ร่างกายของคุณประกอบไปด้วยต่อมน้ำเหลืองมากมาย ซึ่งทำหน้าที่กรองแบคทีเรียที่ไม่ดีและไวรัสต่างๆ ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าต่อมน้ำเหลืองโต คุณก็สามารถทำให้มันยุบลงได้ด้วยการรักษาอาการบาดเจ็บ ความผิดปกติ หรือการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุ ต่อมน้ำเหลืองบวมมักจะเกิดขึ้นที่ลำคอ ขาหนีบ และรักแร้ ถ้าอาการต่อมน้ำเหลืองบวมเกิดขึ้นตั้งแต่สองบริเวณขึ้นไป ก็มักจะบ่งบอกว่าเป็นปัญหาทั่วไปมากกว่า ในการรักษาอาการต่อมน้ำเหลืองบวมนั้น ถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์ก็มักจะจ่ายยาปฏิชีวนะให้ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อไวรัส แพทย์ก็จะจ่ายยาที่มารักษาอาการต่างๆ แต่คุณก็ต้องรอจนกว่ามันจะหายไปเองอยู่ดี แต่ถ้าแพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ก็จะมีการตัดเนื้อเยื่อไปตรวจเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา เพราะฉะนั้นคุณจึงปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ [1] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
ขั้นตอน
-
หาตำแหน่งต่อมน้ำเหลืองที่บวม. เมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่ามีอาการบวมหรือปวด ให้ไล่นิ้วไปตามผิวหนังจนกว่าคุณจะเจอต่อมที่มีปัญหา ต่อมน้ำเหลืองจะอยู่ตรงลำคอ รักแร้ และขาหนีบ และอาการบวมที่ต่อมน้ำเหลืองก็มีตั้งแต่ขนาดจิ๋วเท่าเม็ดถั่วลันเตาไปจนถึงผลมะกอกหรือใหญ่กว่า [2] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- จำไว้ว่าต่อมน้ำเหลืองบวมสามารถเกิดพร้อมกันได้มากกว่าครั้งละหนึ่งต่อม
-
รับประทานยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป. อะเซตามิโนเฟนหรือไอบรูโพเฟนช่วยควบคุมอาการบวมรอบต่อมน้ำเหลืองได้ และยังสามารถลดอาการต่างๆ เช่น อาการไข้ ได้ด้วย คุณต้องรับประทานยาที่หาซื้อได้เองตามวิธีการที่ระบุไว้ข้างขวด [3] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ประคบอุ่นลงบนต่อมน้ำเหลือง. นำผ้าเช็ดตัวไปชุบน้ำอุ่น เมื่อผ้าร้อนแล้ว ให้วางผ้าเช็ดตัวลงบนต่อมน้ำเหลืองที่บวม วางไว้ที่เดิมจนกว่าผ้าจะหายร้อน ทำขั้นตอนนี้ซ้ำวันละ 3 ครั้งจนกว่าต่อมน้ำเหลืองจะมีขนาดเล็กลงและอาการปวดจะทุเลาลง [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การประคบอุ่นช่วยลดอาการบวมได้ เนื่องจากมันจะไปเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณที่บวม
-
ประคบเย็นลงบนต่อมน้ำเหลือง. วางผ้าเช็ดตัวที่เย็นลงบนต่อมน้ำเหลืองครั้งละ 10-15 นาที ทำซ้ำวันละ 3 ครั้งจนกว่าคุณจะเห็นว่าอาการบวมลดลง
-
นวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง. การกดและถูต่อมน้ำเหลืองเบาๆ ช่วยลดอาการบวมได้โดยการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้น คุณอาจจะนัดหมอนวดหรือนวดตัวเองก็ได้ถ้าคุณสามารถเอื้อมไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่บวมได้ ค่อยๆ ถูต่อมน้ำเหลือง และขณะเดียวกันก็ดันนิ้วเข้าหาหัวใจ [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
อย่าบีบผิวหนังที่บวม. ถ้าคุณกดลงบนต่อมน้ำเหลืองแรงเกินไป คุณอาจจะเผลอไปทำเส้นเลือดที่อยู่รอบๆ แตกและทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมหรือแม้กระทั่งติดเชื้อได้ คุณต้องย้ำกฎนี้กับเด็กๆ มากเป็นพิเศษ เพราะเด็กๆ อาจจะรำคาญและพยายามบีบต่อมน้ำเหลืองเอาได้ [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิงโฆษณา
-
นัดแพทย์. ในหลายกรณีต่อมน้ำเหลืองที่บวมอาจเกิดขึ้นและหายไปเองโดยที่ไม่มีปัญหาใหญ่ๆ อย่างไรก็ตามถ้าต่อมน้ำเหลืองยังคงอยู่หรือเริ่มจะแข็ง ก็อาจถึงเวลาที่ต้องไปปรึกษาแพทย์แล้ว แพทย์ก็จะตรวจร่างกายและอาจสั่งตรวจเลือดหรือสแกนต่อมน้ำเหลือง แล้วแต่ว่าสามารถวินิจฉัยออกมาเป็นอะไรได้บ้าง [7] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- ต่อมน้ำเหลืองบวมอาจเกิดจากการติดเชื้อต่างๆ มากมาย ได้แก่ โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส วัณโรค หูติดเชื้อ คออักเสบ และโรคหัด
- เข้ารับการรักษาทางการแพทย์ถ้าต่อมน้ำเหลืองจู่ๆ ก็โตมากหรือใหญ่มากภายในชั่วข้ามคืน
-
รักษาอาการติดเชื้อโดยเร็วเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย. ถ้าอาการต่อมน้ำเหลืองบวมเกิดจากการติดเชื้อ มันก็มักจะไม่กลับไปมีขนาดเท่าเดิมจนกว่าคุณจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง การปล่อยอาการต่างๆ ที่เป็นสาเหตุไว้โดยไม่ได้รักษาอาจทำให้เกิดโพรงหนองรอบๆ ต่อมน้ำเหลืองที่บวม ในกรณีที่ร้ายแรงมาก คุณอาจจะถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดจากแบคทีเรียได้ [8] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง. ถ้าแพทย์เชื่อว่าอาการต่อมน้ำเหลืองบวมเกิดจากแบคทีเรียที่เป็นอันตราย แพทย์ก็อาจจะสั่งยาปฏิชีวนะ คุณต้องรับประทานยาปฏิชีวนะจนกว่าจะหมดแม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากรับประทานไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อไวรัส ก็จะไม่สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะได้ [9] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Johns Hopkins Medicine ไปที่แหล่งข้อมูล
-
สังเกตอาการอื่นๆ. ถ้าอาการบวมของต่อมน้ำเหลืองเกิดจากอาการป่วยหรือการติดเชื้อ คุณก็น่าจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย การระบุอาการอื่นๆ จะช่วยให้คุณและแพทย์เข้าใจว่าจะรักษาอาการที่ซ่อนอยู่ได้อย่างไร อาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยอาจจะเป็น มีไข้ น้ำมูกไหล เหงื่อออกตอนกลางคืน หรือเจ็บคอ [10] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รู้ว่าต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย. แม้ว่าต่อมน้ำเหลืองอาจจะดีขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ก็เป็นไปได้น้อยมาก บ่อยครั้งที่อาการปวดอาจจะลดลงในช่วง 2-3 วัน แต่อาการบวมอาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะดีขึ้น [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
เข้ารับการผ่าตัดเพื่อระบายหนองออกจากต่อมน้ำเหลือง. ถ้าการติดเชื้อลุกลามไปอีก ต่อมน้ำเหลืองก็อาจจะกลายเป็นโพรงหนองที่มีหนองอยู่เต็มไปหมด เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็อาจจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ระบายหนองออกมาเพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่โพรงหนองอยู่ตรงบริเวณลำคอ [12] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Johns Hopkins Medicine ไปที่แหล่งข้อมูลโฆษณา
-
รับประทานกระเทียมดิบ. สารประกอบทางเคมีในกระเทียมช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อในระบบน้ำเหลือง นำกระเทียม 2-3 กลีบมาบด ทาส่วนผสมนี้ลงบนขนมปังแล้วรับประทาน ทำเช่นนี้ทุกวัน แล้วคุณจะสังเกตเห็นว่าอาการบวมดีขึ้น [13] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ดื่มน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลผสมน้ำ. ผสมน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล 1 ช้อนโต๊ะลงในน้ำเปล่าเต็มแก้ว 1 แก้ว ดื่มส่วนผสมนี้วันละ 2 ครั้งจนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น กรดอะซิติกที่อยู่ในน้ำส้มสายชูจะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองในต่อมน้ำเหลือง [14] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ. ถ้าคุณขาดวิตามินซี ร่างกายของคุณก็จะไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถเพิ่มวิตามินซีให้แก่ร่างกายได้ด้วยการรับประทานอาหารเสริมหรืออาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ส้มและสตรอว์เบอร์รี และถ้าคุณเลือกที่จะรับประทานอาหารเสริม อย่าลืมแจ้งให้แพทย์ทราบ [15] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ถูน้ำมันทีทรีลงบนผิวบริเวณที่บวม. ผสมน้ำมันหอมระเหยทีทรี 2-3 หยดกับน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยด ใช้สำลีพันก้านทาส่วนผสมลงบนต่อมน้ำเหลืองที่เกิดการระคายเคือง ทาซ้ำวันละไม่เกิน 2 ครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังระคายเคืองโฆษณา
เคล็ดลับ
- คุณต้องนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คุณป่วย [16] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
คำเตือน
- ถ้าคุณหายใจลำบากเนื่องจากต่อมน้ำเหลืองในคอหรือศีรษะบวม คุณต้องเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉินทันที
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906
- ↑ https://www.fairview.org/patient-education/115847EN
- ↑ https://dailyhealthpost.com/unclog-lymph-nodes-naturally-to-flush-out-toxins/
- ↑ http://www.summitmedicalgroup.com/library/pediatric_health/hhg_lymph_swollen/
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906
- ↑ https://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/infectious_diseases/lymphadenitis_134,80
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906
- ↑ http://www.nytimes.com/health/guides/symptoms/swollen-glands/overview.html
- ↑ https://www.hopkinsmedicine.org/healthlibrary/conditions/infectious_diseases/lymphadenitis_134,80
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4103721/
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1785201/
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19263912
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swollen-lymph-nodes/diagnosis-treatment/drc-20353906