) ออก อย่าเปิดแอพพลิเคชั่นทิ้งไว้ทีละมากๆ
  • ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณให้ถึง 80% และชาร์จแบตเตอรี่อีกครั้งเมื่อแบตเตอรี่เหลือ 40%
  • ถ้าเป็นไปได้ ให้เปิดโทรศัพท์ในโหมดประหยัดแบตเตอรี่ (Low saving mode)
  • อย่าใช้โทรศัพท์นานเกินไปในขณะที่ชาร์จแบตโทรศัพท์อยู่ เพราะอาจจะทำให้แบตเตอรี่และที่ชาร์จแบตเตอรี่เกิดความผิดพลาดได้ ซึ่งยังสามารถก่อให้เกิด “ปัญหาความจำแบตเตอรี่”
โฆษณา

คำเตือน

  • หลีกเลี่ยงการปล่อยให้โทรศัพท์สัมผัสกับแสงแดด การที่โทรศัพท์สัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นระยะเวลานานมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ดังนั้น พยายามเก็บโทรศัพท์ไว้ให้ห่างจากแสงอาทิตย์
  • อย่าเก็บแบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียมที่มีพลังงานต่ำไว้เป็นเวลานาน ระดับต่ำในที่นีคือในระดับตัวแสดงความจุแบตเตอรี่แสดงขีดเล็กๆ บนจอแสดงผล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการ “ปล่อยประจุไฟฟ้ามากเกินไป” และอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อแบตเตอรี่ได้
  • คุณควรที่จะปิดโทรศัพท์ถ้าคุณใช้โทรศัพท์ในการส่งข้อความและถ้าคุณไม่มีคนติดต่อมากนาก ถ้าคุณใช้โทรศัพท์บ่อย อย่าปิดโทรศัพท์ถ้าไม่จำเป็นเพราะคนอื่นที่พยายามโทรหาคุณเมื่อคุณไม่อยู่บ้านจะไม่สามารถติดต่อคุณได้และการโทรนั้นอาจจะเป็นเรื่องสำคัญ
  • อย่าทิ้งแบตเตอรี่เก่าลงในถังขยะ แบตเตอรี่นั้นมีโลหะที่เป็นพิษ และขยะอิเล็กทรอนิกส์จากแบตเตอรี่และส่วนประกอบอื่นๆ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ การทิ้งแบตเตอรี่ที่เป็นพิษไม่ถูกวิธีนั้นผิดกฎหมายในชั้นศาล [4]
โฆษณา

บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง

แก้ไขเมื่อมือถือขึ้นข้อความเตือนว่าไม่มีซิม
ใช้งาน WeChat
กำจัดฟองอากาศบนฟิล์มกันรอย
หา PUK Code ของมือถือ
ปลดล็อคซิมโดยไม่ใช้รหัส PUK
เช็คเบอร์มือถือตัวเองจากซิม
โทรออกแบบไม่โชว์เบอร์
แก้ไขเมื่อมือถือขึ้นว่าโทรฉุกเฉินเท่านั้น
โทรเข้าเบอร์ต่อ (extension)
ค้นหา Apple Watch ที่หายไปอย่างไรเมื่อแบตเตอรี่หมด
เช็คว่ามือถือปลดล็อคเครือข่ายหรือยัง
โกงจำนวนนับก้าวในมือถือแบบไม่ต้องเดิน
หาเบอร์มือถือสำหรับใช้ชั่วคราว
เช็คผ่าน iPhone หรือ iPad ว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความของคุณหรือยัง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 5,750 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา