ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

Vertigo คืออาการเวียนหัว หรือรู้สึกว่าบ้านหมุน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการบ้านหมุน คือ Benign Paroxysmal Positional Vertigo (BBPV) คือโรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน โดยหินปูน (otoconia) ในหูชั้นในจะหลุดออกมา แล้วเข้าไปในช่องหูที่เติมไปด้วยของเหลว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น พอมีหินปูนสะสมมากเข้า ก็จะไปขัดขวางการไหลของของเหลว ที่ช่องหูพวกนี้ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหวในหัว ทำให้หูชั้นในส่งสัญญาณการเคลื่อนไหวผิดๆ ไปที่สมอง ทำให้นึกว่ากำลังหมุนตัวอยู่ หรือบรรยากาศรอบตัวกำลังหมุน คุณดูแลรักษาอาการบ้านหมุนด้วยตัวเองได้หลายวิธี แต่ถ้ายังมีอาการบ้านหมุนขึ้นมา ควรไปตรวจรักษากับคุณหมอโดยด่วนจะดีกว่า จะได้รู้แน่ชัดไปเลยว่าไม่ใช่อาการของโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะตกเลือด หรือเนื้องอก [1] [2]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ใช้วิธีธรรมชาติที่พิสูจน์วิจัยกันมาแล้ว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. บ้านหมุนเมื่อไหร่ (หรือหลังบ้านหมุน) ให้หยุดทุกอย่างแล้วนอนหลับพักผ่อน พยายามพักให้ได้มากที่สุด ถึงจะภาระเยอะ งานรัดตัวแค่ไหน ก็ต้องพักและผ่อนคลาย จะช่วยบรรเทาอาการบ้านหมุนได้มาก [3] [4]
    • ถ้าวิงเวียน บ้านหมุนเมื่อไหร่ ให้รีบนั่งหรือนอนลงทันที เพราะถ้าขยับตัวรวดเร็ว หรือกระทั่งขยับตัวนิดเดียว ก็อาจทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมได้
    • หลีกเลี่ยงแสงจ้าๆ ถ้าเป็นไปได้ เช่น แสงทีวี ไฟเพดาน หรือกระทั่งแสงจากหน้าจอมือถือ เพราะเป็นตัวกระตุ้นอาการบ้านหมุนได้
    • ถ้าเกิดบ้านหมุนขึ้นมาเมื่อไหร่ ห้ามขับรถหรือบังคับเครื่องจักรหนัก รวมถึงหลีกเลี่ยงแสงไฟจ้าๆ กะพริบๆ เช่น วีดีโอเกม หนังบางเรื่องบางฉาก คลับ/ผับ และอื่นๆ
  2. อาการวิงเวียนหรือบ้านหมุนอาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ เพราะไปลดปริมาตรเลือดในร่างกาย ทำให้ออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง นอกจากนี้ ปกติระบบการทรงตัวในหูชั้นใน ยังใช้ของเหลวในการถ่ายทอดสัญญาณหรือข้อมูลเรื่องระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งสมองมองว่าเป็นการสร้างประสาทรับรู้สมดุลย์ เพราะงั้นต้องดื่มน้ำเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้าต้องออกกำลังกายหรือตอนท้องเสีย จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้ [5]
    • ร่างกายคนเราต้องการน้ำวันละประมาณ 2 - 3 ลิตร (0.5 - 1 แกลลอน) น้ำที่ว่าก็หมายถึงเครื่องดื่มและของเหลวอื่นๆ ด้วย แต่ถ้าดื่มน้ำเปล่าได้จะดีที่สุด เพราะไม่มีแคลอรี่ว่าง ไม่มีคาเฟอีน และไม่ใช่สารขับปัสสาวะเหมือนพวกน้ำอัดลม ชา กาแฟ และน้ำผลไม้ [6]
  3. กะลาสีเรือชาวจีนเขาใช้ขิงแก้เมาเรือกันมาเป็นศตวรรษ เดี๋ยวนี้คนเลยนิยมใช้แก้วิงเวียนบ้านหมุนด้วย จะกินในเมนูอาหารก็ได้ หรือชงน้ำขิงดื่ม จะเคี้ยวสดๆ เลยก็ยังได้ [7]
    • ขิง (ginger (zingiber)) แก้เรื่องความดันและลดกรดได้ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี เลยบรรเทาอาการบ้านหมุนได้ เขาว่ากันว่าขิงมีสารต้านอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการระคายกระเพาะและบ้านหมุนได้ดี
    • เวลาชงน้ำขิงให้เอาชิ้นขิงสดใส่ในน้ำเดือด ให้ใช้ไม่เกิน 3 รากเล็กๆ ต่อวัน แต่ปกติแค่รากเดียว หรือน้ำขิงสด 1 ช้อนโต๊ะ ก็เพียงพอสำหรับร่างกายแล้ว
  4. ให้หาซื้อยาแก้เมารถเมาเรือมากินเอง เช่น meclizine หรือ dimenhydrinate ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ช่วยแก้อาการวิงเวียนบ้านหมุนได้ แต่ควรเก็บไว้กินตอนที่อาการหนักหรือไม่ไหวจริงๆ เท่านั้น อย่าอยู่ๆ ก็กินเรื่อยๆ ถ้าเป็นบ่อยๆ ควรไปตรวจหาสาเหตุให้แน่ใจจะดีกว่ากินยาเกินขนาด [8]
    • แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนซื้อยากินเองแก้วิงเวียน คุณหมอจะแนะนำเองว่าควรใช้ยาชนิดไหน และในปริมาณเท่าไหร่
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ใช้สมุนไพรแบบวิธีทางเลือกที่ยังไม่มีงานวิจัยมารองรับ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อัลมอนด์เป็นหนึ่งในถั่วที่มีประโยชน์ที่สุด อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และอี แนะนำให้กินอัลมอนด์ 5 เมล็ดต่อวัน ทุกวัน ไม่ว่าจะกินเปล่า หรือบด/ขูด แล้วผสมในอาหารจานต่างๆ เพราะเขาว่ากันว่าช่วยเรื่องบ้านหมุน [9]
    • ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมอัลมอนด์ถึงช่วยได้ แต่ก็คิดกันว่าวิตามินบีกับอีในอัลมอนด์ช่วยต้านอนุมูลอิสระอันก่อให้เกิดอาการบ้านหมุนได้
    • จะเอาอัลมอนด์แช่น้ำไว้สักชั่วโมงแล้วค่อยเอามากินก็ได้
  2. ถ้าใส่เปลือกมะนาวหรือสารสกัดจากเปลือกมะนาวสัก 1 - 2 หยดลงในอาหารทุกวัน นอกจากช่วยแต่งรสอาหารแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุรองที่ช่วยเรื่องบ้านหมุนด้วย
    • เลมอนนั้นอุดมวิตามินซี ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดอาการบ้านหมุน จะใช้ผสมกับน้ำแอปเปิ้ลและขิงด้วยก็ได้ถ้าชอบ [10]
  3. สรรพคุณในการรักษาโรคของน้ำผึ้งนั้นขึ้นชื่อมานานนับศตวรรษ แนะนำให้ผสมน้ำผึ้ง 2 ส่วนกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 1 ส่วน แล้วกิน 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 - 3 ครั้ง [11]
    • จะช่วยป้องกันอาการบ้านหมุนไม่ให้หนักไปกว่าเดิม หรือแก้อาการที่เป็นอยู่ได้ เพราะน้ำผึ้งและน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
  4. ถ้าบ้านหมุนแล้วมีคลื่นไส้อาเจียนด้วย ให้ผสมน้ำอุ่น 1 แก้วกับพริกไทยดำบด 4 เม็ด น้ำมะนาว 7 - 8 หยด และเกลืออีกนิดหน่อย จากนั้นคนผสมให้เข้ากันแล้วดื่ม [12]
    • เป็นสูตรที่ใช้บรรเทาอาการบ้านหมุนเฉียบพลันเท่านั้น ไม่ใช่ดื่มทุกวันเป็นประจำ ดื่มแล้วช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากบ้านหมุนได้ ความเป็นกรดของมะนาวกับเกลือจะช่วยให้หายระคายกระเพาะ
  5. เพราะอุดมวิตามินซี วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงฟลาโวนอยด์ (flavonoids) และเพคติน (pectin) ทั้งหมดนี้จะช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกาย โดยวิตามินซีในมะขามป้อมจะไปลบล้างสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายปล่อยออกมา ช่วยต้านอาการบ้านหมุนได้ [13] นี่คือวิธีรักษาแบบอายุรเวท อันเป็นการแพทย์องค์รวมของอินเดียนั่นเอง
    • มะขามป้อมจะกินสดก็ได้ โดยกิน 1 - 2 ลูกต่อวัน หรือจะคั้นน้ำ ชงชา ปั่น ไม่ก็บดเป็น paste เขละๆ แทน ถ้าดื่มเป็นน้ำก็ให้ดื่มวันละ 1 แก้ว (ประมาณ 200 มล.) ดื่มตอนเช้าจะดีที่สุด [14]
    • จะดองมะขามป้อมก็ได้ จะออกมาเนื้อสัมผัสเหมือนแตงกวาดอง ใช้กินเป็นเครื่องเคียงได้เลย แค่ 2 ช้อนโต๊ะก็เท่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวันแล้ว
  6. กินโยเกิร์ตหรือนมที่ข้นเป็นลิ่ม ผสมกับสตรอว์เบอร์รี่สดหั่นเป็นชิ้นๆ ก็ช่วยบรรเทาอาการบ้านหมุนได้แทบจะในทันที เป็นสูตรที่จะกินทุกวันเลยก็ยังได้ [15]
    • ให้กินโยเกิร์ตสักถ้วย (ประมาณ 120 กรัม) ผสมกับสตรอว์เบอร์รี่สด 5 - 6 ลูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตั้งแต่เริ่มมีอาการวิงเวียน แต่ถ้าบ้านหมุนเพราะไมเกรน อาจจะต้องหลีกเลี่ยงโยเกิร์ต เพราะมี tyramine ที่ทำให้ไมเกรนกำเริบได้ [16]
    • flavonoids นั้นพบได้ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่แทบทุกอย่าง ทั้งสตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ กูสเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ ทั้งหมดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ทำให้แก้อาการบ้านหมุนได้ดี นอกจากนี้วิตามินซีในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ยังช่วยแก้อาการบ้านหมุนได้ด้วย
    • นอกจากเบอร์รี่แล้ว อาจจะผสมอัลมอนด์หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปในโยเกิร์ตด้วย ให้ยิ่งช่วยบรรเทาอาการได้ดีกว่าเดิม
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ออกกำลังกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หรืออีกชื่อคือ canalith repositioning procedure โดย Epley maneuver จะช่วยคืนความสมดุลย์ให้กลไกในหูชั้นใน เพราะทำให้หินปูนใน vestibular organs (อวัยวะการทรงตัว) กลับเข้าที่ ปกติหินปูนอาจไปติดในหูชั้นในได้ จนทำให้เกิดอาการวิงเวียน คุณทำวิธีนี้ได้เองที่บ้าน แต่ก็ควรผ่านการอบรมแนะนำจากคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะต้องทำเร็วๆ และถูกท่า ในบรรดาคนที่มีอาการบ้านหมุน Epley maneuver นี้ได้ผลถึง 90% เลยทีเดียว ตอนแรกอาจทำแล้วบ้านหมุนหนักกว่าเดิมบ้าง เพราะงั้นควรมีเพื่อนหรือครอบครัวคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ หัวจะได้ลงถูกจุดทุกครั้ง ขั้นตอนของการทำ Epley maneuver ก็คือ [17]
    • นั่งบนเตียง เอาหมอนวางข้างหลัง พอนอนหงายลงมา (ในขั้นตอนหลังๆ) หมอนจะได้รองรับใต้ไหล่พอดี
    • หันหน้าไปทางขวา 45°
    • นอนหงายลงไปเร็วๆ ให้ไหล่อยู่บนหมอน หัวจะอยู่ต่ำกว่าไหล่ โดยที่ยังมองไปทางขวา 45° ให้ค้างท่านี้ไว้ 30 วินาทีด้วยกัน
    • พอผ่านไป 30 วินาที ให้หันหน้าไปทางซ้าย 90° ระหว่างนี้อย่ายกหัวขึ้นมา แล้วทำท่านี้ค้างไว้ 30 วินาที
    • หมุนทั้งตัวและหัวไปทางซ้ายอีก 90° แล้วค้างไว้ 30 วินาที ถึงตอนนี้ ท่าปัจจุบันของคุณคือนอนตะแคงซ้าย หัวยังอยู่ต่ำกว่าระดับไหล่
    • บริหารซ้ำตามนี้วันละ 3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
  2. หรืออีกชื่อคือ Foster maneuver เป็นอีกท่าบริหารที่ดีมีประโยชน์ ต่างกับ Epley maneuver ตรงที่ไม่ต้องมีคนช่วยเซฟ มีงานวิจัยหนึ่งที่ชี้ว่าใครบ้านหมุนแล้วบริหารทั้ง 2 ท่านี้จะอาการดีขึ้น แต่ท่าบริหารท่า Half Somersault อย่างเดียวก็วิงเวียนน้อยลง ไม่ค่อยเกิดอาการแทรกซ้อน ต้องบริหารซ้ำหลายครั้งหน่อยถึงจะเห็นผล ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
    • คุกเข่าแล้วเงยหน้ามองเพดาน 2 - 3 วินาที
    • ก้มหัวแตะพื้น เก็บคางชิดอก กดหัวไปทางเข่า รอจนอาการบ้านหมุนดีขึ้น (ประมาณ 30 วินาที)
    • หันหน้าไปทางหูข้างที่มีอาการ (เช่น ถ้าวิงเวียนด้านซ้าย ให้หันหน้าไปทางข้อศอกซ้าย) แล้วค้างไว้ท่านี้ 30 วินาที
    • จากนั้นเงยหน้าขึ้น ให้อยู่ระนาบเดียวกับแผ่นหลัง ตอนที่ยังคุกเข่ายันพื้นอยู่ ให้กระดูกสันหลังเหยียดตรง เอียงหัวทำมุม 45° ค้างไว้ท่านี้ 30 วินาที
    • ยกหัวและหลังให้กลับมาตั้งตรงอีกครั้ง แต่ยังเอียงหน้าไปทางไหล่ข้างที่บริหาร ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ยืนขึ้นมา
    • พัก 15 นาทีแล้วค่อยทำซ้ำรอบ 2 หรือบริหารที่อีกข้าง
  3. เป็นการบริหารที่ต้องใช้หัวและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของคอ จะทำที่บ้านเองโดยไม่ต้องมีคุณหมอดูแลก็ได้ การขยับหัวซ้ำๆ ในท่านี้ จะช่วยปรับตัวรับกับอาการบ้านหมุน โดยทำให้หินปูนในอวัยวะการทรงตัวของหูชั้นในกลับเข้าที่ [18]
    • เริ่มจากนั่งตัวตรง แล้วนอนตะแคงอย่างรวดเร็ว โดยที่หันหน้าชี้จมูกขึ้นทำมุม 45° ค้างไว้ท่านี้ประมาณ 30 วินาที (หรือจนกว่าจะหายบ้านหมุน) แล้วค่อยกลับมานั่งตัวตรง บริหารซ้ำกับอีกข้าง
    • ท่าบริหารนี้จะเห็นผลดีที่สุด ถ้าทำซ้ำหลายๆ ครั้ง อย่างน้อยก็วันละ 2 ครั้ง
  4. เวลาเราหันหน้าหรือขยับหัวไปมาแล้วยังทรงตัวได้ ก็เพราะกล้ามเนื้อตากับหูชั้นในทำงานสัมพันธ์กันนี่แหละ แต่ถ้าหินปูนในหูชั้นในไปอยู่ผิดที่ ก็จะทำให้รู้สึกเหมือนเรากำลังเคลื่อนไหว ทั้งที่จริงๆ อยู่เฉยๆ ดวงตาก็เลยเคลื่อนไหวผิดตามไป เหมือนบ้านหมุนติ้วๆ ถึงได้สำคัญมากว่าคุณต้องเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อดวงตา นานๆ ไปจะช่วยลดความไวของช่องหูชั้นใน ไม่บ้านหมุนรุนแรงหรือบ่อยๆ [19]
    • ตื่นนอนเมื่อไหร่ให้เอามือข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งสัก 20 วินาที ส่วนตาอีกข้างฝึกโฟกัส มองออกไปไกลๆ จากนั้นสลับไปปิดตาอีกข้าง แล้วบริหารดวงตาซ้ำเหมือนข้างที่ผ่านมา ให้ทำแบบนี้ทุกเช้า วันละ 10 ครั้ง
  5. จ้องไปที่จุดเดียวนิ่งๆ จะช่วยให้หายบ้านหมุนได้ แถมยังช่วยให้สายตาดีขึ้น มองเห็นชัดขึ้น ฝึกการโฟกัสอยู่ที่จุดเดียวตอนหันหน้าหรือหัวหมุน พวกนักเต้นที่ต้องหมุนตัวเยอะๆ จะต้องฝึก "spot" หรือโฟกัสสายตาไปที่จุดเดียวแบบนี้ ทั้งๆ ที่หมุนตัวเต้นไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เต้นหรือหมุนตัวได้แบบไม่เวียนหัว เป็นหลักการที่คุณก็เอามาใช้ได้เช่นกัน พยายามมองตรงไปที่จุดเดียวตรงหน้าระหว่างเกิดอาการบ้านหมุน แล้วเดี๋ยวจะรู้สึกดีขึ้นเอง วิธีฝึกโฟกัสที่จุดเดียวก็คือ [20]
    • ตามองตรงไปข้างหน้า เพ่งสมาธิไปที่อะไรสักอย่าง (สี่เหลี่ยมเล็กๆ สีเดียว หรือปุ่มอะไรสักปุ่ม) โดยรักษาระดับสายตาไว้ตรงหน้า
    • หันหน้าไปมา โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จุดเดิม ค่อยๆ หันหน้าไปมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ พยายามรักษาโฟกัสให้ภาพชัด ไม่ใช่หันหน้ารัวๆ แต่ภาพเบลอ ถ้าเริ่มเวียนหัวก็ให้หันหน้าช้าลง
    • หันหน้าไปมาแบบนี้ประมาณ 1 นาที ให้เวลาสมองได้ปรับตัวหน่อย
    • ฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนทำได้ 3 - 5 ครั้งต่อวัน ก่อนหน้านั้นอาจจะทำไม่ได้ขนาดนั้น ก็ต้องค่อยๆ ฝึกและปรับตัวไป
    • จะฝึกแบบพยักหน้าขึ้นลง หรือขยับไปทิศทางอื่นด้วยก็ได้
  6. นั่งตัวตรงที่เก้าอี้ ก้มหน้าให้คางชิดอกแล้วเริ่มหมุนคอตามเข็มนาฬิกา ช้าๆ แต่แข็งแรงมั่นคง ทำ 3 ครั้งด้วยกัน เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเกร็ง บรรเทาอาการบ้านหมุน [21] [22]
    • ทำซ้ำ 3 ครั้งในทิศทางตรงกันข้าม คือทวนเข็มนาฬิกา หยุดพักสัก 45 วินาทีทุกครั้งที่จะหมุนเปลี่ยนทิศทาง เสร็จแล้วหันหน้าไปมาโดยที่ต้านกับแรงของมือข้างเดียวกัน เพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลีกเลี่ยงอะไรที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง. ต้องระวังทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เช่น คาเฟอีน ช็อคโกแลต แอลกอฮอล์ และสารเสพติดอื่นๆ [23]
    • ของพวกนี้ทำให้เส้นประสาทบวม ในขณะที่หลอดเลือดหดตัว เท่ากับยิ่งทำให้วิงเวียนบ้านหมุน ถ้าปกติกินหรือใช้อะไรที่ว่ามา ก็ต้องห้ามกินตอนท้องว่าง เพราะจะยิ่งส่งผลมากขึ้น
  2. ถ้านอนหลับพักผ่อนไม่สนิท ไม่เพียงพอ จะกระตุ้นให้บ้านหมุนได้ พยายามนอนหลับให้เต็มอิ่ม โดยเข้านอนและตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน แต่ละคนควรจะพักผ่อนมากน้อยแตกต่างกันไป เช่น ผู้ใหญ่ทั่วไปควรนอนหลับประมาณ 7 - 9 ชั่วโมงต่อวัน แต่ถ้าเด็กและวัยรุ่นต้องนอนหลับพักผ่อนมากกว่านั้น [24] [25]
    • ถ้ากำลังหาทางปรับพฤติกรรมการนอนของตัวเองให้สม่ำเสมอกว่าเดิม ก็ห้ามนอนกลางวัน ต้องรอจนถึงเวลานอนที่กำหนดเท่านั้น จริงอยู่ว่าการงีบหลับระหว่างวันช่วยชาร์จแบตให้คุณได้ แต่ก็ต่อเมื่อคุณนอนหลับพักผ่อนตามปกติแล้วเท่านั้น จะเป็นผลเสียมากกว่าถ้าอยู่ในช่วงปรับเวลานอน
  3. Anti-Inflammatory Diet คืออาหารต้านอักเสบ กินแล้วช่วยลดการอักเสบได้ รวมถึงทุกโรคที่ลงท้ายด้วย “itis” เป็นอาหารที่กินแล้วร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นครบถ้วน โดยเฉพาะถ้ากินอาหารหลากหลาย หลักการของอาหารต้านอักเสบ (เหมือนอาหารสไตล์เมดิเตอเรเนียน) ก็คือ [26]
    • กินอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุด คือลดละเลิกอาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการ หรืออาหารสำเร็จรูป พยายามทำอาหารกินเองบ่อยๆ
    • ลดเกลือและน้ำตาล โดยลดอาหารอย่างมันฝรั่งทอด คุกกี้ เค้ก แครกเกอร์ และอื่นๆ
    • ใช้น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันหลักในการปรุงอาหาร เพราะเต็มไปด้วยไขมันดี
    • หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ ทอดๆ เช่น หัวหอมทอด เฟรนช์ฟรายส์ แฮมเบอร์เกอร์ และฮอทด็อก เป็นต้น
    • ลดเนื้อแดง พยายามกินเนื้อสัตว์ปีกไม่ติดหนัง หรือปลา
    • กินเมนูปลาให้มากๆ ปลาที่เป็นแหล่งชั้นดีของกรดไขมันโอเมก้า-3 ก็คือแซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน และแอนโชวี่
    • เพิ่มผลไม้และผัก รวมถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เน้นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และผลไม้อื่นๆ ที่สีสดๆ และผักใบเขียว เช่น Swiss chard, ปวยเล้ง หัวบีท ผักกาดเขียวปลี และเคล รวมถึงลองกินพวกบร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำดาวด้วย เพราะช่วยต้านอักเสบ แถมป้องกันมะเร็งได้ด้วย [27]
    • เพิ่มกระเทียมและหัวหอมในเมนูต่างๆ เพราะช่วยต้านอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกัน [28]
  4. แต่ละคนก็ควรออกกำลังกายมากน้อยแตกต่างกันไป แต่กรมควบคุมโรคแนะนำว่าให้ผู้ใหญ่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกหนักปานกลาง (เช่น เดินเร็ว) อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2.5 ชั่วโมง ควบคู่ไปกับการฝึกความแข็งแรงของร่างกายระดับปานกลาง (เช่น เล่นเวท) 2 วันต่ออาทิตย์ [29] [30]
    • ถึงการออกกำลังกายที่ว่าจะไม่ได้แก้บ้านหมุนโดยตรง แต่ก็ทำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรง โดยเฉพาะถ้ากินอาหารดีมีประโยชน์ตามที่แนะนำไปด้านบนควบคู่กันไป
  5. โยคะช่วยเรื่องบ้านหมุนได้ดี เพราะคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเกร็งบริเวณคอ ทำให้ยืดหยุ่นและผ่อนคลาย ถ้าเล่นโยคะไปนานๆ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการบ้านหมุนกำเริบอีก ทนต่อความตึงเครียดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้โยคะยังช่วยเรื่องการทรงตัว แถมช่วยให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้ดีขึ้น [31] [32]
    • โยคะนั้นดีต่อทั้งร่างกาย และ จิตใจ ทั้งช่วยคลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ แล้วยังทำให้ไม่กลับมามีอาการบ้านหมุนอีกบ่อยๆ ด้วย
    • ถ้าเข้าคลาสโยคะตามฟิตเนสแล้ววันไหนเกิดอาการบ้านหมุน ต้องแจ้งเทรนเนอร์หรือครูฝึกทันทีก่อนเริ่มคลาส ครูจะได้ปรับเปลี่ยนท่าให้เข้ากับอาการของคุณตามสมควร
  6. อาการวิงเวียนหรือบ้านหมุนบางทีก็เกิดจากโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า ถ้าอาการกำเริบบ่อยๆ แนะนำให้ไปหาหมอตรวจรักษาเป็นเรื่องเป็นราวจะตรงจุดและปลอดภัยกว่า คุณหมอจะตรวจวินิจฉัยให้แน่ใจว่าไม่ได้มีโรคอันตรายร้ายแรง เช่น เนื้องอก หรือมะเร็ง
    • ถ้าไม่แน่ใจยังไง ให้ไปตรวจรักษากับคุณหมอประจำตัวก่อน ถ้ามีโรคอื่นหรืออาการหนัก คุณหมอจะโอนเคสต่อให้คุณหมอเฉพาะทางต่อไป
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อาการบ้านหมุน ก็คือเวลาคุณรู้สึกวิงเวียน หัวหมุนเหมือนจะล้ม ไม่ใช่อาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ถ้าบ้านหมุนเมื่อไหร่ คือจะเหมือนตัวเองกำลังเคลื่อนที่เคลื่อนไหว หรือบรรยากาศโดยรอบหมุนติ้ว ทั้งที่จริงๆ อยู่เฉยๆ
โฆษณา
  1. http://thehealthyeatingsite.com/apple-lemon-ginger-juice/
  2. http://homeremedies.ygoy.com/2009/03/09/home-remedies-for-vertigo-dizziness/
  3. http://homeremedies.ygoy.com/2009/03/09/home-remedies-for-vertigo-dizziness/
  4. http://www.findhomeremedy.com/natural-cure-for-vertigo/
  5. http://www.herbalremediesinfo.com/herbal-remedies-for-vertigo.html
  6. http://www.findhomeremedy.com/natural-cure-for-vertigo/
  7. http://vestibular.org/understanding-vestibular-disorders/treatment/vestibular-diet
  8. https://www.activator.com/wp-content/uploads/Home%20Epley%20Handouts.pdf
  9. http://www.brainandspine.org.uk/vestibular-rehabilitation-exercises
  10. Timothy C. Hain, MD, departments of physical therapy and human movement science, neurology, and otolaryngology, Northwestern University, Evanston, Ill.
  11. http://www.brainandspine.org.uk/vestibular-rehabilitation-exercises
  12. Radtke, A. Neurology, July 2004; vol 63: pp 150-152. Joseph M. Furman, MD, PhD, departments of otolaryngology, neurology, bioengineering, and physical therapy, University of Pittsburgh, Pennsylvania
  13. http://www.physio-pedia.com/Benign_Paroxysmal_Positional_Vertigo:Continuing_Professional_Development_Package
  14. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/menieres-disease/basics/lifestyle-home-remedies/con-20028251
  15. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000692.htm
  16. http://www.mayoclinic.org/healthy-living/adult-health/expert-answers/how-many-hours-of-sleep-are-enough/faq-20057898
  17. http://www.arthritis.org/living-with-arthritis/arthritis-diet/anti-inflammatory/anti-inflammatory-diet.php
  18. http://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/diet/cruciferous-vegetables-fact-sheet
  19. http://www.researchgate.net/publication/235318835_Antioxidant_anti-inflammatory_and_antimicrobial_properties_of_garlic_and_onions
  20. http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/guidelines/adults.html
  21. http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/guidelines/adults.html
  22. http://www.findhomeremedy.com/yoga-posture-exercises-for-vertigo/
  23. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/patientinstructions/000692.htm

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 14,729 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา